คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 475 คุณหนูใหญ่ตัวจริงของตระกูลซิว

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 475 คุณหนูใหญ่ตัวจริงของตระกูลซิว

ความนิยมของรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 202 มีมากกว่าวัยรุ่นสร้างฝัน 101 แบบทิ้งห่างไปไกลมาก อีกทั้งเป็นเพราะเทียนสิงมีเดียปิดกิจการ งานของวงที่เดบิวต์จากวัยรุ่นสร้างฝัน 101 จึงลดฮวบ

ซิวเหยียนมีงานอยู่ไม่น้อย และยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์หรูหลายแบรนด์

แต่ก็เป็นเพราะแบรนด์เหล่านั้นเห็นแก่หน้าของตระกูลซิว ไม่ได้เกี่ยวกับเทียนสิงมีเดีย

ซิวเหยียนเองก็รู้ว่า ถ้าเธอเอาแต่ใจรับงานในวงการบันเทิงต่อก็จะไม่มีรายได้เข้ามาอีก

เมื่อเทียบกับต้องเป็นแบบนั้น ไม่สู้อำลาวงการดีกว่า

อย่างไรเสียเธอก็เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วหลังจากถูกชาวเน็ตขุดเรื่องฐานะของเธอ สักวันหนึ่งเธอก็ต้องกลับเข้าตระกูลอยู่ดี

แฟนคลับของเธอยังดีใจแทนเธอมาก

[แอทซิวเหยียน : ก็ไม่เชิงว่าออกจากวงการไปเสียทีเดียว เดือนหน้าทางสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนมีนิทรรศการภาพเขียนอักษรพู่กัน ภาพเขียนของฉันเข้ารอบด้วยค่ะ ถ้าใครอยู่ตี้ตูไปดูได้นะคะ]

[สนับสนุนเบบี๋เหยียน ไปแน่นอน!]

[ภาพเขียนของเบบี๋เหยียนยืนหนึ่ง สุดยอดมาก อายุแค่นี้ผลงานก็ได้รับเลือกเข้านิทรรศการภาพเขียนอักษรพู่กันระดับประเทศแล้ว]

ซิวเหยียนจะกลับไปเป็นคนธรรมดาแล้ว บรรดาแฟนคลับก็เลยพยายามอวยเต็มที่

[สุดยอดอะไรกัน ลืมไปแล้วเหรอว่าเคยถูกเทพอิ๋งข่มจนมีสภาพไหน]

[อ๋อๆ พูดถึงเรื่องนี้ ฉันขำแทบตาย คิดว่าตัวเองเขียนภาพเก่งมาก อยู่ๆ ไปลากเทพอิ๋งมาแข่ง สุดท้ายโดนตบหน้าเข้าอย่างจังต่อหน้าคนมากมาย แถมยังต้องให้เงินเทพอิ๋ง ไม่เคยเห็นใครทำเรื่องโง่เท่านี้มาก่อน]

ต่อมาอิ๋งจื่อจินกลายเป็นคนโด่งดัง ตอนนี้ชาวเน็ตหลายคนเลยเริ่มขุดข่าวกับข้อมูลในอดีตของซิวเหยียน

ตอนนั้นที่ซิวเหยียนไลฟ์สดก็มีคนอัดเอาไว้แล้วโพสต์ลงเน็ต เดิมทีมียอดคนดูไม่เท่าไร ตอนนี้กลับดังขึ้นมา

ยังมีปรมาจารย์ภาพเขียนอักษรพู่กันจีนเคยติชมภาพอักษรของอิ๋งจื่อจิน มีแต่คำชม

ชาวเน็ตที่อยู่นอกวงการไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่ไม่มีทางดูไม่เข้าใจผลคะแนนที่ออกมา

[ข่มแล้วไง อย่างน้อยเบบี๋เหยียนก็เป็นสมาชิกของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน อิ๋งจื่อจินไม่ใช่]

[ฉันขอเตือนจริงๆ นะ อย่าเอะอะก็เอามาเทียบกับเทพอิ๋งเสียหมด เทพอิ๋งเก่งทุกอย่าง พร้อมทำให้เธอช็อกได้ตลอดเวลา ไม่แน่เธออาจเป็นสมาชิกของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนเหมือนกันก็ได้ เอาจริงๆ นะ ตั้งใจใช้ชีวิตให้ดีเถอะ]

[ออกจากวงการก็ดีแล้ว เกิดอยากไปเหยียบเทพอิ๋งโดยไม่ดูกำลังตัวเองอีก เทพอิ๋งเป็นถึงซีอีโอของชูกวงมีเดีย ไม่แบนดาราอย่างเธอไปเลยเหรอ]

รอยยิ้มที่มุมปากของซิวเหยียนเริ่มแข็งทื่อ หลังจากลบคอมเมนต์พวกนี้เสร็จเธอถึงจะออกจากเวยปั๋ว

เธอเริ่มเติมเครื่องสำอาง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห กำจนลิปสติกหักไปหนึ่งแท่ง

ซิวเหยียนลุกเดินออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง เจอซิวอวี่ที่อยู่ในชุดแข่งรถเตรียมไปซ้อมรถพอดี

สายตาของซิวเหยียนเย็นชา แต่กลับพูดเสียงเบา “เสี่ยวอวี่ ในที่สุดเธอก็กลับมาสักทีนะ พวกผู้ใหญ่ในตระกูลรอเธอจนร้อนใจกันหมดแล้ว”

“เธอเป็นชาเขียว[1]ยี่ห้ออะไรล่ะ เสแสร้งเก่งขนาดนี้” ซิวอวี่กอดหมวกกันน็อค หันกลับมาเลิกคิ้วใส่ “เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าโฆษณาให้พวกเขาหน่อย ให้พวกเขาทำแพ็คเกจของเธอให้ดี”

“กลิ่นชาของเธอมันอบอวลใส่ฉันเหลือเกิน ช่วยเก็บให้มิดชิดหน่อย”

“ซิวอวี่ ฉันรู้ว่าเธออัดอั้นตันใจ” ซิวเหยียนยิ้ม “เธอไม่รู้สินะ บอกว่าจัดงานเลี้ยงต้อนรับเธอ แต่จริงๆ แล้วเป็นงานหมั้นของฉัน คู่หมั้นของฉันอันที่จริงควรเป็นของเธอ”

“พวกไฮโซที่คุณปู่เชิญมา เชิญให้มาเป็นเกียรติในงานของฉันทั้งนั้น”

“เธอเป็นคุณหนูใหญ่ตัวจริงของตระกูลซิวแล้วยังไงล่ะ ก็ยังถูกฉันเหยียบได้ไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ ปู่ของเธอ แต่ไม่ใช่ปู่ของฉัน” ซิวอวี่ขี้เกียจคุยด้วย “คู่หมั้นบ้าบออะไร อยากได้ฉันยกให้”

ซิวเหยียนประคองรอยยิ้มต่อไปไม่อยู่แล้ว โมโหจนหน้าเขียว “ซิวอวี่ เธอ…”

ซิวอวี่ไม่สนใจซิวเหยียน ออกจากบ้านตระกูลซิวไปที่สนามแข่งรถ

สนามแข่งรถเงียบสงัด มีรถจอดกระจัดกระจายอยู่ไม่กี่คัน ในเลนแข่งยังมีฝุ่นกับใบไม้ร่วงอยู่ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนมาทำความสะอาดนานแล้ว

เนื่องจากตอนนั้นนักแข่งมือหนึ่งตายระหว่างเกิดอุบัติเหตุ ช่วงหลายปีมานี้ตระกูลซิวก็ไม่ได้คว้าอันดับที่ดีอะไรในการแข่งขัน ปีนี้ก็เลยจะยอมแพ้

ผู้เฒ่าซิวก็เอาเงินของทีมรถแข่งไปให้ซิวเหยียนกับน้องชายแล้ว

แต่ทีมรถแข่งทีมนี้เป็นทีมที่ซิวเซ่าหนิงพ่อของเธอสร้างมา จะแยกย้ายกันไปแบบนี้ไม่ได้

ซิวอวี่เตรียมลงแข่งขันเอฟวันของปีนี้

ช่วงหลายปีที่มือของเธอบาดเจ็บ เธอก็ยังคงซ้อมแข่งรถในระดับทั่วไปอยู่

หลังจากเข้าไปนั่งในรถ ซิวอวี่ก็ส่งข้อความหาอิ๋งจื่อจิน

[พ่ออิ๋ง ฉันล่ะยอมใจจริงๆ รู้ไหมว่ายัยนั่นอวดฉันว่าอะไร หาว่าฉันไม่อยากได้คู่หมั้นยัยนั่นเลยได้เสียบแทน นี่ไม่เท่ากับเก็บรองเท้าเก่าของฉันไปใส่เหรอ ตระกูลจี้แล้วไง ฉันต้องชอบพวกเขาด้วยหรือไง]

พอถึงเวลากินข้าวตอนหกโมงอิ๋งจื่อจินถึงได้ตอบกลับ

[เธอยังต้องเกี่ยวดองกับตระกูลจี้ด้วยเหรอ]

ซิวอวี่ยักไหล่ พิมพ์ต่อ

[ฉันลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ชื่อจี้อวิ๋นตงอะไรนั่น ฉันไม่เคยเห็นหน้าหรอก ใครจะไปรู้ว่าเขาเป็นลาหรือม้า ฉันชอบคนที่หน้าตา หน้าตามีตำหนินิดหน่อยฉันไม่เอาหรอกนะ ฉันกลัวว่าถ้าฉันเจอเขาเดี๋ยวได้หวดหมัดใส่]

พอเห็นชื่อนี้อิ๋งจื่อจินก็ครุ่นคิด

วันนี้เธอได้เจอจี้อวิ๋นตงแล้ว ก็คือเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างจี้อี้หยวน

อายุยี่สิบสองปี หน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ

หากว่ากันด้วยเรื่องความสามารถทางด้านวิจัยก็ด้อยกว่าจี้หลีมาก

แถมเริ่มจะหัวล้านแล้วด้วย

อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว

[อยากให้ช่วยแนะนำผู้ชายให้ไหม]

[ไม่เอาๆ ฉันยังอยากเป็นอิสระอีกหลายปี]

[แผนของเธอล่ะ]

[วางใจได้ เตรียมเสร็จแล้ว รอแค่นังชาเขียวซิวเหยียนกระโดดเข้ามา]

อิ๋งจื่อจินหลุบตาลงแล้วถามต่อ

[ยังคงไม่มีข่าวของพ่อเธอเหรอ]

[ไม่มี แต่อาฉันบอกว่า เขาอาจไม่ได้จากบ้านไปเอง มีร่องรอยฝีมือคน ฉันกำลังสืบอยู่]

[น่าจะไม่มีอันตราย วางใจได้]

[ฉันรู้ว่าพ่ออิ๋งกำลังปลอบใจฉัน แต่ฉันไม่เป็นไร]

[เปล่า เพราะฉันเป็นหมอดูกำมะลอ]

[…]

ภายในห้องทดลองดีสามสี่ อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เธอเคยพยากรณ์พิกัดของซิวเซ่าหนิงพ่อของซิวอวี่

ผลที่ได้คล้ายตอนทำนายให้นอร์ตัน

ไม่มีพิกัดชัดเจน เรื่องเดียวที่แน่ใจได้คือยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต

แน่นอนว่าตอนนี้เธอยังพยากรณ์ไม่ได้ทุกอย่าง ไว้รอญาณพยากรณ์ฟื้นฟูอีกหน่อยค่อยลองใหม่

ถ้ายังพยากรณ์ได้แบบนี้อีกก็อาจมีเรื่องยุ่งยากแล้ว

“พ่อคะ พ่อกับเสี่ยวหลีกลับบ้านเถอะค่ะ” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “เหลือหนูเฝ้าห้องทดลองก็พอ”

จี้หลีเช็ดเหงื่อ “เทพอิ๋ง ไม่เอา ฉันกางเตียงนอนที่นี่ก็ได้แล้ว พ่อฉันก็ทำแบบนี้บ่อยๆ”

เวลาจี้อี้หางงานยุ่งมากจะไม่กลับบ้าน นอนในห้องทดลอง นานสุดก็หนึ่งเดือน

ด้วยเหตุนี้ทุกห้องทดลองจึงมีเตียงพับไว้ให้

“กลับด้วยกันเถอะ” เวินเฟิงเหมียนหลุดขำ

“วันนี้คืบหน้าไปเร็วมาก ได้หนึ่งในสี่แล้ว อีกไม่กี่วันก็คงได้ผลการทดลอง ไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนั้น”

อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ค่ะ งั้นก็กลับด้วยกัน”

เธอก้มหน้า ตอบแชทฟู่อวิ๋นเซิน

[กินข้าวตามเวลาแล้ว]

ไม่กี่วินาทีถัดมาก็มีข้อความตอบกลับ

[เด็กน้อยเป็นเด็กดี]

วันต่อมา

เวลาห้าโมงเย็น

บรรดาแขกเหรื่อที่ผู้เฒ่าซิวเชิญมาต่างมากันพร้อมเพรียง

ตระกูลเนี่ยกับตระกูลมู่ก็ส่งคนมา รวมถึงผู้สืบทอดทั้งสองอย่างเนี่ยเฉากับมู่เหวยเฟิง

“คุณท่านครับ” พ่อบ้านกระซิบ “วิธีนี้ได้ผลดีมากเลยครับ ถึงแม้พวกเขาจะมาเพราะคุณซิวอวี่ แต่พอถึงเวลาคนภายนอกมีแต่จะคิดว่ามาเพราะคุณหนูใหญ่ครับ”

คุณหนูใหญ่ในที่นี้หมายถึงซิวเหยียน

พ่อบ้านพูดต่อ “กลัวแค่ว่าพอถึงเวลาคุณซิวอวี่จะโวยวายขึ้นมาน่ะสิครับ”

ผู้เฒ่าซิวขมวดคิ้ว “ปล่อยให้เธอโวยวายไป ช่วยไม่ได้ ต้องให้ซิวเหยียนแต่งเข้าตระกูลจี้ให้ได้ วันหน้าค่อยชดเชยให้เธอ จะมาถือสาเรื่องพวกนี้ทำไม”

ตระกูลจี้อยากได้เงินทุนจากตระกูลซิว ตระกูลซิวก็อยากได้ผลงานคิดค้นของตระกูลจี้

แน่นอนว่าถ้าคนที่เกี่ยวดองด้วยเป็นซิวอวี่จะดีกว่านี้ แต่ด้วยนิสัยของซิวอวี่ ไม่มีทางไปอยู่ตระกูลจี้แน่นอน

“ไป” ผู้เฒ่าซิวสั่ง “เข็นฉันไปต้อนรับแขก”

พ่อบ้านรับทราบ เข็นเก้าอี้รถเข็นออกไป

จี้อี้หยวนก็มาถึงนานแล้ว พอเห็นผู้เฒ่าซิวออกมาก็รีบเข้ามาหาทันที

“ท่านผู้เฒ่า” เขามีท่าทีนอบน้อม แนะนำเด็กหนุ่มที่เขาพามาด้วย

“นี่ก็คืออวิ๋นตงลูกชายของผมครับ เมื่อก่อนท่านผู้เฒ่าก็เคยเจอครับ”

“ต้องเคยเจอสิ” ผู้เฒ่าซิวก็มีรอยยิ้มแบบที่เห็นได้ยาก

“ชั่วพริบตาผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว อวิ๋นตงก็โตขนาดนี้แล้วนะ”

จี้อวิ๋นตงดูเหม่อหน่อยๆ

เขารู้มานานแล้วว่าต้องแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลซิว ส่วนจะเป็นซิวเหยียนหรือซิวอวี่ เขายังไงก็ได้

แต่เขาก็เคยรู้เรื่องนิสัยของซิวอวี่มา เขารับไม่ได้จริงๆ

ขอแค่ซิวเหยียนสงบเสงี่ยมหน่อยก็พอแล้ว

“พ่อครับ” ทันใดนั้นจี้อวิ๋นตงก็พูดขึ้น เสียงสั่นเล็กน้อย “ดูสิ นั่นประธานฟู่ใช่หรือเปล่า”

“ว่าไงนะ” จี้อี้หยวนอึ้ง เงยหน้ามองไป

เห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำที่เรียบกริบ ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว

รูปร่างสมบูรณ์แบบ สูงยาวผึ่งผาย

คนที่เคยอ่านนิตยสารการเงินไม่มีทางไม่รู้จักฟู่อวิ๋นเซิน

“ท่านผู้เฒ่าครับ ท่านเชิญประธานฟู่ของวีนัสกรุ๊ปมาได้เลยเหรอครับ” จี้อี้หยวนก็ตะลึงมาก “สุดยอดเลยครับ”

ผู้เฒ่าซิวก็อึ้งเหมือนกัน

เขาส่งบัตรเชิญให้วีนัสกรุ๊ป แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าฟู่อวิ๋นเซินจะมา

จี้อี้หยวนดันตัวจี้อวิ๋นตง “อวิ๋นตง รีบไปสิ”

ฟู่อวิ๋นเซินเป็นประธานโซนเอเชียแปซิฟิกของวีนัสกรุ๊ป ดูแลแค่เรื่องการนำเข้าสินค้าแบรนด์เนมของประเทศจีนก็จริง

แต่อย่างไรเสียก็เป็นผู้บริหารระดับสูงของวีนัสกรุ๊ป ย่อมรู้จักกับผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ ของสำนักงานใหญ่

ไม่แน่อาจช่วยแนะนำตระกูลจี้ให้กับทางห้องทดลองชั้นแนวหน้าที่อยู่ในสังกัดของวีนัสกรุ๊ปได้

พวกห้องทดลองที่อยู่ในสังกัดวีนัสกรุ๊ป แม้แต่พวกสี่ตระกูลมหาเศรษฐีของยุโรปก็จ้องตาเป็นมัน

จี้อวิ๋นตงยกแก้วขึ้น เดินเข้าไปหาอย่างสง่างาม

“ประธานฟู่ครับ ขอบคุณมากครับที่มาร่วมเป็นเกียรติในงานหมั้นของผมกับคุณซิวเหยียน”

[1]เธอเป็นชาเขียว คำแสลงในภาษาจีน หมายถึงคนตอแหล

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท