ตอนที่ 260 โมโห เผยธาตุแท้
เฝิงฮว่าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
ไม่มีคนอื่นแล้ว เขาก็จะได้เสวยสุขสักที
แต่จะว่าไปวันนี้ก็ราบรื่นมาก เดิมทีเขายังคิดว่าต้องเปลืองแรงยกใหญ่ นึกไม่ถึงว่าน้องสาวที่เขาถูกใจคนนี้จะไม่มีแม้แต่ความคิดที่อยากหนี
เขาเคยเล่นสนุกกับพวกดาราเล็กๆ ยังมีบางคนที่โผเข้าหาอ้อมกอดเอง
แต่ไม่มีสักคนเดียวที่จะเทียบกับเด็กสาวคนตรงหน้านี้ได้
นางฟ้านางสวรรค์ของจริง พบเจอได้ยากบนโลกมนุษย์
“ช่วงเวลายามเย็นดีขนาดนี้ ก่อนจะเล่นสนุก พวกเราควรดื่มเหล้าให้ร่างกายมันสูบฉีดหน่อย” เฝิงฮว่าขยิบตาให้คุณชายที่อยู่ข้างๆ “หลุยส์สิบสามสี่สิบดีกรี ขวดละห้าหมื่น”
คุณชายคนนั้นฐานะสู้เฝิงฮว่าไม่ได้ ย่อมอาศัยบารมีของเฝิงฮว่า
พอได้ยินเฝิงฮว่าพูด เขาก็หยิบไวน์แดงที่เตรียมไว้ออกมา
ขนาดยาหลอนประสาทพวกเขายังหามาได้ ในไวน์ขวดนี้ก็ย่อมใส่ยาที่ช่วยกระตุ้นให้คึกคัก
เมื่อก่อนเฝิงฮว่าจะเป็นตัวตั้งตัวตีทำเรื่องแบบนี้ พวกเขาก็พลอยได้เล่นไปด้วย
ไม่เคยพลาดมาก่อน
อิ๋งจื่อจินเหลือบมอง รับขวดไวน์มาจากมือคุณชายคนนั้น
“รู้งาน รู้งานดีนี่” พอเห็นอีกฝ่ายเชื่อฟังขนาดนี้ เฝิงฮว่าก็ยิ้มพอใจ “เป็นเด็กดีแบบนี้สิ ฉันชอบ ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจได้ ฉันแต่งงานกับเธอก็ยังได้”
คุณชายที่อยู่ข้างๆ ตกใจนิดหน่อย กระซิบถาม “คุณชายเฝิง เอาจริงเหรอ”
เฝิงฮว่าทำสีหน้าไม่แคร์ พูดกึ่งยิ้ม “ถ้าไม่พูดจาหวานๆ เด็กมันจะยอมเล่นกับฉันเหรอวะ”
คุณชายคนนั้นยักไหล่
เขารู้ว่า ถ้าเฝิงฮว่าจะแต่งงานก็ต้องแต่งกับคุณหนูในตี้ตู ไม่มีทางแต่งกับเด็กกำพร้าที่มีดีแค่หน้าตาสวย
“ตามธรรมเนียม ฉันก่อน” เฝิงฮว่าค่อยๆ เดินเข้าไป เริ่มปลดกระดุม ใบหน้ายังคงยิ้มชั่วร้าย
อิ๋งจื่อจินทำเหมือนไม่ได้ยิน
เธอถือขวดไวน์ ขยับมือเล็กน้อย จากนั้นก็จับคอขวดยกขึ้น
เพล้ง!
ทุบลงไปบนศีรษะของเฝิงฮว่าโดยไม่ปล่อยให้เขาตั้งตัว
เร็วและโหด
ท่าทางของเธอคล่องแคล่วสุขุม ราวกับแค่พลั้งมือ
สีหน้าของเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเย็นชาเช่นเคย
ห่างเหินดุจภูเขาหิมะที่อยู่ไกล เย็นชาดุจดวงจันทร์บนนภา
ดุจมีหมอกหนาปกคลุม งดงามประหนึ่งภาพวาด
รอยยิ้มของเฝิงฮว่ายังคงค้างอยู่บนใบหน้า ถูกตีหัวแตกเลือดอาบ
ไวน์กับเศษแก้วไหลลงมาพร้อมกับเลือด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากหัวไปทั่วตัว แขนขาชะงัก
ขาของเฝิงฮว่าหมดแรง คุกเข่าลงไปทั้งแบบนั้น
“น่าเสียดายนะ” อิ๋งจื่อจินโยนเศษขวดที่อยู่ในมือทิ้ง “หลุยส์สิบสามขวดละห้าหมื่น”
“…”
เกิดความเงียบขึ้นในห้อง คุณชายสี่คนนั้นที่มากับเฝิงฮว่าต่างยืนตะลึง
พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนกล้าลงมือกับเฝิงฮว่า
ตระกูลเฝิงไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไรในตี้ตู แต่ก็ไม่ได้เล็ก
อีกทั้งเนื่องจากรู้จักกับตระกูลซิว ทำให้มีคนในวงการจำนวนไม่น้อยที่อยากประจบประแจง
ถึงขนาดที่ว่ามีคนของตระกูลเล็กบางตระกูลส่งผู้หญิงมาให้เฝิงฮว่าโดยเฉพาะ
“นังบ้า” คุณชายที่ยื่นขวดไวน์ให้เมื่อครู่ได้สติกลับมา ทั้งตกใจทั้งโมโห “รนหาที่ตายซะแล้ว! จัดการนังนี่ก่อน!”
พวกบอดี้การ์ดก็ได้สติ หยิบกระบองไฟฟ้าออกมา
เมื่อก่อนก็มีผู้หญิงที่ไม่เชื่อฟัง ช็อตทีเดียวรู้เรื่อง
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าใกล้เธอแม้เพียงครึ่งก้าว ยังไม่ทันเปิดกระบองไฟฟ้าในมือ กลับถูกเธอแย่งไปเสียก่อน
เธอถือกระบองไฟฟ้า พลิกข้อมือเล็กน้อย จัดการฟาดบอดี้การ์ดลงไปกองบนพื้น
เพียงชั่วเวลาสิบกว่าวินาที บอดี้การ์ดแปดคนที่มากับเฝิงฮว่าก็ไปกองอยู่บนพื้นทั้งหมด
คุณชายทั้งสี่เลิกโมโห ตอนนี้ต่างขาสั่น
พวกเขาเที่ยวเล่นมาจนชินแล้ว นานๆ ทีจะออกกำลังกาย ร่างกายจึงอ่อนแอมาตลอด
บอดี้การ์ดพวกนี้เป็นลูกน้องของไดนาสตี้เคทีวี เคยลงแข่งแม้กระทั่งชกมวย
ขนาดพวกบอดี้การ์ดยังล้มพับไวขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกเขา
คุณชายที่ยื่นขวดไวน์ตัวสั่น หันหลังเตรียมวิ่งหนี
แต่ยังไม่ทันพ้นประตู
มีมือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อของเขาจากด้านหลังแล้วจับเขาโยนกระแทกประตู
“ไม่ต้องกลัว” อิ๋งจื่อจินไม่ปล่อยมือ สายตาเย็นชา “ไม่มีขวดไวน์แล้ว ฉันตีหัวนายไม่ได้”
คุณชายอีกคนเห็นแบบนี้ก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทั้งที่ตัวสั่น เริ่มกดส่งข้อความ
เขาไม่มีเบอร์ของซิวเหยียน จึงส่งหามู่เฉินโจว
…
ด้านนอกห้องคาราโอเกะ
เถิงอวิ้นเมิ่งไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอพยายามทุบประตู แต่ข้างในก็เก็บเสียงดีเหลือเกิน เสียงลอดเข้าไปไม่ได้
เธอทุบอยู่ไม่นาน จากนั้นก็ถูกบอดี้การ์ดที่เฝ้าหน้าประตูลากลงไป
ภายในห้องโถงชั้นหนึ่ง พวกนักเรียนหญิงกับนักเรียนชายที่วิ่งหนีนั่งกันอยู่ที่โซฟา ใบหน้ายังคงซีดเซียว
โทรศัพท์มือถือของเถิงอวิ้นเมิ่งถูกบอดี้การ์ดยึดไปแล้ว ทำไม่ได้แม้แต่โทรแจ้งตำรวจ
เธอนั่งเหม่ออยู่ที่โซฟา ร้อนใจจนร้องไห้ออกมา
เธอไม่รู้เลยว่า เมื่อครู่เธอทิ้งอิ๋งจื่อจินไว้แล้วหนีออกมาได้อย่างไร
ใช่ว่าเถิงอวิ้นเมิ่งจะไม่อยากออกไป แต่มีบอดี้การ์ดเฝ้าประตูอยู่หลายคน แถมในมือยังมีกระบองไฟฟ้า
เธอแข่งได้เหรียญทองในงานวิชาการมามากขนาดนี้ย่อมไม่โง่
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
เถิงอวิ้นเมิ่งนึกถึงซิวเหยียน แต่ตอนนี้ซิวเหยียนกลับยังไม่กลับมา
มือของเธอกำเสื้อแน่น กัดฟัน ขณะที่เตรียมจะฮึดสู้วิ่งออกไป ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงเอะอะที่ประตู
เถิงอวิ้นเมิ่งอึ้ง เห็นมีคนสามคนเดินเข้ามา
บอดี้การ์ดพวกนั้นอยากขวาง แต่ก็ไม่กล้า
เถิงอวิ้นเมิ่งสังเกตเห็นว่า หนึ่งในนั้นเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อมีเสน่ห์ และยังมีชายสูงวัยอีกคน
พวกเขาโดยสารลิฟต์ขึ้นไป ส่วนอีกคนเดินมาทางนี้
คนคนนั้นสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ยื่นนามบัตรให้เถิงอวิ้นเมิ่งใบหนึ่ง “นักเรียนเถิงอวิ้นเมิ่งใช่ไหมครับ ผมชื่อมู่เฉิง นี่เป็นห้องเปิดใหม่อีกห้อง คุณอิ๋งไม่เป็นอะไร เธอบอกว่าอีกเดี๋ยวจะมาพบคุณครับ”
พูดจบเขาก็ขึ้นไปชั้นบนด้วย
…
ยี่สิบนาทีต่อมา ภายในห้องคาราโอเกะที่ซิวเหยียนจองไว้ยังคงมีเสียงร้องทรมานอย่างต่อเนื่อง
พวกคุณชายไม่มีความสามารถสู้กลับ ถูกอิ๋งจื่อจินกระทำ
โดยเฉพาะเฝิงฮว่า
เขาถูกตีหัวแตก ทั้งยังหมดสติไปสักพัก
เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ภายในห้องก็เละเทะระเนระนาด
ใช้เวลาสักพักกว่าเฝิงฮว่าจะนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกรอบ
“แกกล้าทำร้ายฉันเลยเหรอ” เฝิงฮว่าแตะเลือดบนศีรษะ รู้สึกตกใจมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือโมโห “แกรู้หรือเปล่าว่าพ่อฉันเป็นใคร แกไม่อยากอยู่ตี้ตูแล้วใช่ไหม!”
พอได้ยินเสียงของเขา อิ๋งจื่อจินก็หันหน้ามา
เธอยกขาถีบไปที่ร่างกายท่อนล่างของเขา
เฝิงฮว่าร้องเหมือนหมูถูกเชือด แทบเปล่งเสียงไม่ออก
ทันใดนั้นประตูได้ถูกพังเข้ามาในเวลานี้
มู่เฉินโจวเข้ามาเห็นเหตุการณ์ตอนนี้พอดี
สีหน้าของเขาเปลี่ยน “อิ๋งจื่อจิน หยุดนะ! ถ้ายังทำต่อเขาจะตายได้ อยากหมดอนาคตเหรอ”
อิ๋งจื่อจินไม่หยุด เธอหันมามองมู่เฉินโจวแวบหนึ่ง
ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“นายก็มีส่วน”
คำพูดสั้นๆ ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นคำพูดยืนยัน
ร่างกายของมู่เฉินโจวเย็นเฉียบไปทั้งตัว
เขาทำตามที่คุณนายมู่บอก ช่วยให้เรื่องสำเร็จง่ายขึ้น
เขาเป็นคนช่วยหายาหลอนประสาทมาให้
แต่อิ๋งจื่อจินรู้ได้อย่างไร
นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
และเขาก็ไม่ได้อยากให้เธอรู้
“อิ๋งจื่อจิน ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจ” มู่เฉินโจวสูดลมหายใจเข้าลึก “อย่าถือสาเลยนะ ไหนๆ เธอก็ทำร้ายไปแล้ว หยุดเถอะ เฝิงฮว่าไม่ใช่คนที่เธอจะมีเรื่องด้วยได้”
“ไม่ถือสา” อิ๋งจื่อจินเหยียบมือเฝิงฮว่า ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ฉันไม่ชอบนาย ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้จักกัน แล้วจะถือสาทำไม”
สมองของมู่เฉินโจวตื้อไปชั่วขณะ ได้ยินเสียงหึ่งๆ เหมือนมีผึ้งบินวนอยู่ข้างหู แต่กลับไม่อาจเข้าใจได้ว่าเธอกำลังพูดอะไร
เขาเงยหน้าขึ้นเหมือนหุ่นยนต์ ริมฝีปากสั่น “ไม่ ไม่รู้จักเหรอ”
คุณนายมู่มาพร้อมกับมู่เฉินโจว พอได้ยินแบบนี้สีหน้าของเธอก็เย็นชาลง
“พอได้แล้ว จะเสแสร้งไปทำไม” คุณนายมู่ก้มมองต่ำ “ถ้าเธอแต่งเข้าตระกูลเฝิงได้ก็ถือเป็นวาสนาของเธอ เฉินโจวทำเพื่อเธอนะ ยังไงซะเธอก็ไม่มีคุณสมบัติได้เป็นนายหญิงตระกูลมู่หรอก”
“เธอเองก็ไม่ต้องพูดทำร้ายจิตใจเขาแบบนี้แค่เพราะเห็นเขามีใจให้เธอหรอกนะ”
เธอทนเห็นคนใช้ประโยชน์จากความรู้สึกมาทำร้ายคนอื่นไม่ได้จริงๆ
โดยเฉพาะคนที่ถูกทำร้ายคือลูกชายของเธอ
“น่าเสียดายที่เธอไม่รู้กาลเทศะ” คุณนายมู่ย่อมเห็นเฝิงฮว่าที่ถูกทำร้ายจนเจ็บไปทั้งตัว “ไม่เพียงแต่ตอนนี้เธอจะแต่งเข้าตระกูลเฝิงไม่ได้ ยังต้องติดคุกด้วย”
ขณะพูดเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แสยะยิ้ม “ฉันจะแจ้งตำรวจ”
ทว่าคุณนายมู่เพิ่งกดเบอร์ 110 เสร็จ ยังไม่ทันกดปุ่มโทรก็มีเสียงดังมาจากทางด้านซ้ายของห้อง
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ นะว่า ตระกูลเฝิงคู่ควรปรากฏตัวต่อหน้าเสี่ยวอิ๋งเมื่อไรกัน”
“ฉันอยากยกตระกูลมู่ให้เสี่ยวอิ๋ง แต่เสี่ยวอิ๋งไม่เอา แล้วเธอกล้าดียังไง”
ไฟในห้องถึงถูกเปิดหมด เผยให้เห็นชายชราที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง