The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 689-690

ตอนที่ 689-690

DND.689 – กลับสำนักหลิวเซี่ยน
เฟิงเซี่ยนตัวสั่นเมื่อเห็นว่าทุกคนตรงหน้านางต่างปล่อยพลังมหาศาลออกมา
“เหตุใดพวกนั้นไม่เอาตัวเจ้าไปด้วยเล่า?”
ซือหยูถามนางขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เฟิงเซี่ยนเงียบไปนางก้มหน้าด้วยความเศร้าหมอง
“ห้าศักดิ์สิทธิ์บ่มเพาะวิชาชั่วร้ายเขาต้องการธาตุหยินของสตรี คนที่เอาไปมิใช่แค่งดงามเท่านั้น แต่ทุกคนยังบริสุทธิ์ ส่วนท่านจ้าวคณะ แม้เจ้าจะพรากความบริสุทธิ์ของนางไปแล้ว แต่ส่วนพลังหยินของนางก็ยังเหลืออยู่ นางจึงถูกพาตัวไป ส่วนข้าต้องอยู่ที่นี่เพราะไม่มีธาตุหยินเหลืออยู่แล้ว”
ธาตุหยินของนางถูกซือหยูพรากเอาไปสีหน้าของเขาดูแปลกไปเมื่อได้ฟังนาง เขาเจ็บแปลบในใจเมื่อคิดว่าจ้าวคณะวิหคเพลิงกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบไหนอยู่ เขาหนักใจอย่างมากเมื่อคิดว่านางถูกมองเป็นเพียงวัตถุที่มีธาตุหยินอยู่ในตัว
“พวกนั้นไปนานเท่าไหร่แล้ว?”
ซือหยูกระวนกระวาย
เฟิงเซี่ยนตอบ
“หกวันแล้วล่ะพวกนางไม่สู้ดีเลย”
หกวันก่อนเป็นวันที่สงครามครั้งใหญ่จบลงสมเหตุสมผลที่พวกต่างโลกจะหนีในตอนนั้น ซือหยูถอนหายใจยาวเมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น
คนตำหนักเจ็ดจ้าวไปยังก้นบึ้งมังกรก่อนที่สงครามใหญ่ครั้งก่อนจะเริ่มขึ้นในตอนนั้นเก้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นผู้นำตระกูลยี่คงจะทำไปเพื่อเอาใจห้าศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็สายไปแล้ว ด้วยพลังของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปถึงก้นบึ้งมังกรแม้จะพยายามบุกหรือลอบเข้าไป
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจ้าวคณะวิหคเพลิงจะปลอดภัยจริงๆเพราะถ้าเก้าศักดิ์สิทธิ์ถูกเจอตัว เขาก็อาจจะฆ่าพวกนางเพื่อให้หนีรอดได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นซือหยูจึงรู้ตัวว่าเขาต้องรีบไปที่ก้นบึ้งมังกรและตามหาจ้าวคณะวิหคเพลิงเขาจะปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตรายไม่ได้!
“ข้ายังต้องไปก้นบึ้งมังกรอีกสินะ…”
เขาถอนหายใจเมื่อกลับมาได้สติ เขาก้าวออกไปขณะที่พูด
“ลั่วซวงข้าขอฝากพวกนางไว้กับเจ้า ช่วยพวกนางและพาไปสถานที่ปลอดภัย อย่าชักช้า! ทำทุกอย่างในครึ่งชั่วยาม”
“ขอรับนายท่าน”
หลังจากได้รับคำสั่งลั่วซวงรีบไปกระจายกำลังหน่วยกวาดล้างและเริ่มปล่อยเหล่าหญิงสาวที่ถูกขัง
“ทุกคนอย่าแตกตื่นทัพต่างโลกถูกกำจัดไปแล้ว พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ของพวกเราจะปล่อยพวกเจ้าเป็นอิสระ”
เมื่อหน่วยกวาดล้างเริ่มเปิดกรงขังเหล่าหญิงสาวข้างในเริ่มแตกตื่น พวกนางอธิบายเรื่องราวกับพวกเขา
เฟิงเซี่ยนมองแผ่นหลังของซือหยูที่กำลังหายไปด้วยแววตาที่น่ารักของนางก่อนจะมองลั่วซวง
“ผู้อาวุโสท่านบอกเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกกับข้าจะได้หรือไม่? แล้วซือหยูกับสำนักของเขาเกี่ยวข้องกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำถามลั่วซวงขมวดคิ้วเบาๆ มีแค่ไม่กี่คนในโลกนี้เท่านั้นที่กล้าเรียกซือหยูด้วยนามของเขาตรงๆ แต่ดูเหมือนว่านางจะเป็นสหายเก่าของเขา ลั่วซวงจึงไม่กล้าจะต่อว่านาง
เขายิ้มบางๆและตอบ
“แม่นางสงครามทวีปเฉินหลงเกือบจะจบลงแล้ว พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่นำโดยเจ้าพันธมิตรซือได้ทำลายทัพหลักของพวกมัน ตอนนี้เรากำลังกอบกู้ดินแดนกลับคืนมา”
เขาถามต่อ
“ส่วนท่านเจ้าพันธมิตรซือข้ายังต้องอธิบายอีกหรือไม่?”
เฟิงเซี่ยนราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่เมื่อได้ฟังเรื่องราวนางตกตะลึงถึงขีดสุด
“เจ้าจะบอกว่าทัพใหญ่ของพวกมันพ่ายแพ้แล้วรึ?”
ลั่วซวงเพียงแค่ยิ้มและไม่ตอบอะไรเพราะมันมิใช่แค่การพ่ายแพ้ แต่ทัพทมิฬที่น่ากลัวนั้นได้ถูกกวาดล้างไปเกือบหมดเพราะซือหยู! และพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ในตอนนั้นยังแตกต่างกับในอดีตโดยสิ้นเชิง การพูดว่า ‘เจ้าพันธมิตรซือ’ ก็เป็นคำพูดอันหนักอึ้งในทวีปแห่งนี้แล้ว
และตามที่ลั่วซวงได้ยินมาความเลื่อมใสในตัวเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้แพร่กระจายไปยังทั่วทั้งทวีป
“แม่นางหากไม่เป็นอะไร แม่นางควรจะไปจากที่นี่ และข้าขอแนะนำให้ท่านไม่เรียกท่านเจ้าพันธมิตรซือด้วยนามโดยตรง แม้ท่านจะไม่ถือสา แต่มันก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นกับคนอื่น…”
ลั่วซวงแนะนำนางและกลับไปรายงานซือหยู
ทุกอย่างเสร็จสิ้นในครึ่งชั่วยามเฟิงเซี่ยนอยู่ในคณะวิหคเพลิงและมองซากศพของทหารทัพต่างโลก นางหันไปมองแผ่นหลังของซือหยู ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่ฐานพลังสูงส่งจนนางหยั่งไม่ถึงทำให้นางรู้สึกว่านางได้อยู่ในโลกแห่งอนาคตที่ทุกสิ่งเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว
“เฟิงเซี่ยนข้าจะให้พวกเชลยกับเจ้า ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะต้องดูแลคณะวิหคเพลิง ทำให้ดีที่สุดล่ะ”
ซือหยูไม่สนใจดินแดนของคณะวิหคเพลิงเพราะการช่วงชิงอำนาจนั้นไร้ความหมายกับเขา
นางมองเชลยที่เหลืออยู่ห้าสิบคนด้วยความเกลียดชังหญิงสาวหลายคนที่ถูกปล่อยเป็นอิสระดูจะบ้าคลั่งขึ้นมา ในแววตาของพวกนางมีความชิงชังที่หยั่งรากลึก ราวกับพวกนางอยากจะดื่มโลหิตของพวกมัน!
คนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ตัวสั่นเมื่อเห็นหญิงสาวเหล่านี้พวกเขาเริ่มสงสารเหล่าเชลยเมื่อรู้สึกว่าชะตาของเชลยเหล่านี้น่าจะโหดร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย
“ไปกันเถอะ”
ซือหยูโบกมือพากำลังออกไป
แต่ตอนนั้นเฟิงเซี่ยนบินมาหาเขา กลิ่นอันหอมหวานของนางแล่นสู่จมูก
“ซือ…ข้าหมายถึงท่านเจ้าพันธมิตรซือ โปรดรอสักเดี๋ยว”
เฟิงเซี่ยนหน้าแดงนางมิอาจหายใจได้ถนัดเมื่อเผชิญหน้ากับซือหยูในตอนนี้ เขาเป็นผู้ซึ่งมีทั้งพลังและอำนาจ
และเขายังเป็นชายคนแรกและคนเดียวของนางนางจึงเขินอายเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเขา
“มีอะไรรึ?”
เขาถามด้วยความกังวลใจ…
นางจะเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขาต่อหน้าคนมากมายอย่างนี้…งั้นรึ?
“ท่านเจ้าพันธมิตรซือคณะวิหคเพลิงหวังจะได้ความคุ้มครองจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์”
เมื่อเฟิงเซี่ยนพูดนางได้กล่าวถึงเรื่องอื่น
ซือหยูขมวดคิ้วเขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะขยายอาณาเขตอำนาจของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์
“ทัพต่างโลกได้ออกไปหมดแล้วไม่มีภัยอันตรายใดอยู่อีก เจ้าต้องการอะไรรึ?”
เฟิงเซี่ยนตอบอย่างจริงจัง
“แม้การรุกรานจากต่างโลกจะจบไปแล้วคณะวิหคเพลิงก็เสียหายอย่างหนัก อำนาจของพวกเราด้อยกว่าแต่ก่อนมากนัก ข้าเชื่อว่าจะมีแทบทุกสำนักที่ต้องการจะขยายอาณาเขตและต่อสู้กันเอง”
นางพูดต่อ
“สำนักขนาดกลางคงไม่พลาดโอกาสนี้แน่พวกเขาจะต้องหาทางชิงดินแดนของสำนักใหญ่ สำนักเล็กเองก็จะต้องจู่โจมสำนักขนาดกลางที่สูญเสียกำลังไปมาก จะมีการต่อสู้ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่เลี่ยงไม่ได้อีก คณะวิหคเพลิงหวังจะเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง”
นางพูดอย่างมีเหตุผลดูเหมือนนางจะคิดอ่านได้อย่างชัดเจน หลังจากสงครามใหญ่ ผู้ปกครองจากหลายที่ต้องการที่จะตั้งตัวใหม่อีกครั้ง
“ย่อมได้”
ซือหยูครุ่นคิดก่อนจะตอบตกลง
“ส่งคำสั่งออกไปให้สำนักทุกสำนักในทวีปเหนืออยู่ในการปกครองของเรา”
อะไรนะ?คำพูดของเขาทำให้ทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ตกตะลึง นั่นหมายความว่าซือหยูอยากจะรวบรวมทวีปเหนือทั้งทวีป พวกเขาสงสัยว่านี่เป็นความทะเยอทะยานที่ซือหยูซ่อนเอาไว้ตลอดมาหรือไม่
“ทวีปเสียหายเพราะทัพต่างโลกเข้ารุกรานตลอดสามปีเราจะปล่อยให้มีการต่อสู้กันเองอีกไม่ได้ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ต้องปกครองสำนักทั้งหมด ใครที่กล้าต่อกรและต่อสู้กันเองจะต้องถูกลงโทษ…”
ซือหยูพูด
ทุกคนเข้าใจแล้วว่าทำไมซือหยูถึงตัดสินใจเช่นนั้นเมื่อได้รับคำอธิบายเพราะทวีปเฉินหลงเสียหายอย่างหนักและทนแบกรับความสูญเสียไม่ได้อีกแล้ว พวกเขารู้สึกว่าหลังจากที่รวบรวมทวีปเหนือ ต่อไปจะเป็นตะวันตก ตะวันออก และทางใต้ พวกเขาจะรวบรวมมันเป็นปึกแผ่นภายใต้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์
ถ้าทำเช่นนี้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะรวบรวมทั้งทวีปเป็นผืนเดียวกัน! เพียงแค่คิดก็ทำให้สมาชิกพันธมิตรในขณะนี้มั่นใจอย่างมากและดูถูกแม้กระทั่งอาณาจักรทมิฬ
“กองทัพควรจะอยู่ที่คณะวิหคเพลิงและจัดการสำนักย่อยๆแต่พวกเจ้าห้ามสังหารใครทั้งนั้น ส่วนหน่วยกวาดล้างจะมากับข้า”
ซือหยูสั่งการออกไปเขาทิ้งกองทัพเอาไว้เพื่อปกป้องคณะวิหคเพลิง
“ลาท่านเจ้าพันธมิตร”
ทัพทหารกล่าวลาซือหยูด้วยความนับถือเมื่อเขานำหน่วยกวาดล้างออกไป
เฟิงเซี่ยนจ้องมองซือหยูด้วยสายตาว่างเปล่าความรู้สึกประหลาดฉาบแววตาสดใสนั้น ซือหยูในตอนนี้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ เขากลายเป็นแม่ทัพของวีรบุรุษมากมาย เขามิใช่เด็กหนุ่มที่บุกเข้ามาในคณะวิหคเพลิงอย่างบ้าบิ่นเพียงเพื่อสตรีคนเดียวอีกแล้ว
นางคิดย้อนกลับไปในค่ำคืนที่ใช้เวลาร่วมกับเขาความโศกเศร้าครั้งนั้นได้จางหายไปราวกับหมอกควันแทนที่ด้วยความภาคภูมิใจ แม้นางจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับเขา นางก็จะเก็บความทรงจำนี้ไว้ในหัวใจ
ผ่านไปหลายชั่วยามซือหยูเดินทางมาเกินพันลี้จนถึงพันธมิตรร้อยดินแดน เขามองผ่านเมืองด้วยเนตรวิญญาณและพบว่ามันเต็มไปด้วยคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ ทุกคนได้ไล่ฆ่าทัพต่างโลกที่ยังเหลืออยู่จนสิ้นซาก ดูเหมือนว่าเจ้าตำหนักฉีจะยึดพันธมิตรร้อยดินแดนกลับคืนมาได้แล้ว
“ท่านเจ้าพันธมิตรเราควรไปเรียกพวกนั้นมาพบท่านหรือไม่?”
ลั่วซวงถาม
ซือหยูส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอกตอนนี้จะเป็นธุระส่วนตัวของข้า ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้”
ผ่านไปนานซือหยูถอนหายใจเมื่อยืนอยู่นอกสำนักหลิวเซี่ยน ที่นี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในเฉินหลงของเขา
สำนักนี้มีศัตรูของเขาอยู่มากมายแต่ก็มีอีกหลายคนที่เคยช่วยเหลือเขาอย่างผู้เฒ่าหน้าตาอัปลักษณ์ที่มีหัวใจอบอุ่น สตรีผู้เย็นชาซึ่งมีจิตใจดี และองค์หญิงหยุนหยานที่เขาติดหนี้อยู่มากนัก แต่ครั้งนี้ อดีตได้จางหายราวกับหมอกควันที่ถูกพัดพาไปตามกาลเวลา
เมื่อซือหยูเข้าไปที่สำนักเขาพบว่ามันมิได้เจริญรุ่งเรืองดั่งในอดีต มีคนอยู่ที่นี่น้อยมาก ทั้งตำหนักและโถงต่างๆดูแทบจะว่างเปล่าและไม่มีเสียงรบกวนดั่งแต่ก่อน
“ที่นี่ยังคงเดิม…แต่ผู้คนเปลี่ยนไปจนข้าจำไม่ได้…”
ซือหยูยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าสำนัก
แคร้ง!
เสียงคนต่อสู้กันดังขึ้นเขาค่อนข้างสับสน…
มีคนบุกเข้ามาที่สำนักหลิวเซี่ยนรึ?
เขารีบเดินตามเสียงไปไม่นานก็พบกับลานฝึกใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนุ่มสาวที่กำลังแข่งขันกัน
เขาเห็นบางคนที่คุ้นหน้าแต่บางคนก็เป็นหน้าใหม่ เขาไม่เห็นเจ้าสำนักหลิวเซี่ยน เขากลับเป็นศิษย์อย่างฉีหงซื่อนั่งอยู่ในที่นั่งเจ้าสำนัก เขาน่าจะเป็นเจ้าสำนักคนใหม่
จางยู่เฟยผู้ที่เป็นหนึ่งในยอดฝีมือทั้งสิบของสำนักยืนอยู่ที่ด้านซ้ายสี่ปีที่ผ่านมา นางได้กลายเป็นผู้เฒ่าที่อายุน้อยที่สุดของสำนัก กาลเวลาที่ผ่านพ้นมิได้เปลี่ยนใบหน้างดงามของนางแม้แต่น้อย นางยังคงสง่างามน่าจดจำเหมือนอย่างเคย
ซือหยูเห็นคนอื่นอีกมากแม้ว่าเขาจะไม่รู้ชื่อ คนเหล่านี้ก็เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนัก และเขาก็ตกใจกับความเปลี่ยนแปลงนี้มาก
“ไม่ต้องทดสอบขั้นต่อไปแล้วสินะ?”
หลังจากการต่อสู้จบลงจางยู่เฟยมองเด็กชายวัยหกขวบอย่างหมดหวัง เขาเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดของที่นี่
ฉีหงซื่ออายุเกินสามสิบปีไปแล้วเขาได้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง
“ทดสอบเขาต่อไปเถอะหลังสงครามจบ ตระกูลที่เราควบคุมดูแลล้วนถูกกำจัดไม่ก็เข้าซ่อนตัวอยู่ จำนวนศิษย์ของเราเหลือน้อยเต็มทีแล้ว”
เขาพูดต่อ
“เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะจากเกาะเฉินยี่ว่ากันว่าเขาเกิดมามีพลังระดับสาม แม้จะอายุน้อยแต่ก็บ่มเพาะจนมีพลังขั้นหกแล้ว ถ้าเขาได้เป็นราชันย์ในสี่ปี เขาจะนับว่าเป็นศิษย์อีกคนที่ยอดเยี่ยมในสำนักเรา”
จางยู่เฟยยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อฟังเขาสำนักหลิวเซี่ยนในตอนนี้ถูกบังคับให้หาศิษย์ที่มีพรสวรรค์แม้แต่ในดินแดนที่รกร้างอย่างเกาะเฉินยี่ และเด็กชายตรงหน้าพวกนางก็มาจากเกาะเฉินยี่
เมื่อคิดถึงเกาะเฉินยี่นางหยุดคิดถึงเด็กหนุ่มผมสีเงินผู้หนึ่งไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนั้นได้กลายเป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์และกลายเป็นบุคคลในตำนาน และพวกนางเพิ่งจะได้ข่าวที่สั่นคลอนไปทั้งทวีป ข่าวนั่นคือเรื่องที่ซือหยูหวาดล้างทัพใหญ่จากต่างโลกและช่วยทวีปเหนือเอาไว้ และคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ในตอนนี้ที่อยู่ใต้การนำของเขากำลังไล่ล่าชาวต่างโลกที่เหลือ!
DND.690 – ทายาทสหายเก่า
สถานะของซือหยูในตอนนี้ทำให้จางยู่เฟยลืมหายใจเมื่อคิดถึงเขาจางยู่เฟยกับฉีหงซื่อเชื่อว่าพวกนางคงงจะไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะได้พูดคุยกับคนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
พวกนางคงจะถูกหัวเราะเยาะหากไปบอกผู้คนว่าพวกนางคือสหายของซือหยูจางยู่เฟยตัดสินใจปล่อยอดีตให้ผ่านไปเมื่อคิดเช่นนี้ เขาปล่อยให้เด็กชายทดสอบต่อไป
เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้นเด็กชายหกขวบดูเยือกเย็นและหนักแน่น ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ท่าทางของเขาดูมั่นใจและเฉลียวฉลาดเกินอายุ เด็กชายยืนแยกตัวจากเหล่าผู้คน
ท่าทางสง่างามที่เขาแสดงออกมานั้นมาจากคนในวังเขาดูไม่เหมือนกับสามัญชนแม้แต่น้อย
“เข้ามา…”
เด็กชายหกขวบพูดอย่างเยือกเย็น
ชายหนุ่มผู้เป็นศัตรูของเขานั้นอายุสิบหกปีชายหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อบนร่าง เขาดูแข็งแกร่งมาก
“ถึงเจ้าจะยังเด็กเจ้าก็ดูแข็งแกร่งมากสินะ”
แม้ว่าชายหนุ่มจะพูดชมเขาก็หัวเราะยั่วยุ
เขาก้าวเข้าไปจู่โจมเด็กชายอย่างรวดเร็วเขาเร็วอย่างกับลิง!
ไม่กี่อึดใจเขาพุ่งมาข้างหน้าได้ไกลและกำลังจะโจมตีเด็กชาย จากฐานพลังของเด็กชาย เขาน่าจะป้องกันได้ยาก
แต่น่าประหลาดใจที่เด็กชายหกขวบเพียงแตะปลายเท้าเบาๆกับพื้นด้วยฐานพลังของเขาที่ยังอยู่ในขั้นผู้ฝึกตน เขาสามารถกระโดดได้สูงมาก
ผู้เฒ่าเริ่มพูดคุยกันในนั้นคือจางยู่เฟยที่ตาลุกวาว
“นั่นมันการเคลื่อนไหวของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์!วิชาตัวเบาของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”
เด็กชายสง่างามราวกับหงส์เขากระโดดขึ้นกลางอากาศและหลบชายหนุ่มได้อย่างไม่ยากเย็น
เวลาเดียวกันยังมีแสงทมิฬปล่อยออกมาจากดวงตาของเขาชายหนุ่มที่ตอบสนองไม่ทันถูกวิชานั้นซัดเข้าใส่ เขาตะโกนด้วยความเจ็บปวดแม้จะดูเหมือนว่าร่างกายของเขาไม่เป็นอะไร
“โจมตีวิญญาณรึ?”
จางยู่เฟยประหลาดใจอีกครั้ง
ฉีหงซื่อกลับครุ่นคิดหลังจากผ่านไปนาน เขาถามอย่างจริงจัง
“ศิษย์น้องจางเจ้าไม่คิดว่าวิชาตัวเบาของเด็กคนนี้ดูคุ้นๆบ้างรึ?”
คุ้นรึ?จางยู่เฟยหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง นางมองดูวิชาบ่มเพาะของเด็กชายและพยายามคิดถึงส่วนลึกที่สุดของความทรงจำ
จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏในใจนางพูดด้วยความลังเล
“ข้าจำได้ว่าซือหยูใช้วิชาเดียวกันตอนที่เขาเป็นผู้ฝึกตนเขาใช้วิชานั้นตอนเข้าคัดเลือก ดูเหมือนว่าวิชาของเขาจะมาจากแหล่งเดียวกัน…”
ฉีหงซื่อพยักหน้าแต่ไม่นานเขาก็ส่ายหน้า
“ไม่ใช่แหล่งเดียวกันหรอกแต่เป็นวิชาเดียวกันเลยล่ะ นี่คือวิชาเงาลอยล่องที่มาจากเกาะเฉินยี่ มันคือวิชาจากตระกูลกษัตริย์”
“หรือเขาจะเป็นญาติกับซือหยู?”
จางยู่เฟยถามด้วยความลังเล
ฉีหงซื่อส่ายหน้า
“ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นซือหยูออกจากเกาะเฉินยี่ตอนอายุสิบสี่ เด็กคนนี้ยังไม่เกิดเลย”
จางยู่เฟยหน้าแดงเล็กน้อยด้วยความอายนางรู้สึกบางอย่างที่ชัดเจนเมื่อแอบมองฉีหงซื่อ นางสงสัยว่าฉีหงซื่ออาจจะจงใจถามนางในเรื่องนี้
หรือว่าฉีหงซื่อจะรู้เรื่องค่ำคืนที่จางยู่เฟยเคยใช้ร่วมกับซือหยูในตอนนั้น?
“กระโดดขึ้นสูงและใช้วิชาโจมตีวิญญาณรึ?เจ้าหนู พอได้แล้ว!”
ชายหนุ่มตะโกนด้วยความโกรธ
เขาเบื่อการถูกจู่โจมอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว!เขาอัดพลังไปที่ขาขวาและเตะด้วยพลังวิญยาณ
ความเร็วของขาเขานั้นสร้างวายุลมที่ทำให้เด็กชายตกใจเด็กชายถูกวายุลมนั้นซัดใส่ขณะที่ลอยกลางอากาศ มันทำให้เขาร่วงลงสู่พื้นในหลังจากนั้น ผลประลองถูกตัดสินใจทันที
“ดูเหมือนว่าเขาจะเด็กเกินไปนะ…”
จางยู่เฟยส่ายหน้าเบาๆด้วยความผิดหวัง
“ถ้าเขาบ่มเพาะอีกสองปีบางทีเขาอาจจะผ่านการทดสอบ แต่ตอนนี้มันยังยากเกินไปสำหรับเขา”
ฉีหงซื่อถอนหายใจ
“คนแพ้ต้องกลับไปหลังจากสามวัน พวกเจ้าแต่ละคนจะถูกส่งกลับ พวกเจ้าค่อยมาทดสอบอีกครั้งหลังจากสามปี”
เด็กชายผู้พ่ายแพ้เสียใจเมื่อทุกคนเลิกหวังกับเขาเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แววตาของเขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
ฉีหงซื่อขมวดคิ้วเบาๆ
“พาตัวเขาไป”
แม้ว่าเขาจะสงสารเด็กชายแต่นี่เป็นการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่เขาจะมีมาตรฐานที่สองกับใคร
มีคนรับคำสั่งพาเด็กชายออกจากลานประลองในทันทีเด็กชายพยายามที่จะลืมตา นั่นก็เพราะมีน้ำตาไหลออกมา เขากลัวว่าน้ำตาจะไหลออกมาเมื่อหลับตา
ความอัปยศจากความพ่ายแพ้ทำให้เขาไม่กล้าเงยหน้าและเดินออกจากเหล่าผู้คนอย่างเงียบเชียบแต่จู่ๆเขาก็เห็นเท้าคู่หนึ่งปรากฏในสายตา
เขาเงยหน้ามองและเห็นชายหนุ่มผู้หน้าตาหล่อเหลาที่มีเส้นผมสีเงินยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้นี้ยิ้มให้เขาและย่อเข่าถาม
“พ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?เขาแข็งแรงดีใช่หรือไม่?”
เด็กชายตัวแข็งทื่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปอีกเพื่อจ้องมองซือหยูด้วยความสงสัยแม้ว่าเขาจะเด็กมาก เขาก็ตื่นตัวและฉลาดหลักแหลม
เด็กชายตอบอย่างใจเย็น
“ท่านพ่อสบายดีข้าขอถาม…ใต้เท้า…ท่านเป็นใครกัน?”
“ข้าเรอะ?หึหึ…เจ้าเรียกข้าว่าลุงเถอะ”
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
เด็กชายกระพริบตาพลางสงสัย…ถ้าเช่นนั้นพี่ชายคนนี้ก็เป็นสหายรุ่นราวเดียวกับท่านพ่อรึ?
แต่เด็กชายยังคงระวังตัวเขายังคงเงียบและไม่กล้าจะบอกเรื่องสภาพร่างกายของพ่อ
ซือหยูหัวเราะและพยายามถามคำถามอื่นแต่จู่ๆก็มีอีกสองคนเดินเข้ามา
“กล้าดียังไง?เจ้าเป็นใครกัน? เจ้าบุกรุกเข้ามาที่สำนักหลิวเซี่ยนเรอะ?”
หนึ่งในสองคนนั้นถามทั้งสองตกใจเมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้า
ซือหยูยืนขึ้นและมองชายทั้งสอง
“เจ้าสองคนมาใหม่สินะ?”
“โอหัง!เราถามเจ้าอยู่! นี่เป็นงานคัดเลือกของสำนักหลิวเซี่ยน เจ้าบุกรุกเข้ามาำทไมกัน? ใครส่งเจ้ามา?”
ชายทั้งสองยังคงถามด้วยความไม่เป็นมิตร
เป็นธรรมดาที่สำนักอื่นจะพยายามหาข้อมูลเรื่องการคัดเลือกศิษย์ของสำนักหลิวเซี่ยนชายสองคนเข้าใจว่าซือหยูแอบมาหาข้อมูล
แต่ซือหยูกลับเผยตัวให้ทุกคนเห็นต่อหน้าต่อตา!นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา เพราะพวกที่มาหาข้อมูลมักจะมาอย่างลับๆ
เสียงเอะอะเริ่มทำให้ผู้คนสนใจฉีหงซื่อรอคนต่อไปที่จะมาทดสอบ แต่เมื่อเขาหันไปมองจุดที่ซือหยูยืนอยู่…เขาก็ตัวแข็งทื่อในทันที ราวกับว่าเขาถูกสายฟ้าฟาดใส่!
จางยู่เฟยรู้สึกแปลกๆนางมองตามฉีหงซื่อ นางเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่เคยเห็นในอดีต แม้จะผ่านไปหลายปี แต่รูปลักษณ์ของชายหนุ่มที่ทั้งคู่เห็นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ราวกับว่าเขาอายุเท่าเดิมมาโดยตลอด!
“ซะ…ซือหยู…”
จางยู่เฟยเอ่ยนามของเขาโดยไม่รู้ตัว
นางไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าซือหยูผู้ที่เป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะมาที่สำนักหลิวเซี่ยน!
“โอหัง!กล้าดียังไงถึงเรียกท่านเจ้าพันธมิตรด้วยนาม?”
ลั่วซวงตะโกนเสียงทุ้มต่ำแรงกดดันของภูติของเขาทำให้ทุกคนใจเต้นแรง
จางยู่เฟยกับฉีหงซื่อตกตะลึงทั้งคู่ยืนตัวสั่นต่อหน้าซือหยู
“ไปคุยที่อื่นกันเถอะ”
ทั้งคู่ตกตะลึงที่ก่อนที่ทั้งคู่จะยืนขึ้นพวกเขาได้ยินเสียงและฝ่ามือที่แตะบ่าของทั้งคู่อย่างแผ่วเบา เจ้าของฝ่ามือนี้ก็คือซือหยู!
พวกเขาอยู่ห่างกันเป็นลี้เมื่อครู่ก่อนแต่ซือหยูก็ปรากฏตัวมาที่หน้าพวกเขาในพริบตาเดียว! ความทรงพลังเช่นนี้ทำให้ทั้งคู่หัวใจแทบหยุดเต้น
ไม่นานก็มีสายฟ้าปรากฏเหนือศีรษะของทั้งคู่ เมื่อพวกนางลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่เงียบและไร้ผู้คน
“ย้ายมิติ!”
ฉีหงซื่อตกใจมาก
พวกเขาหันกลับไปมองชายที่ยืนด้านหลังฉีหงซื่อมิอาจเทียบชายคนนี้กับซือหยูในอดีตได้เลย
“หวังว่าเจ้าสองคนจะสบายดีนะ…”
ซือหยูหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม
ฉีหงซื่อไม่รู้จะพูดตอบอย่างไรจางยู่เฟยเองก็ได้แต่มองดวงตาของซือหยู ไม่นานนางก็ยิ้ม
“พวกข้าสบายดี”
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
“สำนักหลิวเซี่ยนจะฟื้นฟูขึ้นมาแน่”
ทั้งสองหัวเราะอย่างขมขื่นสำนักหลิวเซี่ยนเสื่อมโทรมก็เพราะว่าซือหยูสังหารผู้เฒ่าไปครึ่งสำนักตอนที่เขาพยายามหนีจากสำนัก
“ข้าขอถามได้หรือไม่ทำไมข้าไม่เห็นเจ้าสำนักล่ะ?”
ซือหยูถาม
แววตาฉีหงซื่อหม่นหมอง
“เขาพยายามปกป้องพวกเราท้ายสุด เขาสละชีวิตเข้าสู้กับพวกต่างโลก”
เขาตายแล้วรึ?ซือหยูถอนหายใจ มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในสามปีที่เขาไม่อยู่
“ข้าเสียใจด้วย…”
ซือหยูพูดด้วยความเศร้า
จางยู่เฟยดูจริงจังขึ้นมาแต่นางก็ไม่กล้าจะมองตาซือหยูตรงๆ
“ท่านเจ้าพันธมิตรซือมาทำอะไรที่สำนักหลิวเซี่ยนรึ?ท่านคงไม่ได้มารื้อฟื้นอดีตกับพวกเราแน่”
ซือหยูพยักหน้า
“ใช่แล้วข้าอยากจะถามถึงผู้เฒ่าหยูโหรวกับม่ออู๋ พวกเจ้าได้ข่าวเรื่องที่อยู่ของพวกนางหรือไม่?”
ตั้งแต่ที่เขาพาผู้เฒ่าหยูโหรวไปซ่อนตัวที่เกาะเฉินยี่เขาติดต่อกับนางไม่ได้อีกเลย และเมื่อเขาผ่านสำนักหลิวเซี่ยน เขาจึงตัดสินใจหยุดพักเพื่อถามเรื่องนาง
จางยู่เฟยส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เลย”
ฉีหงซื่อส่ายหน้าเช่นกันคำตอบของทั้งคู่ทำให้ซือหยูผิดหวัง
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปแล้วดูแลตัวเองด้วย…”
ซือหยูพูดขณะยื่นมือไปยังท้องฟ้า
ในตอนนั้นเองภาพอันงดงามได้ถือกำเนิดขึ้น ภาพนี้ไม่ต่างจากภาพเขียน ซือหยูคว้ามันด้วยดัชนีทั้งห้า เมื่อแบมือออกก็มีสัญลักษณ์โปร่งใสที่เปล่งประกายอยู่ภายใน
ซือหยูดีดนิ้วให้ตราสัญลักษณ์ฝังไปที่หน้าผากของจางยู่เฟย
“มันคือฎีกาสวรรค์ของข้าถ้าเจ้ามีปัญหาในอนาคต เจ้าจะขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้”
ซือหยูเตรียมจะเดินทางแต่เขาก็พูดต่อเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
“เด็กชายคนนั้นเป็นทายาทของสหายเก่าของข้าที่เกาะเฉินยี่โปรดดูแลเขาแทนข้าด้วย”
เมื่อพูดจบซือหยูกระโดดขึ้นฟ้าและออกเดินทาง เขาพุ่งออกไปตามด้วยเงาภูติอีกสิบคนที่พุ่งขึ้นมาพร้อมกัน
จางยู่เฟยพูดไม่ออกนางสัมผัสหน้าผากด้วยรอยยิ้ม เขาไม่เคยลืมนางเลย
ฉีหงซื่อกลับยินดียิ่งกว่าสิ่งใดถ้าพวกเขามีของขวัญจากเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เช่นนี้ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ารังแกหรือดูหมิ่นสำนักหลิวเซี่ยนอีก!
ทั้งคู่ใจเย็นลงและรู้สึกว่างเปล่าในใจทั้งคู่จ้องมองซือหยูที่หายลับฟ้า ช่องว่างระหว่างพวกเขากับซือหยูได้กว้างใหญ่ขึ้นไปทุกที
ผ่านไปครึ่งชั่วยามพวกเขากลับมาในที่จัดงานคัดเลือก แต่พวกเขาก็เห็นเพียงว่าที่นี่ตกอยู่ในความยุ่งเหยิง!
“อะไรนะ?ชายคนเมื่อครู่คือเจ้าพันธมิตรซืองั้นเรอะ?”
บางคนอุถทานออกมา
เหล่าคนที่ผ่านการคัดเลือกตกใจอย่างหนักพวกเขาตะโกนพร้อมกัน
“พระเจ้าเขาดูเป็นแบบนั้นมาตลอดเลยรึ?”
“มันจบแล้วคืนนี้ข้านอนไม่หลับแน่ นั่นคือเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่ปกป้องทวีปของเรา! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าจะได้เห็นเขาตัวเป็นๆ!”
สองคนที่ไม่เป็นมิตรต่อซือหยูใบหน้าบิดเบี้ยวทั้งคู่ราวกับเตรียมจะถูกตำหนิ
“เงียบซะการทดสอบจะดำเนินต่อไป…”
ฉีหงซื่อพูดอย่างมั่นคงแม้เขาจะดูจริงจัง แต่น้ำเสียงของเขาก็ดูอ่อนลง
“นอกจากนี้ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องประกาศ”
ฉีหงซื่อมองไปยังเด็กชาย
“เจ้าชื่ออะไร?”
เด็กชายตกใจกับความสนใจของเจ้าสำนักฉีหงซื่อกำลังถามเขา!
“ลี่จุน…”
ฉีหงซื่อยิ้ม
“เอาล่ะลี่จุน เจ้ายินดีจะเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่?”
คำพูดของเขาทำให้ทั้งสำนักเงียบกริบการเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักไม่ต่างกับการได้เป็นผู้สืบทอดสำนักหลิวเซี่ยนในอนาคต!
ลี่จุนยินดีเป็นอย่างมาก
“ขะ!ข้ายินดี!”
แต่เขาสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงถูกเลือกให้กลายเป็นศิษย์ของเจ้าสำนัก…
หรือว่าเป็นเพราะพี่ชายผมสีเงินคนนั้น?
“ท่านเจ้าสำนักมันจะไม่เกินไปหน่อยรึ?”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดด้วยความกังวลใจ
ผู้เฒ่าคนอื่นพยักหน้าและขมวดคิ้วพร้อมกันพวกเขารู้สึกว่าการตัดสินใจของฉีหงซื่อนั้นแปลกประหลาด
ฉีหงซื่อตอบอย่างไร้อารมณ์
“ลี่จุนเป็นทายาทสหายเก่าของบุรุษผู่นั้นพวกเจ้าแน่ใจรึว่าจะต่อต้านการตัดสินใจนี้?”
อะไรนะ?ทายาทของสหายซือหยูงั้นรึ? เหล่าผู้เฒ่าเริ่มหันไปมองลู่จุน แววตาพวกเขาเริ่มอบอุ่นจบแทบจะเผาลู่จุนด้วยสายตาได้
คนที่เก่าแก่ในสำนักกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีเพราะถ้าหากทายาทสหายเก่าของซือหยูได้เป็นเจ้าสำนัก ถึงตอนนั้น แม้แต่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็ไม่กล้าจะมีปากเสียงกับสำนักหลิวเซี่ยน! ทุกคนเริ่มจินตนาการถึงความสงบสุขอีกหลายร้อยปีในอนาคตของสำนักหลิวเซี่ยน!
ฉีหงซื่อกังจางยู่เฟงมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล
หลังจากที่การทดสอบจบลงทั้งสองไปยังที่พำนักของผู้เฒ่า ในด้านที่ดูเรียบง่าย สตรีที่งดงาม เย็นชา และอ่อนโยนสองคนกำลังบ่มเพาะพลังอย่างเงียบเชียบ
“ท่านอาจารย์เจ้าพันธมิตรซือมาที่นี่ ท่านต้องสัมผัสถึงเขาได้แน่ ทำไมไม่ออกไปหาเขาเล่า?”
ฉีหงซื่อถามขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูกับจางยู่เฟย
หยูโหรวกับม่ออู๋อยู่ในสำนักหลิวเซี่ยน!หยูโหรวลืมตาขึ้นช้าๆโดยไม่พูดอะไร
ม่ออู๋ลืมตาขึ้นช้าๆ
“ท่านอาจารย์ไม่เสียใจดี?ถ้าท่านไปตอนนี้ ท่านอาจจะตามทัน”
ใบหน้างดงามของหยูโหรวแสดงความเจ็บปวด
“เรามิได้ช่วยเขาในเวลาอันยากลำบากและเขาได้สร้างชื่อด้วยตัวเองมาแล้ว คงน่าละอายนักหากจะต้องพบกับเขา ส่วนเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดถึงเขามาก ทำไมเจ้าไม่ออกไปเจอเขาเล่า?”
ม่ออู๋เงียบและขบริมฝีปากเบาๆนางคิดไม่ตก
ผ่านไปนานดวงตาของนางดูสดใสดั่งแก้ว
“ข้าไม่เคยได้รับโชคอันใดในการเลือกหนทางนี้ข้าเพียงแค่อยากติดตามท่านอาจารย์เท่านั้น”
หยูโหรวถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“ไม่ว่าจะอย่างไรอนาคตก็ยังมีโอกาส ข้าเชื่อว่าเราจะได้เจอกับเขาอีกครั้ง”
ที่เขตเซี่ยนหยูบนเกาะเฉินยี่ซือหยูยืนอยู่หน้าตำหนัก เขาดูยินดีเป็นอย่างมาก เคยมีเรื่องเกิดขึ้นที่นี่และถูกขัดขวางเมื่อหกปีก่อน วันนี้ เขาจะต้องทำสิ่งที่ไม่สำเร็จให้ได้!
เขาจะประวิงงานแต่งงานของเขากับเซี่ยนเอ๋อไม่ได้อีกแล้วซือหยูเดินเข้าสู่ตำหนักด้วยความคิดนี้
ด้านในตำหนักชายวัยกลางคนกำลังอ่านตำราอยู่ใต้แสงตะวัน เขาดูสงบสุขยิ่งนัก
ซือหยูมองเขาโดยไม่ทักให้รู้ตัวเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซือหยูจึงเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ
“ท่านเจ้าพันธมิตรท่านไม่เข้าไปพบเขารึ?”
ลั่วซวงเห็นแววตาซือหยูและบอกได้เลยว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับชายวัยกลางคนผู้นี้
ซือหยูดูพอใจ
“ข้าได้เห็นเขาแล้วไม่จำเป็นที่ข้าต้องทำให้ท่านเป็นห่วง ข้าไปทั้งแบบนี้จะดีกว่า”
เขาพูดต่อ
“แต่ข้าจะไปคนเดียวเจ้าจงอยู่ที่นี่กับหน่วยกวาดล้าง ส่งจดหมายนี้ให้่เขา บอกเขาว่าวันที่ข้ากลับมาจะเป็นวันที่ข้าแต่งงานกับเซี่ยนเอ๋อ ข้าจะขอให้เขาดื่มน้ำชาหนึ่งถ้วยที่ข้ารินให้”
หลังจากที่ซือหยูสั่งเขายื่นจดหมายให้ลั่วซวง ลั่วซวงแปลกใจมาก
“แล้วนายท่านจะไปไหนรึ?”
ซือหยูมองไปยังมหาสมุทรอันห่างไกล
“ข้าจะไปช่วยสหายเก่าที่ก้นบึ้งมังกร”
ทันทีที่พูดจบ…ซือหยูหายลับขอบนภา

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท