ตอนที่ 315 หึง ปากนุ่มจัง ฟาดหน้าในเสี้ยววินาที
ฟู่อี้หันแค่มองเธอด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้ต้องการจะพูดอีกครั้ง
ซูหร่วนเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เธอยื่นมือออกไปรับเอกสารในมือฟู่อี้หันมา
ในนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘หนังสือหย่า’
ซูหร่วนมือสั่น แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น เธอเริ่มเปิดดู
ฟู่อี้หันอุตส่าห์กลับบ้านมาทั้งที แต่มาเพื่อหย่ากับเธองั้นเหรอ
แถมยังจะให้เธอไปตัวเปล่าด้วย
“อี้หัน หยุดล้อเล่นได้แล้ว” ซูหร่วนรับไม่ได้ “พวกเรารักกันดีไม่ใช่เหรอคะ วันนี้ฉันยังตั้งใจเตรียมวัตถุดิบ จะเข้าครัวทำอาหารให้คุณด้วย เรื่องหย่านี้อะไรกันคะ”
เธอยื่นมือออกไปจับเสื้อสูทของฟู่อี้หัน เริ่มพูดขอร้อง
“อี้หัน ตระกูลซูลบชื่อพ่อฉันออกจากตระกูลแล้ว ฉันเหลือแค่คุณแล้ว เหลือแค่คุณแล้วจริงๆ อย่าหย่ากับฉันเลยนะ”
“เซ็นเถอะ” ฟู่อี้หันยังคงพูดแค่นั้น เขาผิดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“อย่าทำตัวเองขายหน้าจนไม่เหลืออะไรเลย”
เมื่อก่อนซูหร่วนไม่มีทางพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีทางขอร้องเขา
ก็แค่เพราะตอนนี้ซูหร่วนไม่มีทางให้ไปแล้ว ทำได้เพียงยึดตระกูลฟู่ไว้ให้มั่น
“ไม่เซ็น!” ซูหร่วนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ในทันที
“ฉันไม่มีทางเซ็นเด็ดขาด!”
เธอถอยไปสองก้าว “ฟู่อี้หัน คุณกล้าพูดแบบนี้กับฉันเลยเหรอ ฉันไม่ได้ทำผิดต่อชีวิตคู่เสียหน่อย ทำไมฉันต้องออกไปตัวเปล่าด้วย”
ซูหร่วนคิดไว้แล้ว
ฟู่อี้หันสืบทอดฟู่ซื่อกรุ๊ปหลังจากที่แต่งงานกับเธอ
ฟู่ซื่อกรุ๊ปถูกวีนัสกรุ๊ปซื้อกิจการไปแล้ว ดังนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ถูกเขี่ยทิ้งเหมือนกิจการอื่น แต่กลับจะเจริญรุ่งเรืองขึ้น
มีวีนัสกรุ๊ปหนุนหลัง ตระกูลฟู่ก็ยังคงเป็นหัวเรือใหญ่ของสี่ตระกูลเศรษฐี รากฐานมั่นคง
เมื่อเป็นแบบนี้ถ้าเธอหย่าก็ต้องได้แบ่งทรัพย์สินจำนวนไม่น้อย
ซูหร่วนใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายจนชินแล้ว แต่เธอไม่ทำงาน แหล่งเงินของเธอมาจากซูเหลียงฮุยกับฟู่อี้หัน
“คุณซูหร่วน” มีเสียงของอีกคนหนึ่งดังมาจากด้านนอก
“คุณไม่ได้ทำผิดต่อชีวิตคู่จริงๆ ครับ แต่คุณอย่าลืมว่า คุณชายใหญ่เป็นพี่คนโตมาก่อนที่จะเป็นสามีของคุณนะครับ”
เหอเฉวียนเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าเย็นชา
“คุณกับคุณพ่อของคุณทำเรื่องอะไรไว้กับคุณชายเจ็ด ในใจคุณไม่รู้เหรอครับ”
พอได้ยินแบบนั้นสีหน้าของฟู่อี้หันก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม
“คุณซูหร่วน ผมขอเตือนให้คุณรีบเซ็นดีกว่านะครับ” เหอเฉวียนยิ้ม
“ถ้าเรื่องไปถึงศาล คุณจะไม่ใช่แค่ออกไปแต่ตัวแน่นอน”
“วางใจได้เลยครับ ผมมีความสามารถทำให้คุณไม่เหลืออะไรเลยแน่นอน”
คำพูดนี้เป็นการข่มขู่แล้ว
ซูหร่วนใจหายวาบ
เมื่อก่อนตระกูลซูอยู่ในระดับเดียวกับตระกูลฟู่
ตอนนี้ตระกูลฟู่มีวีนัสกรุ๊ป แต่ซูเหลียงฮุยถูกผู้เฒ่าซูลบชื่อออกจากตระกูลแล้ว
ร่างกายของซูหร่วนสั่นอย่างรุนแรง ริมฝีปากก็สั่น
เธอเซ็นชื่อตัวเองภายใต้การถูกหยามศักดิ์ศรีขั้นสุด
เหอเฉวียนเก็บหนังสือหย่าที่มีสองฉบับ
“พอดีเลยครับ พรุ่งนี้เป็นวันทำงาน เชิญคุณซูหร่วนกับคุณชายใหญ่ไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตเลยแล้วกันครับ”
“พรุ่งนี้บ่ายส่งคุณซูหร่วนกลับตี้ตู” ฟู่อี้หันเดินออกไปไม่สนใจซูหร่วนที่ร้องไห้คร่ำครวญ
นี่ถือเป็นการให้เกียรติครั้งสุดท้ายแล้ว
…
วันต่อมา
เวยปั๋วของฟู่ซื่อกรุ๊ปก็โพสต์แถลงการณ์เรื่องหย่าร้างของฟู่อี้หันกับซูหร่วน
ฟู่อวิ๋นเซินจัดระเบียบตระกูลฟู่ และได้ถือโอกาสส่งผู้จัดการสองสามคนของฝ่ายประชาสัมพันธ์วีนัสกรุ๊ปไปประจำอยู่ที่ฟู่ซื่อกรุ๊ปด้วย
ฟู่ซื่อกรุ๊ปย่อมมีความสามารถขับเคลื่อนกระแสวิจารณ์แบบที่ไม่ธรรมดา
ข้างใต้โพสต์นี้เหมือนมีงานเฉลิมฉลอง
[จุดพลุฉลอง ในที่สุดพี่ใหญ่ก็หย่ากับนางผู้หญิงที่น่าขยะแขยงคนนี้แล้ว]
[ไม่ทราบว่าต่อไปยังจะมีใครกล้าสู่ขอซูหร่วนอีกเหรอ หน้าด้านขนาดนี้]
[สะใจ สองพ่อลูกคู่นี้วางแผนมานานขนาดนี้ แต่สุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว]
อิ๋งจื่อจินกวาดตาอ่านเวยปั๋ว ไม่ได้รู้สึกอะไร
เธอไม่ได้คลุกคลีกับฟู่อี้หัน แต่ฟู่อี้หันก็เป็นคนดีคนหนึ่ง
เธอพิงรั้วสนามกีฬา มองไปบนท้องฟ้าอาบแดดอย่างขี้เกียจ
ซิวอวี่อยู่ข้างๆ กำลังทำโจทย์ในมือถือ
มีนักเรียนอยู่ในสนามกีฬาเยอะมาก อิ๋งเย่ว์เซวียนก็อยู่ด้วย
เธอกำลังพาเผยเทียนอี้เดินชมโรงเรียน
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อใหญ่มาก เอาแค่โรงอาหารก็มีถึงห้าแห่งแล้ว ทิวทัศน์เป็นเอกลักษณ์ สู้มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้
อิ๋งเย่ว์เซวียนหันมาก็เห็นมีคนมากมายห้อมล้อมอิ๋งจื่อจินอยู่
เธอเม้มริมฝีปาก อยากเข้าไปทักทาย แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิด
เผยเทียนอี้สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอจึงถามขึ้น “มีอะไรเหรอ”
“เปล่าค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนส่ายหน้า “รุ่นพี่ เดี๋ยวฉันพาไปเดินเล่นที่ทะเลสาบตงหูนะคะ”
เผยเทียนอี้ก็ไม่พูดอะไร เดินตามไป
นักเรียนคนอื่นๆ ที่อยู่ในโรงเรียนมัธยมชิงจื้อต่างไม่มีค่าให้เขาสนใจ
…
อิ๋งจื่อจินอาบแดดอยู่สักพักก็หยิบกระดาษกับปากกาออกมาเริ่มทำโจทย์ที่จั่วหลีส่งมา
กลศาสตร์ควอนตัมเป็นโจทย์สุดหินในวงการฟิสิกส์มาตลอด จนถึงตอนนี้ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนที่เข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้
ครึ่งชั่วโมงต่อมาอิ๋งจื่อจินก็ส่งแนวคิดและวิธีแก้โจทย์ไปให้จั่วหลี
เธอหยิบกระเป๋าหนังสือขึ้นมาแล้วเดินไปทางประตูโรงเรียน
เพิ่งเดินไปถึงประตูเธอก็ถูกเรียกไว้
คนที่เรียกเธอเป็นนักเรียนชาย มือกอดลูกบาสไว้ เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนวิ่งมาจากสนามกีฬา
“เทพอิ๋ง” นักเรียนชายคนนี้สูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร กล้ามขึ้นชัด แต่ใบหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าเงยหน้ามองเธอ “หะ…ให้”
เขายื่นซองจดหมายสีชมพู
ในนั้นเป็นอะไรไม่ต้องบอกก็รู้
เวลานี้ที่ด้านนอกโรงเรียน
มีรถมาเซราติจอดอยู่
ฟู่อวิ๋นเซินหันมองเข้าไปในโรงเรียน แววตาขรึมลง
นักเรียนชายยังคงก้มหน้าอยู่ในท่ายื่นจดหมายรัก
“ขอบคุณ” อิ๋งจื่อจินกลับไม่รับ เธอพยักหน้า “ตั้งใจเรียน เพื่ออนาคตที่สดใส”
เธอไม่พูดอะไรอีก เดินออกไปทั้งแบบนี้
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว รับกระเป๋าหนังสือมาจากมือเธอเหมือนตอนปกติ
โทนเสียงของเขาทุ้มต่ำ ยิ้มเล็กน้อย
“เหมือนพี่ชายจะได้ยินเสียงหัวใจของเด็กหนุ่มแหลกสลาย ไร้เยื่อใยขนาดนี้เลยเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเขา “หูดีจริงนะ”
“ในโรงเรียน…” ฟู่อวิ๋นเซินหันมา “มีคนมาจีบเยอะเหรอ”
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา “คงงั้น ไม่ได้รับจดหมายรักนานแล้ว”
ไม่เหมือนเทอมก่อน จดหมายรักที่เธอได้รวมๆ กันเอาไปขายได้สองกิโลกรัม
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ขาย ให้ลูกน้องเอาจดหมายรักพวกนั้นไปคืน
ไม่รับแต่ก็ไม่ควรทำร้ายคนอื่น
ฟู่อวิ๋นเซินมองเด็กหนุ่มคนนั้นที่ถูกปฏิเสธแต่ก็ยังดีใจ เขาก้มตัวเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อโค้งมน
“เยาเยา มีเศษขนมติดหน้า”
ไม่รู้ทำไม เขาชอบมองเวลาเธอกิน เหมือนหนูตะเภา
น่ารักน่าจิ้ม
“หืม?” อิ๋งจื่อจินได้ยินแบบนั้นก็หยิบกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ด
“ผิดแล้ว ตรงนี้” ฟู่อวิ๋นเซินเอากระดาษทิชชู่มาจากมือเธอแล้วค่อยๆ เช็ดทั้งๆ ที่ไม่ได้เลอะอะไร
กลิ่นหอมของไม้กฤษณาปกคลุมในชั่วขณะ ชวนให้รู้สึกจิตใจสงบ
อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยก็เห็นดวงตาสีอำพันของเขา
ดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทอประกายอ่อนโยน
ฟู่อวิ๋นเซินเช็ดอย่างสุภาพ ปลายนิ้วแตะถูกริมฝีปากของเธออย่างไม่ตั้งใจ
มือของเขาชะงัก เอาลง
ริมฝีปากนุ่มมาก
มีเสียงดัง “เพล้ง” จากด้านหลัง
ครั้งนี้หัวใจของเด็กหนุ่มคนนั้นแหลกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี
…
โรงพยาบาลเซ่าเหริน
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินตรวจนักธุรกิจต่างชาติที่ก่อนหน้านี้นัดไว้เสร็จ เธอก็เตรียมออก
“คุณอิ๋ง รอก่อนครับ” ผู้อำนวยการรีบเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวยังมีผู้ป่วยอีกคน เพิ่งมาจากเมืองนอกเหมือนกัน อยากให้คุณตรวจดูหน่อย แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาเดี๋ยวผมให้คุณหมอท่านอื่นตรวจได้ครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ช่วงนี้ค่อนข้างว่าง”
“งั้นก็ดีเลยครับดี” ผู้อำนวยการพยักหน้า
“ผู้ป่วยรายนี้อารมณ์ค่อนข้างฉุนเฉียว คุณอิ๋งห้ามถือสาเด็ดขาดเลยนะครับ”
สิบนาทีต่อมาก็มีเสียงเคาะประตูห้องทำงาน
มีเด็กหนุ่มเข็นชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นเข้ามา
ทั้งสองคนมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นพ่อลูก
ตอนที่ทั้งสองคนเห็นว่าเป็นเด็กสาวก็ถึงกับผงะ
สีหน้าของชายวัยกลางคนแทบจะขรึมลงในทันที
“นี่น่ะเหรอหมอเทวดาของโรงพยาบาลเซ่าเหริน ผู้อำนวยการ ล้อผมเล่นหรือเปล่า”
ผู้อำนวยการไม่รู้จะพูดอะไรดี
อย่างไรเสียท่าทีตอบสนองแบบนี้ก็มีในผู้ป่วยหลายคน
“คุณหมอเทวดาอย่าถือสาคุณพ่อผมเลยนะครับ” เด็กหนุ่มถลึงตาใส่ชายวัยกลางคน
“ตอนอยู่เมืองนอกคุณพ่อของผมก็เจอคุณหมอยังสาว ช่วงนี้เลยชอบเปรียบเทียบคนอื่นกับเธอ คุณหมอเด็กกว่าเธออีก คุณพ่อก็เลยไม่เชื่อน่ะครับ”
“อะไรคือไม่เชื่อ” ชายวัยกลางคนพูดเสียงสูง “คุณชิงจยารักษาเก่งมาก”
“พ่อ อย่าเพิ่งพูดดีกว่า” เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา “ให้คุณหมอเทวดาตรวจดูก่อน”
ชายวัยกลางคนหัวรั้น “ฉันไม่ให้ตรวจ ฉันไม่เชื่อว่าหมอคนนี้จะเก่งกว่าคุณชิงจยา”
“มะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย ปวดท้องด้านบนอย่างรุนแรง ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว” อิ๋งจื่อจินแค่มองแวบหนึ่ง เธอละสายตาแล้วพูด
“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว จองโลงศพเตรียมจัดงานเลยแล้วกันค่ะ”
“ตุบ…”