คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 285 ไม่ใช่พ่อแท้ๆ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 285 ไม่ใช่พ่อแท้ๆ

ผู้ทำพินัยกรรม : ฟู่อี้ชาง

ชื่อผู้ดำเนินพินัยกรรม : เหอเฉวียน

เนื่องจากกังวลว่าหลังจากไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ผู้สืบทอดจะขัดแย้งกันเพราะเรื่องมรดก ด้วยเหตุนี้ผู้ทำพินัยกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงป่วยหนักจึงได้ร่างพินัยกรรมนี้ขึ้นมาที่เมืองฮู่เฉิง ณ วันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ.2020 เพื่อจัดการแบ่งทรัพย์สิน และอำนาจทั้งหมดของผู้ทำพินัยกรรมดังรายการต่อไปนี้

ด้านล่างไล่ออกมาเป็นข้อๆ เขียนไว้เยอะมาก

ทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของตระกูลฟู่คืออวี้เซียงฟัง ผู้เฒ่าฟู่ยกให้ฟู่อวิ๋นเซิน รวมถึงหุ้นของฟู่ซื่อกรุ๊ปจำนวนสิบห้าเปอร์เซ็นต์ และยังมีทรัพย์สินของตระกูลฟู่ที่อยู่ในตี้ตู เมื่อรวมกันก็มีมูลค่าพันกว่าล้าน เขาก็ยกให้ฟู่อวิ๋นเซินเช่นกัน

หากพินัยกรรมฉบับนี้ไปวางตรงหน้าคนตระกูลฟู่ในตอนสุดท้าย อย่าว่าแต่ฟู่หมิงเฉิงเลย ต่อให้เป็นคนอื่นก็โวยวายเหมือนกัน ยกอวี้เซียงฟังให้ฟู่อวิ๋นเซินก็เท่ากับยกฟู่ซื่อกรุ๊ปไปให้ด้วย

เหอเฉวียนเป็นคนที่ผู้เฒ่าฟู่ไว้ใจมาก

เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจะตายตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว ก็ได้เขียนพินัยกรรมฉบับหนึ่งไว้ที่เหอเฉวียนเช่นกัน หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป เขาเชื่อว่าเหอเฉวียนจะสามารถดำเนินการตามคำสั่งเสียในพินัยกรรมฉบับนี้ได้เป็นอย่างดี

นึกถึงคำพูดที่ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าจงพูดกับเขา ผู้เฒ่าฟู่ก็ถอนหายใจไม่มีใครรู้จักร่างกายของเขาได้เท่าตัวเขาอีกแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้ป่วย แต่กำลังค่อยๆ ย่างเข้าวาระสุดท้าย

เขาอดทนมายี่สิบปีต่อให้พิษภายในร่างกายถูกกำจัดไปหมดแล้ว รักษาตัวมานานขนาดนี้ร่างกายของเขาโล่งขึ้นมาก แต่อย่างไรเสียพิษก็ซึมเข้ากระดูกมายี่สิบปี กอปรกับเขาเคยมีแผลบอบช้ำภายในที่เกิดจากการไปรบอยู่ไม่น้อย และที่สำคัญยิ่งกว่าคือต่อให้ร่างกายไม่เหนื่อย แต่จิตใจก็ล้าแล้ว

คนเราอยู่ได้ด้วยปณิธาน

เขาอดทนต่อสู้มาตั้งหลายปี เมื่อได้เห็นชีวิตของฟู่อวิ๋นเซินดีขึ้นเรื่อยๆ ข้างกายก็มีเพื่อนคนอื่นๆ ในที่สุดเขาก็โล่งอกอย่างสิ้นเชิง

พอโล่งอก อดีตก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว

ผู้เฒ่าฟู่มีสติรู้ตัวดี

อายุอย่างเขาคือสูงวัยมากแล้ว

ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่า วันไหนอาจนอนๆ อยู่ก็หมดลมหายใจไปเอง

ผู้เฒ่าฟู่อ่านทวนพินัยกรรมทุกคำทุกประโยคอยู่นานสองนาน หลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดก็เก็บเข้าลิ้นชักอีกครั้ง ล็อกกุญแจให้ดี

จากนั้นก็ลุกขึ้น เดินไปที่ชั้นหนังสือข้างเตียง

เหมือนกับหลายครั้งก่อนหน้านี้ ผู้เฒ่าฟู่หยิบกรอบรูปอันหนึ่งลงมา

ในนั้นเป็นรูปคู่ของชายหญิงในชุดทหาร อีกทั้งยังเป็นภาพขาวดำ เห็นได้ชัดว่าถ่ายมานานมากแล้ว

รูปถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีไม่มีแม้แต่รอยยับ แสดงให้เห็นว่าคนเก็บเอาใจใส่ขนาดไหน

“เย่ว์หวา” ผู้เฒ่าฟู่เช็ดกรอบรูปพลางพูดพึมพำ

“นานแล้วที่ไม่ได้คุยกับเธอ ไม่รู้ว่าเธอจะโกรธหรือเปล่า”

หยุดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “แต่คิดดูเธอไม่มีทางโกรธหรอก ยี่สิบปีแล้วนะเธอคงไปเกิดใหม่แล้วหรือเปล่า”

ผู้หญิงในรูปไม่พูด แค่มองเขาอยู่เงียบๆ

ผู้เฒ่าฟู่คุยกับรูปใบนั้นอยู่นาน คุยไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่มรู้สึกง่วง

หลังจากที่เอากรอบรูปกลับไปวางที่เดิมเสร็จ ผู้เฒ่าฟู่ก็เอนตัวลงบนเก้าอี้โยกอีกครั้ง หลับตาเริ่มพักผ่อน

ด้านนอกห้อง

ฟู่หมิงเฉิงหยุดยืนอยู่สักพักแล้วถึงเดินออกไปอย่างไม่ยินยอมเท่าไร

เขาลงไปชั้นล่าง

คุณนายฟู่นั่งอยู่ในห้องรับแขก กำลังตัดแต่งดอกไม้ใส่แจกัน

พอเห็นเขาลงมาเธอก็เช็ดมือ ยืนขึ้นแบบที่ทนรอไม่ไหว

“หมิงเฉิง ท่านผู้เฒ่าว่าไงบ้างคะ ยอมยกอวี้เซียงฟังให้คุณไหม”

“เปล่า” ฟู่หมิงเฉิงอารมณ์ไม่ดี “ผมไม่ได้พูดอะไรกับคุณพ่อเลย พออาจงไป คุณพ่อก็หลับไปแล้ว”

ต่อให้เขาจะอยากให้ผู้เฒ่าฟู่จากไปแค่ไหนก็ไม่มีทางทำอะไรผู้เฒ่าฟู่

สีหน้าของคุณนายฟู่ชะงัก ส่ายหน้า “ฉันว่าท่านผู้เฒ่าไม่ได้นอนหรอก แค่อยากเลี่ยงเจอคุณ”

ช่วงนี้อวี้เซียงฟังกำลังวิจัยน้ำหอมกับครีมตัวใหม่

ฟู่หมิงเฉิงจะเอาผลิตภัณฑ์ใหม่พวกนี้ไปคุยความร่วมมือกับบีไมน์

บีไมน์เป็นบริษัทน้ำหอมอันดับหนึ่งในเครือวีนัสกรุ๊ป และยังเป็นหนึ่งในแบรนด์หรูที่ติดอันดับต้นๆ ของโลก บริษัทที่อยากได้โครงการนี้ไม่ได้มีแค่อวี้เซียงฟัง

ทางตี้ตูก็มีหลายตระกูลที่ทำเกี่ยวกับน้ำหอมโดยเฉพาะ ต้องการแข่งกับอวี้เซียงฟัง

อวี้เซียงฟังได้เปรียบตรงที่มีสูตรลับของน้ำหอม แต่ถ้าพูดถึงศักยภาพโดยรวมก็เทียบกับตระกูลทางตี้ตูไม่ได้

แต่ฟู่หมิงเฉิงไม่มีทางยอมแพ้ เขาแค่ต้องการหุ้นทั้งหมดของอวี้เซียงฟังที่อยู่ในมือผู้เฒ่าฟู่ จากนั้นก็จะไปคุยความร่วมมือกับบีไมน์ทันที

แต่ไม่ว่าเขาจะพูดกี่ครั้งท่าทีของผู้เฒ่าฟู่ก็คลุมเครือ ไม่พยักหน้า แต่ก็ไม่ส่ายหน้า

พอได้ยินคุณนายฟู่พูดแบบนี้ ฟู่หมิงเฉิงก็หน้าบึ้ง “ผมรู้ว่าคุณพ่อคิดอะไรอยู่ คุณพ่ออยากยกอวี้เซียงฟังให้ฟู่อวิ๋นเซินแน่นอน แต่คุณพ่อไม่คิดบ้างเหรอว่า คนเสเพลคนเดียวจะบริหารอวี้เซียงฟังได้เหรอ”

“พอถึงตอนนั้นทำเสียงานหมดจะอย่างไร นั่นบีไมน์เชียวนะรู้หรือเปล่าว่าบีไมน์หมายถึงอะไร”

ฟู่อวิ๋นเซินวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่น ไม่เคยบริหารบริษัทคงไม่รู้หรอกว่าวีนัสกรุ๊ปคืออะไร

คุณนายฟู่กำลังจะอ้าปากพูด ทันใดนั้นก็เห็นผู้ชายยืนพิงประตูมองพวกเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้ม

เธอรีบกลืนคำพูดที่เหลือกลับไปแล้วยิ้มพลางพูด “อวิ๋นเซิน กลับมาแล้วเหรอ คุณปู่พักผ่อนอยู่ กินอะไรหน่อยไหม”

ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไร และก็ไม่ได้มองฟู่หมิงเฉิง เขาเดินตรงขึ้นบันไดไป

เมื่อครู่ฟู่หมิงเฉิงไม่ได้อะไรจากผู้เฒ่าฟู่ ตอนนี้พอเห็นฟู่อวิ๋นเซินจึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

“ไม่เรียกผมว่าพ่อสักคำ”

พอได้ยินแบบนี้ฟู่อวิ๋นเซินก็ค่อยๆ หยุดลง

เขาหันหน้ามาดวงตาดอกท้อโค้งมน นัยน์ตาสีอำพันมีรอยยิ้มที่ห่างเหินฃ

“คุณไม่ใช่พ่อของผม ไม่รู้แก่ใจเหรอ”

ฟู่หมิงเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

คุณนายฟู่ที่อยู่ข้างๆ ถึงกับตะลึง

ในขณะที่ทั้งสองคนยังไม่ได้สติกลับมา ฟู่อวิ๋นเซินก็ขึ้นชั้นบนไปแล้ว ไม่สนใจพวกเขาอีก

ผ่านไปสักพักคุณนายฟู่ถึงดึงความคิดกลับมาได้ เอ่ยปาก “หมิงเฉิง…เขาไปรู้อะไรมาหรือเปล่า”

“ไม่มีทางรู้หรอก” สีหน้าของฟู่หมิงเฉิงขรึมลงไปมาก

“คุณพ่อไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับเขา ตอนนั้นเขาแค่สองขวบจะไปจำอะไรได้”

“ก็จริง” ​คุณนายฟู่คิดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ท่านผู้เฒ่าปกป้องเขาขนาดนั้น ไม่มีทางบอกเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนหรอก แต่ทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ล่ะ”

“คงน้อยเนื้อต่ำใจ” ฟู่หมิงเฉิงพูดเสียงเย็นชา “เขาไม่ค่อยอยู่บ้านตระกูลฟู่ตั้งแต่เล็กๆ กลับมาทีนึงก็เอาแต่เที่ยวเล่น ฃทำตัวไร้สาระไปวันๆ ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วยังอยากจะให้พวกเราทำดีด้วยอีกเหรอ เพ้อเจ้อทั้งนั้น”

ครั้งนี้คุณนายฟู่ไม่พูดอะไร

“ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง” ฟู่หมิงเฉิงนวดขมับ

“ถ้าคุณพ่อยกอวี้เซียงฟังให้เขาจริง ผมก็มีวิธีเอาอวี้เซียงฟังกลับมา”

คนเกเรที่ไม่รู้เรื่องธุรกิจแม้แต่น้อย เขาวางแผนนิดหน่อยก็ได้แล้ว

อวี้เซียงฟังจะต้องเป็นของเขาในไม่ช้าก็เร็ว

ชั้นบน

ฟู่อวิ๋นเซินค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนแล้วเดินเข้าไป

เวลานี้ผู้เฒ่าฟู่หลับไปจริงๆ แล้ว ลมหายใจแผ่วเบาแต่สม่ำเสมอ

ฟู่อวิ๋นเซินกลัวทำเขาตื่นจึงไม่ได้พาผู้เฒ่าฟู่ไปนอนที่เตียง

แต่หยิบผ้าห่มมาคลุมให้

จากนั้นเขาก็ไปนั่งที่ข้างเตียง เอามือจับตรงข้อมือของผู้เฒ่าฟู่โดยไม่ให้รู้ตัว

เขาไม่รู้วิธีรักษาโรค แต่เคยเรียนการจับชีพจรมาบ้างตอนที่ไปวงการแพทย์แผนโบราณ

ฟู่อวิ๋นเซินลองจับดูก็ไม่พบความผิดปกติอะไร

เขาก็แค่เห็นผู้เฒ่าฟู่นอนบ่อยเลยเป็นห่วง

แต่นี่ก็เป็นโรคที่เหมือนกับคนแก่อื่นๆ จำนวนไม่น้อย

หลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินดึงผ้าขึ้นมาห่มให้ผู้เฒ่าฟู่เสร็จก็ลุกเดินไปที่หน้าชั้นหนังสือ

“คุณย่า วางใจได้ครับ” ฟู่อวิ๋นเซินลูบกรอบรูปนั้นเบาๆ ยิ้มเล็กน้อย

“ผมจะล้างแค้นให้แน่นอน คุณย่าต้องคุ้มครองคุณปู่ด้วยนะครับ”

เขาไม่ขออะไรมากแค่ขอให้คนที่เขาแคร์ได้อยู่บนโลกใบนี้อย่างสงบสุข

แค่นี้ก็พอแล้ว

ในเวลานี้ ณ เมืองตี้ตู

เรื่องในเน็ตมักจะเกิดขึ้นเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ความทรงจำของชาวเน็ตนั้นสั้นมาก

กอปรกับการทำงานของทีมพีอาร์ในเทียนสิงมีเดีย ช่วยกลบเรื่องนั้นของซิวเหยียนไปได้

อย่างไรเสียมองภายนอกซิวเหยียนก็ไม่ได้ทำอะไรเลย

แต่ไหนแต่ไรมาเธอรู้จักหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองได้ตลอด เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เธอย่อมไม่มีทางลงมือด้วยตัวเอง พอซิวเหยียนออกจากบริษัทก็กลับบ้านตระกูลซิว

วันนี้คุณนายซิวไม่ได้เล่นไพ่นกกระจอก แต่กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกท่าทางเกร็งน่าดู พอเห็นเธอมีท่าทางแบบนี้ ซิวเหยียนก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ “แม่คะ”

“คุณปู่ของลูกอยู่ในห้องทำงานชั้นบน” คุณนายซิวพยายามรักษามาดของคุณนายตระกูลเศรษฐี แต่ยิ่งจงใจทำก็ยิ่งดูไม่เป็นธรรมชาติ “คุณปู่มีเรื่องจะคุยกับลูก”

ซิวเหยียนใจคอไม่ดี

ผู้เฒ่าซิววางมือออกมานานแล้ว

แต่สุขภาพไม่ค่อยดีจึงรักษาตัวอยู่ที่บ้านชานเมืองมาตลอดไม่ค่อยมาที่นี่เท่าไร

ทำไมวันนี้อยู่ๆ ก็มาได้

มิน่าแม้แต่คุณนายซิวก็ไม่เล่นไพ่นกกระจอกแล้ว ผู้เฒ่าซิวอยู่ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องอะไร

ซิวเหยียนเม้มริมฝีปาก พยายามข่มหัวใจที่เต้นแรงเดินขึ้นชั้นบน

เธอเคาะประตูห้องทำงาน “คุณปู่คะ”

น้ำเสียงแหบแห้ง และสูงวัยดังมาจากข้างใน “เข้ามา”

ซิวเหยียนถึงเปิดประตูเข้าไป

แต่พอเธอเข้าไปก็มีแท่นฝนหมึกถูกเขวี้ยงมาทางเธอ

ซิวเหยียนตกใจหลบตามสัญชาตญาณ แต่หมึกก็ยังคงกระเด็นใส่ตัวเธอ

ทำชุดกระโปรงที่เธอเพิ่งได้มาจากบริษัทที่รับเป็นพรีเซ็นเตอร์เสียหาย แต่เธอก็ไม่กล้าพูดสักคำ

ซิวเหยียนตัวสั่นไม่กล้าเงยหน้า พูดอย่างยากลำบาก “คะ…คุณปู่”

“ซิวเหยียน ปู่แค่อยากบอกว่า ถ้าหลานยังเป็นแบบนี้ต่อไป…” ผู้เฒ่าซิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นหันมามองหลานสาวแววตาแน่วแน่เอาจริง น้ำเสียงเย็นชา

“ปู่จะไปรับซิวอวี่กลับมา”

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน