คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 293 ฮู่เฉิงโกลาหล

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 293 ฮู่เฉิงโกลาหล

อายุขัยไม่เหมือนกับจุดดวงตก

ไม่ว่าจะซังเย่าจือหรือตี้อู่เย่ว์ อันที่จริงพวกเขาอายุขัยยืนยาวมาก

แต่ถ้าผ่านอุปสรรคนั้นไปไม่ได้ก็จะตายก่อนอายุขัย

นี่เรียกว่าดวงตก

ต้องแลกด้วยอะไรบางอย่างถึงจะเลี่ยงเคราะห์นี้ได้

แต่อายุขัยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้เลย

นี่เป็นสิ่งที่กำหนดมาแล้วทั้งชีวิต ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

ซีซาร์ ลอเรนท์กับรองอธิการบดีอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้เป็นเพราะร่างกายของพวกเขาผ่านการดัดแปลงโดยวิธีเล่นแร่แปรธาตุ การแบ่งเซลล์ได้รับการกระตุ้นจนถึงขีดจำกัดของมนุษย์

แต่การใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุมาดัดแปลงร่างกายก็มีเงื่อนไขที่ยากพอสมควร

นอกจากส่วนประกอบที่ต้องใช้จะเป็นของหายากบนโลกแล้ว อายุที่จะทำการดัดแปลงก็ต้องต่ำกว่าสิบแปดปี

ถ้าเกินสิบแปดปี ร่างกายเติบโตเต็มที่ รูปร่างสมบูรณ์ ก็จะหมดหนทางแล้ว

ไม่อย่างนั้นทุกคนคงอยู่ได้ถึงสามร้อยปี โลกมนุษย์คงวุ่นวายน่าดู

อิ๋งจื่อจินจับข้อมือผู้เฒ่าฟู่ เอาแต่เงียบ

เธอไม่ได้โกหกผู้เฒ่าจง อายุขัยของผู้เฒ่าจงคือร้อยแปดปี

ชีวิตหลังจากนี้ก็จะราบเรียบ ไม่มีจุดดวงตกอะไร

แต่อายุขัยของผู้เฒ่าฟู่คือแปดสิบห้าปี และปีนี้ผู้เฒ่าฟู่ก็อายุแปดสิบห้าพอดี

ไม่ขาดเลยสักนิดเดียว

เมื่อสิ้นอายุขัย คนเราก็ต้องจากไป

ผู้เฒ่าจงเห็นหลานสาวไม่ตอบทันที ในความตะลึงก็มีแอบไม่สบอารมณ์

“จากคำพูดของจื่อจิน คงไม่ใช่ว่าปู่ฟู่เจ๋งกว่าตาหรอกนะ ถึงไม่กล้าพูดออกมา”

อิ๋งจื่อจินดึงอารมณ์กลับมา เงียบไปอีกสักพักถึงพูดขึ้น

“ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น”

“เฮ้อ” เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าจงเซ็ง

“ทำไมตาแอบไม่เชื่อล่ะ เห็นเขาเล่นเดินหมากทีไรก็แพ้ตาทุกที”

“เอาน่า หลานทำนายสนุกๆ แกก็อย่าคิดจริงจังเลย” ผู้เฒ่าฟู่ไม่ถือสา แค่ส่ายมือให้พลางยิ้ม

“ไม่เป็นไรๆ ยังไงก็แค่ทำนายเล่นๆ”

อิ๋งจื่อจินมองใบหน้าของผู้เฒ่าฟู่ ทันใดนั้นก็นึกถึงเมื่อครึ่งกว่าปีก่อน ตอนที่เธอตรวจร่างกายให้ผู้เฒ่าฟู่ครั้งแรกสุด

เธอรู้สึกถึงความประหลาดใจแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

โลกนี้เป็นโลกแห่งเทคโนโลยี ถึงแม้จะมีจุดที่เหนือธรรมชาติอยู่บ้างก็ตาม เช่น วิชาเล่นแร่แปรธาตุ ฮวงจุ้ย หยินหยาง

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่โลกบำเพ็ญเพียรที่เธอเคยอยู่มา ถึงจะมีลำดับชั้นเซียนแบบในตำนานต่างๆ

ร่างกายของผู้เฒ่าฟู่ถูกพิษกัดกร่อนมานานขนาดนั้น ซึมเข้าลึกถึงกระดูก

ต่อให้ตอนนั้นคนวางยาพิษจะไม่ได้ต้องการให้เขาตายในทันที แต่ผู้เฒ่าฟู่ก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ได้เกินสามสิบปี

ตอนนั้นฟู่อวิ๋นเซินยังเด็ก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าไปหาหมอทางยุโรปให้ช่วยทำยาระงับพิษภายในร่างกายของผู้เฒ่าฟู่

แล้วอะไรที่ช่วยให้ร่างกายของผู้เฒ่าฟู่อยู่รอดมาได้ถึงยี่สิบปี

นี่มันมหัศจรรย์กว่าวิชาเล่นแร่แปรธาตุเสียอีก

ตอนนี้ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็เข้าใจแล้ว

นี่เป็นความเชื่อของคน

ผู้เฒ่าฟู่รู้ว่าถ้าตอนนั้นเขาตาย ก็จะไม่มีใครดูแลฟู่อวิ๋นเซินที่อายุเพียงไม่กี่ขวบได้

ความคิดนั้นทำให้เขาอดทนมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ ซึ่งตอนนี้มันก็ได้หายไปแล้ว

ผู้เฒ่าฟู่ยิ้มๆ อยู่ก็เริ่มหุบยิ้ม เอามือเคาะโต๊ะ

“ตาจง ฉันมีอะไรอยากพูดกับจื่อจินหน่อย”

“อะไรเหรอ” ผู้เฒ่าจงสงสัย

“แกคงไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดีอะไรลับหลังฉันหรอกนะ”

อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น “คุณตา”

“ได้ๆ” ผู้เฒ่าจงเอามือไพล่หลังเดินขึ้นชั้นบน

เขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละ

บรรยากาศภายในห้องรับแขกเริ่มหม่นหมองลง

“จื่อจิน ปู่ฟู่รู้ว่าอันที่จริงตอนนั้นหนูช่วยปู่ไว้” ผู้เฒ่าฟู่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน พูดด้วยน้ำเสียงใจดี

“ถึงตอนนั้นปู่จะสลบไปแล้ว แต่ระหว่างนั้นก็พอมีสติรู้ตัวอยู่ระยะหนึ่ง”

“ถ้าไม่มีหนู ปู่คงตายไปนานแล้ว”

อิ๋งจื่อจินไม่พูด

คนเราเมื่อมาถึงวาระสุดท้ายของชีวิตย่อมรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดของตัวเอง

ช่วงหลายวันมานี้ผู้เฒ่าฟู่รู้สึกได้

“ไม่ต้องเสียใจ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติของคนเรา อีกอย่างนี่ก็ถือเป็นการหลุดพ้นสำหรับปู่ ปู่เหนื่อยแล้วจริงๆ” ผู้เฒ่าฟู่ตบบ่าเธอ สีหน้าจริงจัง

“มีอยู่นิดหน่อยที่อยากให้หนูช่วย”

อิ๋งจื่อจินค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ควบคุมอารมณ์ “บอกมาได้ค่ะ”

“ปู่ยกเจ้าเจ็ดให้หนูนะ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ค่อยรักและทะนุถนอมร่างกายตัวเอง และก็ไม่เคยนึกถึงตัวเอง” ผู้เฒ่าฟู่ถอนหายใจ

“ต่อไปหนูต้องจับตาดูเขาให้มากหน่อย บอกให้เขากินข้าวให้ตรงเวลาก็พอ”

พูดจบผู้เฒ่าฟู่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้น

“ปู่กลับบ้านก่อนนะ เรื่องที่หนูมองออกก็ไม่ต้องบอกเขาหรอก”

ผู้เฒ่าฟู่กลับถึงบ้านตระกูลฟู่คนเดียว ไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อน

เขานอนลงบนเตียง จนกระทั่งเช้ามืดสมองก็ยังคงตื่นอยู่

ท้องฟ้ายามราตรีมืดสนิท สายลมพัดเอื่อย

ผู้เฒ่าฟู่ค่อยๆ ลงจากเตียง เดินไปที่หน้าชั้นหนังสือ หยิบกรอบรูปลงมาแล้วไปนั่งที่โต๊ะทำงาน

เขาเช็ดกรอบรูป สีหน้าอ่อนโยน

สมัยผู้เฒ่าฟู่หนุ่มๆ มีบุคลิกผึ่งผาย หน้าตาดี

คนในตระกูลฟู่ ฟู่อวิ๋นเซินเหมือนเขาที่สุด สืบทอดจุดเด่นด้านรูปลักษณ์

หลังจากที่ผู้เฒ่าฟู่เช็ดฝุ่นบนกรอบรูปจนสะอาด เขาถึงได้พูดเสียงเบา “เย่ว์หวา เจอกันอีกแล้วนะ ไม่รู้ว่าผมแก่ขนาดนี้แล้ว พอตายไปคุณยังจะจำผมได้หรือเปล่า”

หยุดเล็กน้อย เขายิ้มแล้วพูดต่อ “จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณรู้ว่าผมมีแผลเป็นบนแขน ตอนนั้นคุณคิดว่าผมเป็นฝ่ายศัตรูเลยยิงใส่ผม ต่อมาพอรู้คุณก็ร้องไห้ยกใหญ่”

ขณะพูดเขาก็จมอยู่ในห้วงความคิดเมื่อนานมาแล้ว

เขากับเหยียนเย่ว์หวารู้จักกันในค่ายทหาร วันแรกที่พบหน้าเขาก็ได้เข้าโรงพยาบาล

ตอนนั้นพวกเขาสองคนไม่มีใครคาดคิดว่าสุดท้ายจะได้มาคบกัน

แต่เหยียนเย่ว์หวาก็ตายไปเมื่อยี่สิบปีก่อน

ซึ่งตอนนั้นเขาก็ควรตามไปเป็นเพื่อนเธอ แต่ไม่ได้ไป

เพราะเขาต้องดูแลฟู่อวิ๋นเซิน

ผู้เฒ่าฟู่มองผู้หญิงในกรอบรูปที่สง่างาม พูดพึมพำ

“วางใจนะ เจ้าเจ็ดสบายดี ผมเลี้ยงเขาจนโตแล้ว เรื่องที่น่าเสียดายคือ พวกเราต่างไม่ได้เห็นเขาแต่งงานมีลูก”

นี่เป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าฟู่เสียดายที่สุด

แต่เดิมทีเขาก็อยู่เกินมาได้ตั้งยี่สิบปีแล้ว เขาพอใจแล้ว หลังจากที่คุยกับภรรยาตัวเองเสร็จ ผู้เฒ่าฟู่ก็หยิบกระดาษเขียนจดหมายออกมาปึกหนึ่งแล้วเริ่มเขียน

เขาเขียนถึงฟู่อวิ๋นเซิน

ผู้เฒ่าฟู่เขียนเริ่มต้นอยู่หลายรอบก็ยังไม่พอใจ เขาฉีกกระดาษทิ้งแล้วเขียนใหม่

จนกระทั่งเขียนใบที่สิบสี่ ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าอักษรสวยใช้ไห้

ครั้นแล้วเขาจึงเขียนต่อ

อันที่จริงเขาเรียนมาไม่สูง พอจบมัธยมปลายก็ไปเป็นทหาร

แต่เขาเคยเขียนจดหมายรักให้เหยียนเย่ว์หวาหลายฉบับ การเขียนจดหมายไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา

จดหมายฉบับนี้ใช้เวลาเขียนหนึ่งชั่วโมง

“ความตายไม่ใช่จุดจบ มันเป็นการเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหญ่” ผู้เฒ่าฟู่ลงท้ายด้วยประโยคนี้

“จำไว้นะว่าปู่จะมองแกจากบนสวรรค์อยู่ตลอด”

หลังจากเขาเขียนจดหมายที่ยาวมากฉบับนี้เสร็จ เขาก็พับให้ดีแล้วใส่ซอง วางเก็บในลิ้นชัก

จากนั้นผู้เฒ่าฟู่ก็ถือกรอบรูปกลับไปที่เตียงอีกครั้ง

สองมือจับกรอบรูปไว้ตรงหน้าอก หลับตาลง

วันต่อมา

เวลาเจ็ดโมงเช้า

ฟู่หมิงเฉิงไปเรียกผู้เฒ่าฟู่

เพราะผู้เฒ่าจงกำชับมา

อันที่จริงต่อให้ผู้เฒ่าจงไม่กำชับ ฟู่หมิงเฉิงก็จะไปเรียกอยู่แล้ว

ผู้เฒ่าฟู่ติดนอน ถ้าไม่มีคนคอยเรียกดีไม่ดีอาจหลับแล้วไปเลย

ฟู่หมิงเฉิงเคาะประตูก่อน ไม่มีเสียงตอบรับ เขาถึงเปิดประตูเข้าไป

เขาเดินไปที่หน้าต่าง เปิดม่านออก แสงแดดสาดส่องเข้ามาภายในห้อง

“คุณพ่อ” ฟู่หมิงเฉิงหันมา “คุณพ่อตื่นได้แล้วครับ”

ผู้เฒ่าฟู่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง

“คุณพ่อ?” ฟู่หมิงเฉิงเดินเข้าไป เขาคิดแค่ว่าผู้เฒ่าฟู่แก่แล้วหูไม่ดีจึงเรียกอีกหลายครั้ง

“คุณพ่อครับ คุณพ่อ”

เรียกต่อเนื่องหลายครั้งผู้เฒ่าฟู่ก็ยังคงไม่ลุก

ฟู่หมิงเฉิงสีหน้าเปลี่ยน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผิดปกติ

เขาเอามือที่สั่นอยู่ไปลองวัดลมหายใจที่จมูกของผู้เฒ่าฟู่

ไม่มีแล้ว

ฟู่หมิงเฉิงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เขาถึงสังเกตเห็นกรอบรูปที่ผู้เฒ่าฟู่กอดอยู่

เขารู้ว่านั่นคืออะไร

นั่นเป็นรูปคู่ใบแรกของเหยียนเย่ว์หวากับผู้เฒ่าฟู่

ใบหน้าของผู้เฒ่าฟู่ไม่ได้แสดงอารมณ์เจ็บปวดอะไร ถึงขั้นที่ยิ้มเล็กน้อย ราวกับกำลังฝันดี

ชายชราหลับไปท่ามกลางความฝัน ไม่มีโรคภัย ไร้ความทุกข์ทรมาน

นี่เป็นการตายตามธรรมชาติ

แต่ช่วงไม่กี่วันมานี้ผู้เฒ่าฟู่ยังเดินได้เอง สุขภาพแข็งแรงมาก

กะทันหันแบบนี้ทำให้ฟู่หมิงเฉิงแทบตั้งสติไม่ได้

ผ่านไปสิบนาทีเต็มๆ สมองของเขาถึงค่อยๆ กลับมาทำงาน

“หมิงเฉิง” คุณนายฟู่เดินเข้ามา “อาหารเสร็จแล้ว ท่านผู้เฒ่า…”

ทันใดนั้นคำพูดของคุณนายฟู่ก็หยุดชะงัก มองชายชราบนเตียง เอามือปิดปาก “คุณพระช่วย…”

“พินัยกรรม!” ฟู่หมิงเฉิงนึกถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดขึ้นมาได้ เขาออกคำสั่ง

“รีบหาพินัยกรรมเร็ว!” คุณนายฟู่ก็ได้สติ รีบค้นภายในห้องนอน

ผู้เฒ่าฟู่จากไปแบบนี้ ตระกูลฟู่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมืองฮู่เฉิงก็จะพลอยวุ่นวายไปด้วย เรื่องด่วนที่สุดตอนนี้คือต้องหาพินัยกรรมให้เจอ แล้วก็ไล่ฟู่อวิ๋นเซินออกจากตระกูลฟู่

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน