ตอนที่ 402 ไอดีนี้เป็นของใคร
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่อิ๋งเย่ว์เซวียนเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เครื่องมือตรวจจับก็บอกเธอว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในตัวอิ๋งเย่ว์เซวียนกำลังปล่อยสัญญาณอยู่
อิ๋งจื่อจินจึงคอยสังเกต
เสื้อผ้าของอิ๋งเย่ว์เซวียนไม่มีช่องกระเป๋า แต่เธอพบว่ามือของอิ๋งเย่ว์เซวียนถูตรงชายเสื้อ
ตรงชายเสื้อมีแผ่นเหล็กกลมๆ ที่ไม่สะดุดตาหนึ่งชิ้น
เหมือนแฟลชไดร์ฟจิ๋วไร้สายที่จั่วหลีให้เธอไม่มีผิด
ถ่ายโอนข้อมูลระยะไกล อีกทั้งยังห่างแค่หนึ่งเมตร เรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก
ด้วยเหตุนี้เธอถึงได้สวมถุงมือก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ส่งผลต่อลายนิ้วมือ
ขณะที่อิ๋งเย่ว์เซวียนยังอยากพูดอะไรต่อ เจ้าหน้าที่สองคนก็จับเธอใส่กุญแจมือแล้วเอาตัวออกไปจากห้องโถงใหญ่แล้ว
ที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นยังไม่ไปไหน
พอเห็นทีมสืบสวนคุมตัวอิ๋งเย่ว์เซวียนออกมาก็พากันมองไปทางนั้น
มีทั้งสายตาสงสัยและรังเกียจ
“เธอเป็นใครน่ะ ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นใครก็น่าขายหน้าจริงๆ”
“เห็นทีจะคนนี้แหละที่ขโมยข้อมูลการทดลอง ทำพวกเราที่เป็นผู้เข้าแข่งขันขายหน้าจริงๆ”
“เธอหน้าคล้ายผู้เข้าแข่งขันที่หน้าตาดีคนนั้นอยู่นะ แต่ก็ยังด้อยกว่าเยอะ จึ๊ๆ แล้วนี่ยังจะนิสัยแย่อีก”
มีสารพัดคำพูดดังอยู่รอบหูของอิ๋งเย่ว์เซวียนจนหูเกือบอื้อไม่ได้ยินอะไร
เธอไม่กล้าเงยหน้าขึ้น มองจากด้านหลังดูจนตรอกหมดสภาพ
เถิงอวิ้นเมิ่งที่อยู่ด้านหลังพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โชคดีที่จื่อจินมีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นคงถูกปรักปรำไปแล้ว”
ถ้าอิ๋งจื่อจินไม่เอาแฟลชไดร์ฟไร้สายออกมา ลำพังแค่พวกข้อมูลการทดลองที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ของเธอก็เพียงพอให้ทีมสืบสวนเอาตัวเธอไปขังได้แล้ว
อิ๋งจื่อจินพูด “เธอวางแผนไว้แบบนั้น”
“ชั้นต่ำสิ้นดี” เถิงอวิ้นเมิ่งยังโมโหไม่หาย “ก็ไม่รู้ว่าใครสั่งสอนมาจนกลายเป็นแบบนี้”
คิดแล้วก็ถามต่อ “ฉันได้ยินมาว่าอาจารย์หลัวหยิ่งมาก จื่อจิน ทำไมเธอดูสนิทกับอาจารย์หลัวจังล่ะ”
“อืม…” อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดเล็กน้อย “เธอเป็นภรรยาของศาสตราจารย์จั่วหลี”
เถิงอวิ้นเมิ่งตะลึง “จริงเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “ใช่ แต่หลายคนไม่รู้”
ดังนั้นหลังจากที่จั่วหลีซื้อแผ่นมาร์คหน้าขาวใสไปจากเธอ เธอก็เลยได้รู้จักอาจารย์หลัว
ไม่อย่างนั้นเรื่องในวันนี้คงยุ่งยากนิดหน่อย
…
ภายในโรงแรมห้าดาวอีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินอ่านข้อความวีแชท ดวงตาดอกท้อก็หรี่ลงเล็กน้อย
เขานั่งพิงโซฟา ขายาวงออยู่
มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ กดหาเบอร์ที่เก็บมานานในสมุดโทรศัพท์แล้วกดโทรออก
ปลายสายเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ที่เคยมาบ้านครอบครัวเวินเพื่อชวนเวินทิงหลานเข้าสาขาคอมพิวเตอร์
“ทำไมอยู่ๆ นายก็โทรหาฉัน” ศาสตราจารย์สูงวัยตกใจกึ่งรู้สึกเซอร์ไพรส์ “หรือว่าคิดดีแล้ว อยากมาเข้าสาขาคอมพิวเตอร์ของพวกเรา”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ให้แม้แต่โอกาสให้เขาได้วาดฝัน พูดเสียงเนือย “เปล่าครับ”
“งั้นเรื่องอะไร” ศาสตราจารย์สูงวัยชักหงุดหงิด “ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะมาสวัสดีปีใหม่ย้อนหลัง”
ฟู่อวิ๋นเซินหยุดเล็กน้อย “รู้จักศาสตราจารย์ที่ชื่อหลี่เหยียนไหมครับ”
“หลี่เหยียนเหรอ” ศาสตราจารย์สูงวัยอึ้ง “ต้องรู้จักอยู่แล้ว เขามุ่งมั่นเรื่องบ่มเพาะเด็กรุ่นหลังที่เก่งๆ มาตลอด เมล็ดพันธุ์ชั้นดีหลายคนก็ฝีมือเขาหามาทั้งนั้น”
“ตอนนี้เขามีนักเรียนคนหนึ่งที่ชื่ออิ๋งเย่ว์เซวียน” ฟู่อวิ๋นเซินพูด “เป็นตัวเลือกที่จะเข้าไปทำงานในห้องทดลองของเขา อีกทั้งยังเป็นผู้เข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของไอเอสซี”
“อิ๋งเย่ว์เซวียนเหรอ” ศาสตราจารย์สูงวัยดันแว่นตา “ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ฉันจะไปเช็กดู นายอยากให้ฉันดูแลเธอเป็นพิเศษเหรอ”
ศาสตราจารย์สาขาคอมพิวเตอร์มีหลายสิบคน แต่ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์มีแค่คนเดียว
ศาสตราจารย์หลี่เป็นแค่คนรุ่นหลังของศาสตราจารย์สูงวัยคนนี้
สองคนที่ศาสตราจารย์สูงวัยเก็บเอามาใส่ใจที่สุด นอกจากฟู่อวิ๋นเซินแล้วก็มีแค่เวินทิงหลาน
ฟู่อวิ๋นเซินพูด “เธอขโมยข้อมูลการทดลองของศูนย์วิจัยในเมืองมหาวิทยาลัยของยุโรป ทั้งยังโยนความผิดให้คนอื่น”
“ว่าไงนะ!” ศาสตราจารย์สูงวัยได้ฟังก็สีหน้าเปลี่ยน “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”
วงการวิชาการถือสาเรื่องอะไร
การปลอมแปลง
แต่เรื่องขโมยมันรุนแรงยิ่งกว่าการปลอมแปลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใส่ความคนอื่นเลย
“คณะกรรมการไอเอสซีกับศูนย์วิจัยกำลังจัดการเรื่องนี้” ฟู่อวิ๋นเซินพูดต่อ “ผมโทรมาบอกก่อน สาขาคอมพิวเตอร์จะได้ไม่เสื่อมเสียชื่อเสียงครับ”
“เข้าใจแล้ว” ศาสตราจารย์สูงวัยก็โมโหอยู่ไม่น้อย “ฉันจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
“งั้นผมก็ขอขอบคุณศาสตราจารย์เซวียกั๋วหวาล่วงหน้าครับ” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้มมุมปาก “ไว้ผมไปตี้ตูจะขอเลี้ยงข้าวสักมื้อนะครับ”
“คิดว่าฉันอยากให้นายมาเลี้ยงข้าวเหรอ” เซวียกั๋วหวาอยากปาโทรศัพท์ทิ้ง “นายเก่งคอมพิวเตอร์ขนาดนี้ทำไมต้องหนีไปเป็นประธานอะไรนั่นด้วย นายต้องอ่านนิยายมากไปแน่ๆ”
ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาปวดใจขนาดไหนหลังจากเห็นรูปกับบทความที่เกี่ยวกับฟู่อวิ๋นเซินในนิตยสารการเงิน
ครั้งนี้ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไรแบบที่เห็นได้ยาก
เขาเงียบไปชั่วครู่ มือยันหน้าผาก หัวเราะเสียงเบา “ขอโทษด้วยครับศาสตราจารย์เซวีย ผมตั้งกฎกับตัวเองไว้ว่าจะไม่แตะต้องคอมพิวเตอร์อีกถ้าไม่มีเรื่องที่ล้ำเส้นของผม”
“ว่าไงนะ” เซวียกั๋วหวาได้ฟังก็อึ้ง “นี่มันกฎบ้าบออะไร เพ้อเจ้อใช่ไหม”
“เกี่ยวพันถึงเรื่องส่วนตัวครับ” ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลง “ไม่สะดวกบอก”
“เอาเถอะ ไม่สะดวกก็ไม่ต้องบอก” เซวียกั๋วหวาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงลำบากใจ “ยังไงก็ขอบใจนายที่โทรมาบอกเรื่องนี้ แค่นี้นะ ฉันจะไปหาหลี่เหยียน”
คุยเสร็จฟู่อวิ๋นเซินก็เอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ด้านข้าง ลุกเดินไปที่หน้าต่าง
แสงแดดกำลังดี เจิดจ้าแต่ไม่แยงตา
คล้ายกับว่ามีเพียงการอยู่ภายใต้แสงแดดเท่านั้นถึงจะสามารถหลีกหนีจากความมืดมิดได้
ฟู่อวิ๋นเซินมองมือตัวเองแล้วเงียบไปอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าวันเวลาที่สงบแบบนี้จะคงอยู่ไปได้อีกนานเท่าไร
ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วส่งข้อความวีแชท
[เยาเยา เที่ยงนี้อยากกินอะไร]
อิ๋งจื่อจินตอบกลับมาสั้นๆ
[หมาล่าทั่ง][1]
ฟู่อวิ๋นเซินก้มหน้า ยิ้มเล็กน้อย
[ได้ ว่าที่แฟนสาว อีกเดี๋ยวว่าที่แฟนหนุ่มจะไปหา]
…
เวลานี้อิ๋งเย่ว์เซวียนถูกเอาตัวไปที่ห้องสอบสวนแล้ว
ทีมสืบสวนไม่อยู่ ไปหารองผู้อำนวยการก่อน
เหลือแค่เผยเทียนอี้
เผยเทียนอี้ขอไว้ เขาต้องการคุยกับอิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นการส่วนตัว
อิ๋งเย่ว์เซวียนที่ถูกใส่กุญแจมือนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษ
“อิ๋งเย่ว์เซวียน เธอทำให้พี่ผิดหวังมาก” เผยเทียนอี้เงียบไปนานกว่าจะพูดขึ้น “พี่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะกลายเป็นแบบนี้”
คำพูดนี้จี้โดนจุดเจ็บปวด
ริมฝีปากของอิ๋งเย่ว์เซวียนสั่นอย่างรุนแรง “รุ่นพี่จะเข้าใจอะไร ไม่รู้เหรอคะว่าเธอเป็นภัยต่อฉันมาก”
สิ่งที่ได้มาแล้ว ทำไมเธอต้องมาสูญเสียไปอีก
ขอแค่ไม่มีอิ๋งจื่อจิน เธอก็จะยังคงเป็นคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียวของตระกูลอิ๋ง
ต่อให้วันหน้าจงมั่นหวากับอิ๋งเจิ้นถิงรู้เรื่องเส้นสายที่อิ๋งจื่อจินมีก็จะจนปัญญาแล้ว
เธอก็แค่คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะมีจุดจบแบบนี้
เธอไม่ได้เพิ่งวางแผนด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
เมื่อตอนต้นปีหลังจากเธอเจออิ๋งจื่อจินในห้องทดลองที่สร้างขึ้นใหม่ของมหาวิทยาลัยตี้ตู เธอก็เริ่มวางแผน
เธอแอบถามเผยเทียนอี้แบบอ้อมๆ เรื่องการทดลองของพวกเขา เลยรู้ว่าข้อมูลการทดลองกับแผนวิจัยของพวกเขาสำคัญขนาดไหน
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่ใช่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยตี้ตู จึงยังไม่มีสิทธิ์ซื้อแฟลชไดร์ฟจิ๋วไร้สายที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่นี้
ด้วยเหตุนี้เมื่อเดือนที่แล้วเธอถึงไปตี้ตูอีกครั้งแล้วหยิบมาจากคลังเก็บของของมหาวิทยาลัยตี้ตูหนึ่งชิ้น
แฟลชไดร์ฟจิ๋วไร้สายมีขนาดเล็กมาก เป็นแค่แผ่นเหล็กบางๆ ทั้งยังสามารถเอาติดเสื้อผ้าได้ พกพาสะดวก
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าทำไมแฟลชไดร์ฟจิ๋วของเธอถึงไปอยู่ในมืออิ๋งจื่อจินได้
อิ๋งเย่ว์เซวียนกัดริมฝีปากแน่น
ขอแค่เธอทำสำเร็จ ชีวิตอิ๋งจื่อจินก็จะถูกทำลาย
พลาดไปแค่นิดเดียวเท่านั้น
เธอพลาดตรงไหนกันแน่
“เย่ว์เซวียน คนเราไม่เหมือนกัน ทำไมเธอต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นให้ได้” เผยเทียนอี้ผิดหวังยิ่งกว่าเดิม “อารมณ์อิจฉาริษยาเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่การลงไม้ลงมือมันจะยิ่งน่าขยะแขยงแล้ว”
คำว่าขยะแขยงทำให้อิ๋งเย่ว์เซวียนหน้าซีดลงไปอีก
เผยเทียนอี้ไม่เคยพูดกับเธอด้วยถ้อยคำรุนแรงมาก่อน
“เธอจัดการเอาเองแล้วกัน” เผยเทียนอี้เม้มริมฝีปาก ข่มความโกรธ “คราวนี้พี่ช่วยเธอไม่ได้แล้ว”
“ไม่ ควรพูดว่าเธอมันไม่คู่ควร คนอย่างเธอ ไม่คู่ควรมีเพื่อน”
เผยเทียนอี้รู้สึกแค่ว่ามันน่าตลกสิ้นดี
เมื่อวานเขายังพูดอย่างมั่นใจกับรองผู้อำนวยการอยู่ว่าไม่มีทางเป็นอิ๋งเย่ว์เซวียนแน่นอน ทั้งยังรับประกันให้เธอ
ความจริงในวันนี้ได้ตบหน้าเขาเต็มๆ
เชื่อใจคนสนิทมากเกินไปก็ถือว่ากรรมตามสนองเขาแล้ว
เขากลับไปอยู่ที่ศูนย์วิจัยไม่ได้แล้ว
เรื่องนี้เป็นสิ่งย้ำเตือนเขาตลอดเวลา
เผยเทียนอี้ไม่มองอิ๋งเย่ว์เซวียนอีก เขาเดินออกไป
อิ๋งเย่ว์เซวียนยังคงนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น
เธอรู้ว่าครั้งนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ!
…
หลังจากเผยเทียนอี้ออกจากห้องสอบสวนก็ไปจัดการสะสางธุระที่ศูนย์วิจัย
เขาเก็บของส่วนตัวทั้งหมดออกจากส่วนทดลอง
ตอนที่จะออกไปมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งทักทายเขา “คุณเผย เกิดอะไรขึ้นครับ”
เจ้าหน้าที่มีหน้าที่แค่เฝ้าตรงประตูทางเข้าออก ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโซนใจกลาง
เผยเทียนอี้ยิ้มเศร้า “กรรมตามสนองครับ ต่อไปคงไม่มาอีกแล้ว”
เจ้าหน้าที่อึ้ง ส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เผยเทียนอี้ยื่นบัตรสำหรับผ่านประตูคืน ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบเห็นสมุดรายชื่อบนโต๊ะอย่างไม่ตั้งใจ
บรรทัดสุดท้ายเขียนข้อมูลไว้อย่างชัดเจน
วันที่ 10 พฤษภาคม ระดับเอ คนชี้ทาง
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่คำหลังสุด ไม่เคลื่อนไปไหน
เผยเทียนอี้วางของในมือลงทันที เขาชี้สมุดรายชื่อ ลมหายใจถี่เร็ว “ไอดีนี้เป็นของใครครับ”
[1]หมาล่าทั่ง ซุปเผ็ดที่มีการใส่ผักและเนื้อสัตว์ต่างๆ คล้ายสุกี้ แต่ทำเป็นชามเดี่ยว