ตอนที่ 295 ไม่รู้ระดับความสามารถของฟู่อวิ๋นเซิน
ในเวลาเดียวกันทางตระกูลเนี่ย
ผู้เฒ่าเนี่ยกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟา พอได้ยินเสียงเคาะประตูก็เงยหน้าขึ้น
เขามองไป รู้สึกเหนือความคาดหมาย
เนี่ยอี้มาในชุดสูทสีดำ รูปร่างดุจต้นหยก ผึ่งผายดุจสายลม
“หืม?” ผู้เฒ่าเนี่ยดันแว่นตาสายตายาว “คนอกตัญญู แกกลับมาทำไม”
นับตั้งแต่เนี่ยอี้เข้าหน่วยอีจื้อ เขาก็ออกจากตระกูลเนี่ย
ต่อให้เป็นผู้เฒ่าเนี่ยก็ไม่เคยได้เจอเขาสักครั้ง
“ปู่ของอวิ๋นเซินเสียแล้วครับ” เนี่ยอี้ขมวดคิ้ว ชินแล้วกับการถูกเรียกแบบนี้
“ผมกลับมาเก็บของแล้วจะไปฮู่เฉิงครับ”
ผู้เฒ่าฟู่หายดีอย่างกะทันหัน จากไปครั้งนี้ก็กะทันหันเช่นกัน
เนี่ยอี้พยักหน้าเล็กน้อย รีบเก็บของโดยเร็วที่สุด กำลังจะเปิดประตูออกไป
“เดี๋ยวก่อน!” ผู้เฒ่าเนี่ยยืนขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม “ฉันจะไปกับแกด้วย”
อันที่จริงผู้เฒ่าเนี่ยไม่เคยคลุกคลีกับตระกูลฟู่ และก็ไม่ได้รู้จักผู้เฒ่าฟู่
แต่เป็นเพราะเนี่ยอี้ เขาถึงได้รู้จักฟู่อวิ๋นเซิน
ฟู่อวิ๋นเซินเป็นเพื่อนสนิทเนี่ยอี้ ในฐานะที่เขาเป็นปู่ของเนี่ยอี้จะนิ่งดูดายไม่ได้
เท้าของเนี่ยอี้หยุดชะงัก “ครับ”
ครั้งนี้เมืองฮู่เฉิงได้โกลาหลจริงๆ แล้ว
…
งานศพถูกจัดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งคนตระกูลฟู่ก็มีเยอะ
ช่วงบ่ายศพของผู้เฒ่าฟู่ก็ถูกส่งเข้าห้องทำพิธีแล้ว
ตระกูลฟู่มีห้องทำพิธีโดยเฉพาะ เมื่อก่อนเวลามีผู้อาวุโสเสียชีวิต ลูกหลานก็จะนำศพมาวางที่นี่ห้าวัน
โลงศพก็เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อสามปีกว่าที่แล้ว ทำจากไม้พะยูงชั้นดี
นอกจากพวกครอบครัวที่แยกออกไปนานแล้ว คนตระกูลฟู่ทั้งหมดก็รีบกลับมา แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกอะไร
“พี่ใหญ่ พินัยกรรมล่ะ” ท่านฟู่สามมองโลงศพไม้ขนาดใหญ่ เดินไปหาฟู่หมิงเฉิงอย่างเงียบๆ
“คุณพ่อยกอวี้เซียงฟังให้ใคร”
อันที่จริงเขาก็ถามไปอย่างนั้น เขาแค่อยากได้หุ้นนิดหน่อยกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าอย่างไรอวี้เซียงฟังก็ไม่มีทางตกถึงเขา
สีหน้าของฟู่หมิงเฉิงกลับบึ้งลง เขาไม่ตอบ แค่มองผู้ชายที่คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพ
ท่านฟู่สามมองตามสายตาของเขา จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป
“ยกให้ไอ้เด็กนั่นจริงเหรอ”
ฟู่อวิ๋นเซินคู่ควรกับอวี้เซียงฟังเหรอ
“คุกเข่ามาหกชั่วโมงแล้ว” ฟู่อีเฉินทำเสียงฮึดฮัด “คุณปู่ตายไปแล้ว ทำให้ใครดูน่ะ”
ถึงแม้จะเป็นการเฝ้าศพ แต่ก็ไม่ได้มีพิธีรีตองมากมายอะไร และก็ไม่ต้องคุกเข่า
แต่หลังจากฟู่อวิ๋นเซินส่งผู้เฒ่าฟู่เข้ามาในห้องทำพิธี เขาก็คุกเข่าอยู่ตรงนั้นมาจนถึงตอนนี้
ฟู่อี้หันทำเสียงดุ
“ฟู่อีเฉิน” ฟู่อีเฉินหดคอ รีบเงียบทันที
เขาไม่กลัวฟู่หมิงเฉิง แต่คนที่เขากลัวมากที่สุดคือพี่ชายคนโต
ฟู่อี้หันเดินเข้าไป ย่อตัวนั่งลงข้างฟู่อวิ๋นเซิน
เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นก็พูดขึ้น
“อวิ๋นเซิน คุณปู่…คุณปู่เขียนจดหมายไว้ให้นาย”
ฟู่หมิงเฉิงเจอจดหมายฉบับนี้ในลิ้นชักที่ถูกล็อกไว้ พอเห็นว่าให้ฟู่อวิ๋นเซิน เดิมทีฟู่หมิงเฉิงอยากฉีกทิ้ง แต่ถูกฟู่อี้หันห้ามไว้
พอได้ยินแบบนั้นฟู่อวิ๋นเซินถึงเหลือบมอง
ลมพัดอกเสื้อสีดำของเขาจนเปิดออก แต่ดูเหมือนเขากลับไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย ร่างกายราวกับชาไปหมดแล้ว
ใบหน้าที่งดงามของเขาซีดเซียวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาดอกท้อที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอก็โศกเศร้าราวกับสระน้ำที่เย็นยะเยือก ไม่มีประกายแม้แต่น้อย
ฟู่อี้หันอดตกใจไม่ได้ รู้สึกใจหาย
เขาไม่เคยเห็นฟู่อวิ๋นเซินในอารมณ์แบบนี้มาก่อน
ในความทรงจำของเขา น้องชายคนนี้มีรอยยิ้มอยู่เสมอต่อให้บาดเจ็บก็ยังคงยิ้ม
มีชั่วขณะหนึ่งที่ฟู่อี้หันถึงขั้นรู้สึกว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คน แต่เป็นโครงกระดูกที่ไร้วิญญาณ
ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูด เขาคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพ มือเรียวยาวยกขึ้นค่อยๆ เปิดจดหมายฉบับนั้นออก
ฟู่อี้หันรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วหลบออกไป
ผู้เฒ่าฟู่เขียนจดหมายให้ฟู่อวิ๋นเซินโดยเฉพาะก็คงไม่อยากให้คนอื่นอ่าน
ฟู่อวิ๋นเซินก้มหน้า
ลายมือของผู้เฒ่าฟู่เป็นระเบียบ เขียนชัดเจน สมกับที่เป็นชายชาติทหาร
เขาอ่านช้าๆ
เจ้าเจ็ด ตอนที่แกอ่านจดหมายฉบับนี้ ปู่ก็ได้ไปหาย่ากับแม่ของแกแล้ว
ไม่ต้องเสียใจ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติของคนเรา
ปู่อยู่มาจนถึงอายุขนาดนี้ได้ก็มีความสุขมากแล้ว
เพื่อนทหารของปู่ทยอยตายไปตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ปู่ก็ได้เตรียมใจไว้ว่าจะต้องมีวันนี้
ชีวิตนี้ของปู่ขึ้นเหนือล่องใต้ ทั้งยังเคยฆ่าคนมาไม่น้อย ไม่มีอะไรให้น่าเสียดาย ก็แค่ไม่วางใจเรื่องแก
อันที่จริงปู่รู้ว่าแกเป็นคนเก่ง ปู่ไม่ได้เรื่องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับแกไม่ได้ แกสามารถเดินมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยมือเปล่าได้ มันก็ดีมากแล้ว
แกมีความสามารถเพียงพอที่จะปกป้องตัวเอง ตระกูลฟู่ก็สู้ไม่ได้ แต่เดิมทีอวี้เซียงฟังก็เป็นของแก อย่าปฏิเสธเลยนะ
แกมีปมในใจ ยากที่จะเปิดใจ แต่ปู่มองออกว่าตอนนี้แกมีที่พึ่งทางใจอีกอย่างแล้ว ปู่ก็สบายใจแล้ว
เจ้าเจ็ด แกคือความภาคภูมิใจของปู่ ปู่ภูมิใจในตัวแกเสมอ
สำหรับปู่แล้ว ความตายไม่ใช่จุดจบ มันเป็นการเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหญ่ จำไว้นะว่าปู่จะมองแกจากบนสวรรค์อยู่ตลอด
ฟู่อี้ชาง
2 พฤษศจิกายน 2020
ฟู่อวิ๋นเซินใช้เวลาอ่านจดหมายฉบับนี้ถึงครึ่งชั่วโมง
เขาไม่ได้ร้องไห้ถึงขั้นที่ว่าสีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยังคงคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพเงียบๆ สายตาเหม่อลอย หลังจากที่คุกเข่าเป็นเวลานาน ทันใดนั้นฟู่อวิ๋นเซินก็เริ่มขยับ
เขาหลุบตาลง ริมฝีปากขยับแต่ไร้เสียง
แน่นอนว่าเขาปิดบังคนอื่นได้มากมาย
แต่ผู้เฒ่าฟู่ที่เป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด มีเหรอที่เขาจะปิดบังได้
ผู้เฒ่าฟู่ไม่พูด แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะผู้เฒ่าฟู่ก็รู้ว่าถ้าเรื่องพวกนี้ถูกเปิดเผยออกไป คนกลุ่มนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อนก็จะมาหาอีก
ผู้เฒ่าฟู่เป็นห่วงว่าเขาจะรับมือคนพวกนั้นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงพยายามปกป้องเขาให้ได้มากที่สุด
จนถึงตอนนี้ญาติเพียงคนเดียวบนโลกนี้ของเขาก็ได้จากไปแล้ว
ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
อิ๋งจื่อจินก็อยู่ในท่ากึ่งคุกเข่า แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่รู้จักการปลอบคน
เธอแค่เอามือวางบนไหล่ของเขา
ฟู่อวิ๋นเซินขยับไหล่ หันหน้ามาเล็กน้อย “เยาเยา พี่ชายไม่เป็นไร”
หยุดเล็กน้อย เขาพูดอีกครั้ง คล้ายพูดกับเธอ และก็คล้ายพูดกับตัวเอง ทั้งยังยิ้ม “ไม่เป็นไร”
แต่ขนตาของเขาสั่นเล็กน้อย ใบหน้าซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม
อิ๋งจื่อจินนิ่งเงียบ
ผู้เฒ่าฟู่ไม่ให้เธอบอกฟู่อวิ๋นเซินก็เพราะไม่อยากให้ฟู่อวิ๋นเซินเห็นเขาจากไป
การมองคนที่ใกล้ชิดที่สุดเดินเข้าสู่ความตายทีละก้าวเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป
เธอลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ผู้เฒ่าฟู่กำชับให้เธอจับตาดูฟู่อวิ๋นเซินให้กินข้าว เขาเป็นแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เฒ่าฟู่อยากเห็น
ฟู่หมิงเฉิงเดินเข้าไปจุดธูปสามดอกโค้งเคารพศพหนึ่งที จากนั้นสายตาก็ไปอยู่ที่ตัวฟู่อวิ๋นเซินอีกครั้ง
เขาเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ยืนอยู่หน้าโลงศพของผู้เฒ่าฟู่ ก้มมองต่ำ
“ฟู่อวิ๋นเซิน ปู่ของแกจากไปแล้ว และก็เขียนพินัยกรรมไว้นานแล้ว ยกอวี้เซียงฟังให้แก แต่แกเองก็รู้ดีว่าแกไม่มีความสามารถที่จะรับมันไว้”
“ถ้าแกไม่อยากให้ฟู่ซื่อกรุ๊ปล่มจมในมือของแก ก็รีบโอนอวี้เซียงฟังมาให้ฉัน ไม่ว่ายังไง ฉันรับรองว่าต่อไปแกจะสุขสบาย”
ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีอำพันฉายแววเย็นชา รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน
“ไสหัวออกไป”
เขาไม่เคยแตะต้องฟู่หมิงเฉิงมาตลอด ก็เพราะผู้เฒ่าฟู่อยากให้ลูกหลานรักใคร่ปรองดอง
เขาทำตามความต้องการของผู้เฒ่าฟู่
แต่ตอนนี้ผู้เฒ่าฟู่ไม่อยู่แล้ว
ฟู่หมิงเฉิงตกใจสายตานี้
ใจหายวาบ
ฟู่อวิ๋นเซินเป็นแค่คุณชายเสเพล ยังจะมีความสามารถอะไรได้ ยังจะมีใครหนุนหลังให้ได้อีก
อย่างไรเสียผู้เฒ่าฟู่ก็ไม่อยู่แล้ว เขาเองก็ไม่ต้องแสร้งทำเป็นพ่อผู้แสนดีอีกต่อไป พูดกันตรงๆ ไปเลย
“นั่นสิ” ฟู่อีเฉินแสยะยิ้ม “ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง มีสิทธิ์อะไรมาสืบทอดอวี้เซียงฟัง”
ท่านฟู่สามกับพี่น้องคนอื่นๆ ไม่พูดอะไร แต่ต่างก็คิดแบบนั้น
จะยกอวี้เซียงฟังให้ใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ให้ฟู่อวิ๋นเซิน
“คุณพ่อ แล้วก็นายด้วยอีเฉิน” สีหน้าของฟู่อี้หันขรึมลง
“หยุดทั้งคู่เลย”
ศพผู้เฒ่าฟู่ยังไม่ทันจะเย็นก็ถูกนำมาวางที่นี่แล้ว
ต่อให้ฟู่อวิ๋นเซินไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ของเขา แต่จะต้องแล้งน้ำใจกันขนาดนี้เลยเหรอ
“อี้หัน อย่าวุ่นวาย” คุณนายฟู่ดึงฟู่อี้หันไปด้านข้าง ส่ายหน้า
“พ่อเขารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
สีหน้าของฟู่อี้หันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ทั้งๆ ที่แม่รู้ว่าอวี้เซียงฟังเป็น…”
“ใช่ แม่รู้” คุณนายฟู่ถอนหายใจ
“แต่คนก็ตายไปแล้ว ถ้าอวิ๋นเซินปรุงน้ำหอมเป็น เข้าใจเรื่องน้ำหอม ยกอวี้เซียงฟังให้เขาก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เขาไม่ได้สืบทอดพรสวรรค์เรื่องพวกนี้ พ่อเราทำเพื่อตระกูลฟู่นะ”
ฟู่อี้หันกลับทนไม่ไหว
“อย่าพูดเลยครับ ออกไปให้หมด”
แต่ฟู่หมิงเฉิงกลับไม่ยอม พูดบังคับ
“ฉันเอาเอกสารมาแล้ว แกแค่เซ็นชื่อก็พอ”
ในที่สุดฟู่อวิ๋นเซินก็ขยับตัว เขาค่อยๆ ยืนขึ้น เงยหน้าผุดรอยยิ้ม
“พอฉันมาถึงก็ได้เห็นละครฉากใหญ่พอดี” ทันใดนั้นมีเสียงพูดดังมาจากด้านนอก
“ฟู่หมิงเฉิง มีอำนาจเหลือเกินนะ”