ตอนที่ 274 หยิกแก้ม จงมั่นหวารู้ตัวตนของหมอเทวดา
ไม่ได้ประกาศชื่อออกมาตรงๆ
แต่ใครก็ตามที่เคยดูรายการฉลาดแบบนี้ยกนิ้วให้เลย! ไม่มีทางไม่รู้ว่าดาราคนที่ว่านี้คือใคร
มีแค่ซิวเหยียนคนเดียว
ตอนนั้นแฟนคลับของซิวเหยียนยังเที่ยวโม้ไปทั่วว่าทั้งวงการบันเทิงหาใครที่ฉลาดเท่าซิวเหยียนไม่ได้อีกแล้ว
ทางไอเอสซีประกาศขนาดนี้ ก็เท่ากับเป็นการบอกว่าซิวเหยียนใช้วิธีสกปรกแบบในวงการบันเทิงทำผิดกฎของวงการวิชาการ
ตอนนี้โครงการไอเอสซีได้รับความสนใจจากผู้คนหลากหลายวงการ แม้แต่ในหมู่คนที่ปกติไม่ค่อยเล่นเวยปั๋ว
[รายการวัยรุ่นสร้างฝัน101 เลือกใครเข้ามาเนี่ย ลั่วจื่อเย่ว์ไปคนนึงละ นี่ยังมีซิวเหยียนอีกคน แต่ละคนนิสัยไม่ได้เรื่อง]
[มีพรายกระซิบ ซิวเหยียนถูกศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยตี้ตูไล่ออกไปเองเลยนะ ถามหน่อย อายไหมล่ะ]
[แฟนคลับยังจะมีหน้ามาโม้ ขืนยังโม้อีกภาพลักษณ์เด็กเรียนของหัวหน้าแก๊งพวกเธอได้ป่นปี้แน่]
[จึ๊ๆๆ ตอนนี้ชักเป็นห่วงวัยรุ่นสร้างฝัน 202 ไม่รู้ว่ายังจะดังได้อีกหรือเปล่า]
รายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 เป็นการเฟ้นหากลุ่มไอดอลหญิง ส่วนรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 202 เป็นวงไอดอลชาย
ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนแต่ละบริษัทได้ส่งรายชื่อผู้เข้าร่วมรายการไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้อยู่ในช่วงสัมภาษณ์พอดี เหมือนรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 สุดท้ายจะคัดเอาผู้เข้ารอบจำนวน 101 คน
ต้นปีหน้าถึงจะเริ่มแข่งและเข้าหอพักอย่างเป็นทางการ
เนื่องจากครั้งนี้ชูกวงมีเดียก็ส่งเด็กในสังกัดไปเข้าร่วมด้วย จึงถือโอกาสลงทุนนิดหน่อย
วันต่อมาหลังจากอิ๋งจื่อจินเสร็จธุระจากค่ายติวเธอก็แวะไปดูสนามสัมภาษณ์ของรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 202
มีคนมารอสัมภาษณ์เยอะมาก เกือบหนึ่งพันคนได้
อิ๋งจื่อจินไม่ได้เข้าไป แค่ยืนดูอยู่ข้างๆ
เธอยกมือชี้ไปข้างหน้า น้ำเสียงเรียบเฉย “ดูนั่น”
ฟู่อวิ๋นเซินมองไปตามทางที่เธอชี้ก็เห็นกลุ่มเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบแปด
เขาเลิกคิ้ว “ไหนบอกชอบดาราผู้หญิงสวยๆ ทำไม เปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอ”
“เปล่า” อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด “ฉันกำลังประเมินว่าพวกเขามีมูลค่าเท่าไร”
ฟู่อวิ๋นเซิน “…”
สมกับเป็นเธอ
“อายุน้อยดีจริงๆ” อิ๋งจื่อจินมองแล้วมองอีก “มีคอลลาเจน คุณลองไปสัมผัสดูได้นะ”
ฟังถึงตรงนี้ฟู่อวิ๋นเซินก็ยกมือเหมือนก่อนหน้านี้หลายครั้ง เอานิ้วจิ้มแก้มชมพูของเธออย่างไม่เคอะเขิน “เด็กน้อย ดูแบบนี้แก้มของเธอดีกว่าหน่อย”
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองมือของเขา ยังคงไม่พูดอะไร
ดูกันอยู่สักพักทั้งสองคนก็กลับไปที่รถ
อิ๋งจื่อจินรัดเข็มขัดนิรภัย หลับตาพิงหน้าต่างพักผ่อน อยู่ๆ เธอก็ลืมตาขึ้น
ล้วงไพ่ทาโรต์ที่พกติดตัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้ววางบนขา
เธอยังไม่เคยทำนายดวงชะตาของตี้อู่เย่ว์
ตอนนี้เธออยู่ตี้ตูพอดี ที่เดียวกับตี้อู่เย่ว์ ลองทำนายดูแล้วกัน
ไพ่ใบที่หนึ่ง พระจันทร์ ลำดับที่สิบแปด เป็นไพ่ใบที่สิบเก้าในสำรับใหญ่ ไม่กลับหัว
ไพ่ใบที่สอง เทวทูต ลำดับที่สิบสี่ เป็นไพ่ใบที่สิบห้าในสำรับใหญ่ กลับหัว
ไพ่ใบที่สาม หอคอย ลำดับที่สิบหก เป็นไพ่ใบที่สิบเจ็ดในสำรับใหญ่ ไม่กลับหัว
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินเห็นไพ่ใบที่สาม สายตาก็หยุดนิ่งเล็กน้อย
ได้ไพ่หอคอยอีกแล้ว
ครั้งล่าสุดที่ไพ่หอคอยปรากฏเป็นตอนที่ทำนายให้ซังเย่าจือ
สรุปง่ายๆ ได้ว่า ไพ่หอคอยไม่มีอะไรดีเลยแม้แต่น้อย
เมื่อไพ่ใบนี้ปรากฏก็ต้องเกี่ยวข้องกับความตาย
ส่วนไพ่ใบที่หนึ่งเป็นพระจันทร์ไม่กลับหัว หมายถึงตี้อู่เย่ว์กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดี
มือของอิ๋งจื่อจินที่จับไพ่หยุดชะงัก
ถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัยที่เธอรุ่งเรือง การเปลี่ยนดวงชะตาเป็นเรื่องง่ายมาก แม้ในสถานการณ์ที่ต้องตายสถานเดียว
แต่ตอนนี้ไม่ไหว
แต่ไพ่เทวทูตกลับหัวใบที่สองนี้กลับหมายถึงมีหนทางรอด ไม่ถึงกับต้องตาย
อิ๋งจื่อจินเก็บไพ่ เงียบไปสองวินาที จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความหาตี้อู่เย่ว์
[ฉันจะไปหาเธอที่บ้านตอนนี้]
อีกฝ่ายตอบกลับทันที
[!!!]
[พี่สาว ฉันยังหาเงินได้ไม่ครบเลย (ร้องไห้โฮ) ยืดระยะเวลาชำระหนี้ไปก่อนได้ไหมคะ]
[ไม่ได้ไปทวงหนี้ แค่เจอหน้ากัน]
[จริงเหรอ งั้นก็เอาสิ ถนนซีจยามีร้านชานมพี่รู้จักไหม ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวส่งพิกัดให้นะ]
วินาทีถัดมาก็มีพิกัดแผนที่ถูกส่งเข้ามา
สถานที่สัมภาษณ์รายการวัยรุ่นสร้างฝัน 202 อยู่ไกลจากร้านชานมที่ตี้อู่เย่ว์ส่งมา ขับรถไปใช้เวลาสี่สิบนาที
ก็พอดีสี่สิบนาทีนี้เพียงพอให้เธอแต่งหน้าเหมือนตอนที่เจอตี้อู่เย่ว์ครั้งนั้น
ฟู่อวิ๋นเซินลงจากรถ “ให้รอไหม”
“ไม่ต้อง” อิ๋งจื่อจินดึงปีกหมวกลง “ใช้เวลานาน เดี๋ยวฉันกลับเอง”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไร “ถ้าเกินสองทุ่มโทรหาพี่ชายนะ”
เมืองตี้ตูคนเยอะ ตอนเย็นก็วุ่นวายพอสมควร
โดยเฉพาะที่นี่ แม้แต่วงการจอมยุทธ์ก็จะมีจอมยุทธ์ตัวจริงออกมาเพ่นพ่านบ้างอยู่บ่อยๆ
ถึงแม้เด็กน้อยของเขาจะฝีมือร้ายกาจ แต่เขาก็ยังคงไม่วางใจ
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ได้”
เธอโบกมือให้อีกครั้งแล้วเดินเข้าร้านชานม
ตี้อู่เย่ว์นั่งริมหน้าต่าง บนโต๊ะมีชานมสิบกว่าแก้ว
พอเห็นอิ๋งจื่อจินเข้ามาเธอก็โบกมือเรียกด้วยความดีใจ “พี่สาว ทางนี้”
ขณะพูดยังได้ดันข้าวหมากไปตรงหน้าอิ๋งจื่อจิน “ฉันเลี้ยง”
อิ๋งจื่อจินไม่รับ นั่งพิงเก้าอี้ “ใช่ เธอเลี้ยง แต่ฉันจ่ายเงิน”
ตี้อู่เย่ว์ช็อก “…”
เธอแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ
ดูท่าวิธีต้มตุ๋นที่บรรพบุรุษสืบทอดกันมาจะไม่ได้เจ๋งสักเท่าไร
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจ เธอถาม “ช่วงนี้เธอรู้สึกเวียนหัวบ้างหรือเปล่า บางครั้งไม่ค่อยอยากอาหาร แต่บางครั้งกลับกินตะกละตะกลาม”
ตี้อู่เย่ว์อึ้ง “ก็นิดหน่อย”
เธอมีอาการแบบนี้หลังจากกลับมาถึงตี้ตู
แต่เธอไม่ได้ใส่ใจ อย่างไรเสียพวกคนที่ทำงานแบบเธอร่างกายก็ผิดปกติบ้างอยู่แล้ว
แน่นอนว่าเธอก็ไปหาหมอมา แต่หมอบอกว่าเกิดจากช่วงนี้ความเครียดสูง
ตี้อู่เย่ว์กะพริบตาปริบๆ “พี่สาว บอกฉันมาตามตรงเลยนะ พี่เกิดในตระกูลดูดวงอะไรพวกนี้หรือเปล่า”
ตระกูลดูดวงที่ยังอยู่ในปัจจุบันก็มีแค่ตระกูลตี้อู่ตระกูลเดียว ตระกูลอื่นหายสาบสูญไปหมดแล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่ายังมีลูกหลานหลงเหลืออยู่
อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง ไม่พูดอะไร
ตอนนี้ความสามารถในการทำนายของตี้อู่เย่ว์ไม่ได้เก่งมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์ของเธอต่ำ
ก็แค่เอาไปใช้ไม่ถูกที่
อิ๋งจื่อจินเดาว่า อาจเป็นเพราะตี้อู่เซ่าเสียนเคยทำนายชะตาให้เธอ ไม่เพียงแต่จะบั่นทอนอายุขัยของเขา แม้แต่ลูกหลานสายตรงของเขาก็พลอยติดร่างแหในบ่วงกรรมนี้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ตี้อู่เย่ว์ที่เป็นทายาทสายตรงก็จะมีอายุขัยสั้นเช่นกัน
พ่อของตี้อู่เย่ว์จากโลกนี้ไปหลังจากที่พวกเขาเกิดได้ไม่นาน
ปู่ของตี้อู่เย่ว์ ตี้อู่ฝาน นายใหญ่ของตระกูลตี้อู่คนปัจจุบันกลับยังมีชีวิตอยู่ แต่เกรงว่าต้องแลกกับอะไรมาไม่น้อยเหมือนกัน
“ไม่ใช่” อิ๋งจื่อจินปรับอารมณ์ สีหน้าเอื่อยเฉื่อย “เธอคิดว่าฉันเป็นนักต้มตุ๋นก็พอ”
“เฮ้อ ไม่เห็นเป็นไร” ตี้อู่เย่ว์ไม่แคร์แม้แต่น้อย โบกมือใหญ่ “ฉันก็เป็นหมอดูกำมะลอเหมือนกัน ครอบครัวฉันเป็นหมอดูกำมะลอกันทั้งนั้น”
อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น “งั้นก็ไปที่บ้านเธอสักหน่อยแล้วกัน”
“ได้” หลังจากตี้อู่เย่ว์รู้ว่าอิ๋งจื่อจินไม่ได้มาทวงหนี้ เธอก็ตอบด้วยความเต็มใจ “แต่ว่าบ้านฉันอยู่ไกลหน่อยนะ พี่สาว ค่ารถ…”
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเธอ “ฉันจ่าย”
ตี้อู่เย่ว์กดเรียกรถในแอปด้วยความดีใจ
นิ้วของอิ๋งจื่อจินเคาะโต๊ะ ดวงตาหลุบลงต่ำ
ไม่ว่าอย่างไรเธอจำเป็นต้องช่วยแก้ไขดวงชะตาของตี้อู่เย่ว์
…
ทางด้านฮู่เฉิง
บ้านตระกูลอิ๋ง
นับตั้งแต่อิ๋งลู่เวยถูกจับเข้าคุก ร่างกายของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งก็ทรุดลงทุกวัน จำต้องไปใช้ชีวิตที่โรงพยาบาล
แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ไม่ว่าโรงพยาบาลอันดับหนึ่งจะตรวจกี่รอบก็ตรวจไม่เจอว่าสมองของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งได้รับความเสียหายตรงไหนกันแน่
สมองของคนเราซับซ้อนยิ่งกว่าเครื่องจักรใดๆ แม้ตอนนี้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถวิเคราะห์สมองออกมาได้อย่างถึงที่สุด
จงมั่นหวาร้อนใจนั่งไม่ติด
เธอได้ไปลงทะเบียนต่อคิวที่โรงพยาบาลเซ่าเหรินตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้ว
แต่ทางโรงพยาบาลเซ่าเหรินบอกว่า หมอเทวดาจะรักษาคนไข้แค่อาทิตย์ละคน
คนรอต่อคิวเยอะมาก รวมถึงพวกเศรษฐีที่มาจากตี้ตู ต่อให้เป็นตระกูลอิ๋งก็แซงคิวไม่ได้
จงมั่นหวาทำได้เพียงรอ
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
เธอโทรหาโรงพยาบาลเซ่าเหรินชนิดที่แทบทนรอไม่ไหว
“ขอโทษด้วยค่ะ เดือนนี้คุณหมอเทวดาไม่อยู่ ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบกำหนดการของเธอเหมือนกันค่ะ” พนักงานฝ่ายบริการลูกค้าพูดอย่างสุภาพ “แต่ก่อนไปคุณหมอเทวดาบอกว่าให้โทรติดต่อเธอได้ค่ะ”
“ค่ะ” จงมั่นหวาโล่งอก “ติดต่อได้ก็พอแล้วค่ะ”
“เบอร์โทร 177XXXXXXX” พนักงานบอกเบอร์โทร จากนั้นก็กำชับอีกรอบ “แต่เตรียมใจไว้หน่อยก็ดีนะคะ ใช่ว่าทุกคนที่ถึงคิวแล้วจะให้คุณหมอเทวดารักษาได้”
ถึงแม้ในหนึ่งเดือนจะมีคนไข้เพียงสี่คนที่ได้เจอหมอเทวดา แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าหมอเทวดาจะไม่ออกตรวจด้วยตัวเอง
“เรื่องนี้ฉันรู้ค่ะ” จงมั่นหวาเอาปากกาจด “ขอบคุณมากค่ะ”
จุดนี้จงมั่นหวาพอเดาได้
อย่างไรเสียก็เป็นหมอเทวดา การจะได้เจอสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่จงมั่นหวาไม่คิดว่าหมอเทวดาจะไม่ออกตรวจ
ตระกูลอิ๋งมีอำนาจมีอิทธิพล หมอเทวดาอยากได้อะไรพวกเขาก็ให้ได้
จงมั่นหวากดเบอร์ตามที่จดไว้
อิ๋งเย่ว์เซวียนที่อยู่ข้างๆ มองไปมองมาก็รู้สึกคุ้นเบอร์นี้
เธอพยายามนึก ทันใดนั้นก็พูดขึ้น “หนูว่าหนูเคยเห็นเบอร์นี้นะคะ”
มือของจงมั่นหวาชะงัก รู้สึกตื่นเต้นดีใจ “ที่ไหน เสี่ยวเซวียน ลูกรู้จักเหรอ”
ถ้าอิ๋งเย่ว์เซวียนรู้จักกับหมอเทวดาคนนี้ แบบนั้นก็จะเชิญหมอเทวดาให้มาตรวจคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งได้ง่ายยิ่งขึ้น
“หนูรู้จัก แม่ก็รู้จักค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปาก “น้องจื่อจิน”