ตอนที่ 298 อิ๋งจื่อจิน ‘พี่ชาย ฉันมาเป็นกองหนุน’
เมื่อได้รับคำสั่ง คนที่อยู่ปลายสายก็ตื่นเต้นมาก “พี่ ผมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้เลย รอก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าผมก็ถึงฮู่เฉิง”
“เอียน นายไม่ต้องรีบ” ฟู่อวิ๋นเซินพูด “ฉันยังมีเรื่องสำคัญอีก นายมาวันที่สิบสองก็ได้”
“รีบสิรีบ ต้องรีบอยู่แล้ว” ปลายสายมีเสียงคุ้ยกล่องคุ้ยตู้ “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จะไม่รีบได้ไง”
มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าความตั้งใจแรกของการก่อตั้งวีนัสกรุ๊ปคืออะไร
แท้จริงแล้วความตั้งใจแรกก็แค่เพื่อเอาอวี้เซียงฟังกลับมา
ปรากฏว่าจับพลัดจับผลูได้เป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของโลก
ใครจะไปรู้ว่าทำอีท่าไหน
“เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าพี่” เอียนหายตื่นเต้นก็เริ่มใจเย็นลง “ทำไมอยู่ๆ ก็คิดได้แล้วล่ะ”
เขารู้เรื่องราวในตระกูลฟู่ และก็รู้ว่าครอบครัวฟู่หมิงเฉิงน่าขยะแขยงขนาดไหน
ถ้าไม่มีผู้เฒ่าฟู่ ถ้าไม่ใช่เพราะฟู่อวิ๋นเซินฉลาด เขาคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้โตมา คงตายไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเอียนรู้ว่าที่ฟู่อวิ๋นเซินยังไม่ลงมือมาตลอดเป็นเพราะผู้เฒ่าฟู่
สายเลือดเป็นสิ่งที่ประหลาด มักมีความผูกพันอยู่เสมอ
เพื่อให้ผู้เฒ่าฟู่ได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ฟู่อวิ๋นเซินสามารถทนได้ทุกอย่าง
“ไม่มีอะไร” ดวงตาของดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินหม่นลง เขายิ้มพลางพูด “เอาเป็นว่า ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
พูดถึงตรงนี้มีเหรอที่เอียนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาใจหายวาบ
เขาควรนึกได้นานแล้ว
ถ้าวันไหนฟู่อวิ๋นเซินตัดสินใจจะลงมือกับตระกูลฟู่ นั่นก็แสดงว่าผู้เฒ่าฟู่ไม่อยู่แล้ว
ตระกูลฟู่เอาเขาไม่อยู่แล้ว
บนโลกนี้มีอยู่ไม่กี่สิ่งที่คุมฟู่อวิ๋นเซินได้
“พี่…พี่ยังมีพวกผมนะ” เอียนรู้สึกแย่มาก เขาเองก็ไม่รู้จะปลอบยังไง “อย่าเสียใจไปเลยนะ”
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไรอีก “วางละ”
ขณะที่เขาเตรียมจะเก็บโทรศัพท์ก็มีเสียงแจ้งเตือนของวีแชทดังขึ้น
เป็นแชทของเพื่อนเพียงคนเดียวที่ตอนนี้เขาปักหมุดไว้
[ผู้บัญชาการ ไม่ต้องกลัว ฉันยังมีเงิน เลี้ยงผู้บัญชาการไหว ไปกินข้าวที่นี่สิ ฉันจองโต๊ะไว้ให้]
[สองวันนี้ฉันจะไม่รบกวน อยู่เงียบๆ ให้สบายใจนะ]
นิ้วของฟู่อวิ๋นเซินหยุดชะงัก ขนตาขยับ
ราวกับมีอะไรมาโจมตีที่หัวใจ
รู้สึกหดเกร็ง
เขายืนนิ่งอยู่ห้านาทีเต็มๆ ถึงตอบกลับ
[ขอบคุณนะเยาเยา พี่ชายจะไป]
เขาออกจากสุสาน ขับรถไปที่ใจกลางเมือง
…
หนึ่งชั่วโมงต่อมารถมาเซราติก็ไปจอดหน้าร้านมิชลินสามดาวแห่งหนึ่ง
ฟู่อวิ๋นเซินเปิดประตูเข้าไป
ใบหน้าของเขาหล่อเหลา ดึงดูดผู้คน โดดเด่นเกินใคร
มีคนในร้านจำเขาได้ทันที
ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว เลยเวลากินข้าว คนไม่ได้เยอะมาก มีลูกค้าอยู่โต๊ะเดียว
เป็นพวกคุณชายมาสังสรรค์กัน
หนึ่งในคุณชายถือขวดไวน์ ยืนโงนเงน
“โอ๊ะ นี่มันคุณชายเสเพลอันดับหนึ่งแห่งฮู่เฉิงนี่ คุณชายเจ็ดฟู่อวิ๋นเซินไม่ใช่เหรอ” เขายิ้ม จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรได้ “เอ๊ะ ไม่สิๆ เขาไม่ใช่แม้แต่คนของตระกูลฟู่แล้ว”
“เมิ่งหยาง อย่าไปสะกิดบาดแผลคนอื่นสิ” คุณชายอีกคนทำสีหน้าเยาะเย้ย “เขาก็ยังเป็นคุณชายเสเพลนะ แค่ไม่มีเงินแล้ว”
“นั่นสินะ ฟู่อวิ๋นเซิน” เมิ่งหยางยิ้มเจ้าเล่ห์ “ร้านนี้ราคาไม่ใช่ถูกๆ นะ นายถูกไล่ออกจากตระกูลฟู่แล้ว บัตรธนาคารก็ถูกระงับด้วยหรือเปล่า”
เขาดูถูก “ยืมเงินฉันก่อนไหม หรือจะให้ฉันเลี้ยงดีล่ะ”
ขณะพูดเมิ่งหยางก็ชูขวดไวน์ในมือ “เห็นนี่มะ เรมี่ มาร์ติน ขวดนี้ขวดละสองหมื่น จึ๊ๆ น่าเสียดายที่ต่อไปนายจะกินไม่ได้แล้ว”
อันที่จริงตระกูลเมิ่งก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าไรในฮู่เฉิง ก็แค่เป็นเศรษฐีใหม่
ตอนนี้เมิ่งหยางหยามเกียรติฟู่อวิ๋นเซินได้ เขาย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสนี้
เมิ่งหยางล้วงกระเป๋า เตรียมหยิบบัตรออกมาบริจาคให้ฟู่อวิ๋นเซิน แต่กลับถูกเสียงฝีเท้าขัดจังหวะ
เป็นผู้จัดการของร้านที่ด้านหลังมีบริกรตามมาสิบกว่าคน
ในมือของบริกรถือถาดอาหารกับไวน์แดง ละลานตา เดินผ่านหน้าเมิ่งหยางกับพวกคุณชาย
“คุณชายเจ็ด” ผู้จัดการกลับไม่สนใจพวกเขา รีบเดินขึ้นหน้า พูดด้วยความนอบน้อม “นี่เป็นอาหารที่คุณอิ๋งสั่งไว้ให้คุณชายเจ็ดโดยเฉพาะ เธอรู้ว่าคุณอารมณ์ไม่ดี จึงเตรียมพวกนี้ไว้ให้ครับ”
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก เขาเงยหน้าขึ้น
สิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคือไวน์แดงสิบขวด
ผลิตจากโรงไวน์บอร์โดซ์ ขวดละแสน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารอื่นๆ ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศที่สุดทั้งนั้น
เมิ่งหยางกับพวกคุณชายต่างตะลึง
พวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมาก แค่มีเงิน กินข้าวในร้านอาหารมิชลินสามดาวไม่ใช่ปัญหา
แต่ก็ไม่ถึงกับทุ่มทุนขนาดนั้น ที่อยู่ๆ จะให้สั่งไวน์แดงมาสิบขวดเป็นเงินหนึ่งล้าน
มือของเมิ่งหยางยังถือบัตรธนาคารที่ในนั้นมีเงินห้าแสนอยู่ แต่ใบหน้ากลับรู้สึกร้อนผ่าว
“วันนี้คุณอิ๋งเหมาที่นี่แล้วครับ” จากนั้นผู้จัดการถึงมองพวกเมิ่งหยาง “รอแค่คุณชายเจ็ดมา ขออภัยที่พวกเราให้บริการพวกคุณไม่ได้แล้วครับ”
เขาผายมือทำท่าเชิญออกอย่างสุภาพ
เมิ่งหยางหน้าบึ้ง ออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
พวกคุณชายคนอื่นๆ ก็ไม่มีหน้าอยู่ต่อ รู้สึกอับอาย
หลังจากบริกรเอาอาหารมาจัดวางเรียบร้อยก็ถอยออกไป
แสงเทียนสว่างไสว แสงไฟอบอุ่น
ฟู่อวิ๋นเซินนั่งลง
เขามองอาหารบนโต๊ะ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา
เขาถึงได้รู้ว่า ที่เธอบอกจะเลี้ยงเขาเป็นเรื่องจริงจัง
ไม่ใช่แค่พูดส่งเดช และก็ไม่ใช่เพื่อปลอบใจเขา
เขารู้สึกโลภแล้ว
อยากให้เธอเป็นของเขาคนเดียว เด็กน้อย
แต่เขารู้สึกว่าเขาไม่คู่ควร
เขาไม่คู่ควรได้รับสิ่งดีๆ และก็ไม่คู่ควรดึงเธอลงมา
ชีวิตนี้ของเขาจมอยู่กับความแค้น เขามีชีวิตอยู่ก็เพื่อควานหาตัวกลุ่มคนเมื่อยี่สิบปีก่อนออกมา
ตัวของเขาอยู่ในนรกแล้ว จะกล้าปรารถนาแสงสว่างได้อย่างไร
…
ถึงแม้ฟู่อวิ๋นเซินจะบอกเขาว่าไม่ต้องรีบ แต่เอียนก็มาถึงโดยเร็ว
เย็นวันที่สิบพฤศจิกายนเขาพาพวกคนสนิทในวีนัสกรุ๊ปมาถึงฮู่เฉิง และเข้าพักที่โรงแรมควีน
ถึงแม้โรงแรมควีนจะไม่ใช่กิจการของวีนัสกรุ๊ป แต่ก็มีหุ้นอยู่ส่วนหนึ่ง
อวิ๋นซานกับอวิ๋นอู้ก็อยู่ด้วย
“พี่ชายฉันล่ะ” เอียนเข้าไปในห้อง มองหา “เขาไม่อยู่เหรอ”
ขณะพูดเขาก็วางไวน์สองขวดลง “ฉันอุตส่าห์รีบมาให้ถึงก่อนวันเกิดเขา อยากฉลองด้วยสักหน่อย”
“นายลืมแล้วเหรอ พรุ่งนี้…” อวิ๋นซานเม้มริมฝีปาก “พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบวันตายของคุณหลิวอิ๋งกับคุณนายผู้เฒ่า คุณชายไปเคารพหลุมศพแล้ว”
อยู่ๆ เอียนก็เงียบ แววตาสับสน
พวกเขาติดตามฟู่อวิ๋นเซินมาหลายปี ไม่เคยเห็นฟู่อวิ๋นเซินฉลองวันเกิด
เพราะวันเกิดของเขาคือวันตายของฟู่หลิวอิ๋งกับเหยียนเย่ว์หวา
เขาแบกรับความแค้น ปล่อยวางไม่ได้
อวิ๋นซานเก็บปืน จากนั้นก็หยิบกระสอบกับเชือก “พวกเราไปล่ะ”
“เอ๊ะๆๆ พวกนายจะทำอะไรน่ะ” เอียนไม่เข้าใจ “นี่จะไปมีเรื่องเหรอ”
“ไม่ใช่มีเรื่อง” ครั้งนี้คนที่พูดคืออวิ๋นอู้ “คุณชายจะเริ่มเก็บตระกูลฟู่ใช่ไหมล่ะ พวกเราก็เลยจะไปจับตัวฟู่อีเฉินก่อน”
“ไว้คุณชายไปเคารพหลุมศพคุณหลิวอิ๋งกับคุณนายผู้เฒ่าเสร็จเมื่อไร ทางเราก็คงจัดการเรียบร้อยพอดี”
“จับตัวเหรอ” เอียนชักสนใจ ถลกแขนเสื้อขึ้น “ฉันไปด้วยสิ เอาให้ตั้งตัวไม่ทันเลย”
อวิ๋นซานมองเขาด้วยสายตารังเกียจ แต่ก็ไม่พูดอะไร
ทั้งสามคนออกไปพร้อมกัน
…
ฟู่หลิวอิ๋งไม่ได้ถูกฝังอยู่ในสุสาน แต่ถูกฝังบนภูเขาทางตะวันออก
ฟู่อวิ๋นเซินไปไหว้หลุมศพคุณนายผู้เฒ่าฟู่ที่สุสานเสร็จถึงได้ไปยังที่ฝังศพของฟู่หลิวอิ๋ง
กว่าเขาจะไปถึงยอดเขาก็เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว
ยามราตรีอันมืดมิด บนท้องฟ้าไร้ดวงดาว แม้แต่ดวงจันทร์ก็ยังถูกเมฆบดบัง ราตรีอับแสง
หลุมศพของฟู่หลิวอิ๋งเรียบง่าย
มีป้ายที่ไร้อักษร บนนั้นไม่ได้เขียนอะไรเลย
ไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าฟู่ไม่ให้ความสำคัญกับฟู่หลิวอิ๋ง แต่เป็นเพราะกลัวว่าพวกคนเมื่อยี่สิบปีก่อนจะกลับมาอีก
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะขุดศพขึ้นมาหรือไม่
ฟู่อวิ๋นเซินอยู่ในท่ากึ่งคุกเข่า
เขาเอามือลูบป้ายหน้าหลุมที่เย็นเฉียบ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา พูดเสียงเบา “แม่ครับ อันที่จริง…ผมก็ยังคงคิดถึงแม่มาก”
อันที่จริงเขาจำเกี่ยวกับฟู่หลิวอิ๋งไม่ได้มาก อย่างไรเสียก็มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองปี
ความทรงจำเดียวที่พอจะนึกได้ก็คือ คำพูดที่ฟู่หลิวอิ๋งพูดกับเขาบ่อยๆ เวลาที่กล่อมเขานอน
“น้องเจ็ด แม่ตั้งชื่อให้หนูว่าอวิ๋นเซิน เพราะแม่อยากให้หนู ต่อให้ตกอยู่ในความมืดมิดก็ยังมีแสงสว่างส่องมาที่หนูอยู่เสมอ”
“น้องเจ็ดของแม่ ต่อไปหนูต้องเติบโตอย่างมีความสุขและปลอดภัยนะลูก แม่ก็อยากอยู่ข้างกายหนูไปตลอด”
สองความปรารถนาของฟู่หลิวอิ๋ง สุดท้ายกลับทำไม่ได้สักอย่าง
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไร” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม หลังพิงต้นไม้ เงยหน้ามองท้องฟ้า เขาพูด “หลายปีที่ผ่านมาผมก็ชินแล้วกับการอยู่คนเดียว”
ชินกับการอยู่คนเดียว
ชินกับการยิ้ม
เพราะการยิ้มเท่านั้นถึงจะแสดงว่าเขามีความสุข แม้จะเป็นการเสแสร้งที่เลวร้ายก็ตาม
บนยอดเขาเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดๆ
ทันใดนั้นท้องฟ้ากลับมีฝนตก
ตกเปาะแปะต่อเนื่อง จากนั้นก็เริ่มหนักขึ้น
ฝนตกห่าใหญ่ ท้องฟ้ามืดครึ้ม
ฟู่อวิ๋นเซินพิงป้ายหน้าหลุมศพ เขาอยู่เงียบๆ ไม่ได้หลบฝน ปล่อยให้มันตกใส่ตัวเขา
น้ำฝนไหลลงมาตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้า ลงมาที่คาง เปียกเสื้อผ้าทั้งตัว แทบจะจมร่างกายของเขา
ทันใดนั้นเองกลับมีเสียงฝีเท้า เบามาก แทบจะไม่ได้ยิน
แต่ฟู่อวิ๋นเซินฝึกจอมยุทธ์มาหลายปี คนทั่วไปย่อมเทียบความหูไวของเขาไม่ได้
ขอเพียงแต่เขาระวังตัว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดที่เขาไม่ได้ยิน
ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้าขึ้น ดวงตาดอกท้อหรี่ลงเล็กน้อย เขามองไป
มีคนค่อยๆ เดินมาทางเขาท่ามกลางความมืดมิด
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฝนเม็ดใหญ่ที่ตกใส่หัวเขาก็หยุดลง
เด็กสาวยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ก้มตัวเล็กน้อย กางร่มให้เขา
ราวกับแสงสว่างเดียวที่มีอยู่บนโลกใบนี้