ตอนที่ 520 พ่ายแพ้หน้าแหก ตบหน้ารัวๆ
ตอนนี้หลีเหวินเซวียนนอนหมดสติอยู่บนเตียง หลีหานจงใจมาเยาะเย้ย แม่หลีจึงรู้สึกขุ่นเคืองใจ
โดยเฉพาะเวลาแม่หลีนึกถึงตอนนั้นที่คลอดหลีหานออกมา ถูกพ่อแม่สามีดูถูกมาตลอด ความอัดอั้นตันใจที่มีต่อหลีหานจึงระเบิดออกมา
หากลูกคนแรกของเธอเป็นผู้ชาย เธอก็ไม่มีทางถูกคนรอบตัวมองด้วยสายตาเย็นชา
แม่หลีเช็ดน้ำตา “ตอนนี้น้องชายของลูกมีสภาพแบบนี้ ดีใจมากใช่ไหม เสี่ยวหาน แม่คิดว่าลูกเป็นคนจิตใจดีมาตลอด นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกจะกลายเป็นแบบนี้”
“เก่งจังนะเรื่องอ้างศีลธรรม” หลีหานตบมืออีกครั้ง “รุ่นน้องอิ๋ง ขอโทษทีนะ ผู้หญิงคนนี้ดูละครที่ทัศนคติบิดเบี้ยวมาเยอะตั้งแต่เด็ก”
“อืม” อิ๋งจื่อจินหันไป “มองออก”
หยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “แอบขยะแขยงนิดหน่อย”
“ใช่ไหมล่ะ” หลีหานแสยะยิ้ม “แสร้งทำเป็นร้องไห้ขายความสงสารอยู่ตรงนี้ คนไม่รู้คงคิดว่าฉันเป็นแม่ด้วยซ้ำ ร้องทำไม ร้องอีกเดี๋ยวลูกชายก็ได้ตายจริงหรอก”
นับตั้งแต่เธอรู้ว่าถูกยืมดวงมาสามปีจนวันหนึ่งอาจตายเพราะถูกยืมดวงได้ เธอก็ไม่รู้สึกมีเยื่อใยกับครอบครัวนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อก่อนพ่อทุบตีเธอ แม่ก็ยังคอยปกป้อง แต่ตอนนี้ดูท่าก็เป็นแค่การกระทำเพียงผิวเผิน
ในสายตาของพ่อแม่คู่นี้ มีแค่หลีเหวินเซวียนเท่านั้นที่เป็นลูกของพวกเขา
แม่หลีหน้าซีด
“หุบปาก!” พ่อหลีลุกพรวด พูดขัดจังหวะ แสยะยิ้ม “แกจะมาเทียบกับน้องชายแกได้ยังไง แกสืบสกุลได้เหรอ อีกหน่อยแกมีลูกก็ไม่ได้แซ่หลี!”
“ตามประมวลกฎหมายแพ่งมาตราที่หนึ่งพันสิบห้า…” พอได้ยินแบบนั้นอิ๋งจื่อจินก็เหลือบตาขึ้นแล้วพูด “ลูกควรใช้แซ่ตามพ่อหรือแม่”
พ่อหลีถูกพูดแทงใจดำ สีหน้าเปลี่ยนทันที “ฉันไม่สงไม่สนกฎหมายแพ่งหรอก หลีหาน แก…”
“ไม่เคยอ่านหนังสือก็อย่าอวดดี พูดอะไรไร้สาระ” หลีหานไม่แคร์พ่อหลีที่โมโหขาดสติ เธอแค่ยิ้มพลางพูด “ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะมีลูกหรือเปล่า ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง พวกคุณยุ่งอะไรด้วย”
แม่หลียังร้องไห้อยู่ ฟังถึงตรงนี้ก็พูดขึ้น “ลูกจะไม่มีลูกได้ยังไง ลูกเป็นผู้หญิงนะ ลูก…”
ยังไม่ทันพูดจบก็มีสมุดเล่มเล็กฟาดเข้ามาที่หน้า
แม่หลีอึ้ง
ในสมุดนั้นจดพวกยอดการใช้เงินต่างๆ
มีตั้งแต่ลายมือหวัดไปจนถึงลายมือเป็นระเบียบ เป็นสมุดเก่าหลายปีแล้ว หน้ากระดาษกลายเป็นสีเหลือง
“นับตั้งแต่ฉันขึ้นมอต้น พวกคุณก็ไม่เคยให้เงินฉันสักแดงเดียว แถมตอนนี้ยังคิดจะเอาชีวิตฉันอีก” หลีหานชูนิ้วหนึ่ง “ในนี้ระบุยอดเงินที่พวกคุณเคยจ่ายให้ฉัน ไว้ถึงเวลาฉันจะชดใช้ให้ แต่อีกหน่อยหน้าที่เลี้ยงดูพวกคุณไม่ใช่หน้าที่ฉัน”
“จริงสิ ลืมบอกพวกคุณไป ฉันสมัครไปทำโปรเจ็กต์ของทางยุโรปแล้ว พวกคุณไม่ต้องคิดจะตามหาฉัน ยังไงซะพวกคุณก็ไม่มีแม้แต่พาสปอร์ต ออกจากประเทศไม่ได้”
พ่อหลีโกรธหน้าเขียว “หลีหาน แกหมายความว่าไง ฉันเลี้ยงแกมาจนโต แกต้องเลี้ยงดูฉันตอนแก่!”
เขาเองก็รู้ว่าหลีเหวินเซวียนไม่เอาไหน แต่นั่นลูกชายของเขา
เขายังคาดหวังว่าหลีหานจะหาเงินเพื่อช่วยประคองหลีเหวินเซวียน
แต่เขาเองก็รู้ว่าหลีหานพูดแบบนี้ออกมาได้ก็แสดงว่าเอาจริง
“เก็บมรดกไว้ให้ลูกชายของพวกคุณนะ สมบัติที่มียังไม่ถึงห้าหลักด้วยซ้ำ ฉันเขียนโค้ดเดือนเดียวก็หามาได้แล้ว เอาจริงๆ นะ พวกคุณสองคนมันก็แค่คนแก่ไร้ค่า” หลีหานชี้ที่เตียง “ส่วนเขาน่ะ เป็นเด็กหนุ่มไร้ค่า พวกคุณไปกองรวมกันเถอะ”
พูดจบก็จับตัวอิ๋งจื่อจิน “ไปเถอะรุ่นน้องอิ๋ง”
พ่อหลีโมโหคุมสติไม่ได้แล้ว “หลีหาน! แกกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงประตูปิดดัง ปัง ตอกใส่หน้าเขากลับไป
แม่หลีนั่งเหม่อ
ด้านนอกห้อง
หลีหานลงจากตึกไปกับอิ๋งจื่อจิน รู้สึกโล่งอก เช็ดเหงื่อ พูดด้วยเสียงเย็นชา “ได้ด่าออกไป รู้สึกโล่งขึ้นเยอะ”
อย่างไรซะเซวียกั๋วหวาก็มองเธอเป็นเหมือนหลานสาว เธอเองก็ไม่ได้ไร้ญาติขาดมิตร
“รุ่นน้องอิ๋ง ฉันลืมถามเรื่องศาสตราจารย์เกอร์เวนไปเลย” หลีหานคิด “คือ…นี่ไม่ถือว่าฉันช่วยเธอนะ ยังมีเรื่องอื่นที่อยากให้ฉันช่วยไหม”
อิ๋งจื่อจินคืนชีวิตให้กับเธอ
ต่อให้เธอต้องตายเพราะอุบัติเหตุการทดลอง เธอก็ไม่อยากแบ่งดวงให้หลีเหวินเซวียนแม้แต่น้อยอยู่ดี
อิ๋งจื่อจินส่ายหน้าเล็กน้อย “รุ่นพี่รับปากเข้าร่วมโปรเจ็กต์ก็ถือเป็นการช่วยฉันแล้วค่ะ”
หลีหานอึ้ง ขมวดคิ้ว “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างไกล แววตาเหม่อลอย “เพราะโปรเจ็กต์นี้มีความเป็นไปได้ว่าอาจไม่จบภายในสิบปีหรือแม้กระทั่งยี่สิบปี”
“ด้วยความสามารถของรุ่นพี่หลี ต่อให้รุ่นพี่ไม่ร่วมโปรเจ็กต์นี้ ในห้าปีก็สามารถแจ้งเกิดในวงการวิจัยวิทยาศาสตร์ได้เหมือนกันค่ะ”
“อ่อ อย่างนั้นเหรอ” หลีหานไม่แคร์ “พวกการวิจัยวิทยาศาสตร์มันก็เป็นสงครามยาวนานอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำพูดไป ฉันก็สนใจโปรเจ็กต์ยานอวกาศข้ามจักรวาลมากนะ ไว้ถึงเวลาฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันความก้าวหน้าทางอารยธรรมของมนุษย์ ฉันก็ดีใจอยู่นะ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า เธอถามขึ้น “ต้องการให้ช่วยในทางกฎหมายไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอก” หลีหานส่ายมือ “ฉันเตรียมไว้ก่อนแล้ว”
เธอเดินต่อไปได้สองสามก้าวก็สังเกตเห็นว่าอิ๋งจื่อจินยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
หลีหานหยุดเดิน โบกมือข้างหน้าอิ๋งจื่อจิน “รุ่นน้องอิ๋ง”
“ฉันกำลังคิดว่า ฉันเอาไปทำละครได้ ใช้เรื่องนี้เตือนสติผู้หญิงให้มากขึ้น” อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดแล้วพูด “หมู่บ้านที่พี่ว่าอยู่ที่ไหน ฉันจะให้ทีมงานไปถ่ายทำจากสถานที่จริง”
หลีหาน “?”
นี่เท่ากับเธอช่วยหางานให้พวกนักศึกษาของสถาบันการละครที่อยู่ข้างๆ หรือเปล่านะ
อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนประสบความสำเร็จ
…
วันต่อมา
หลินจิ่นอวิ๋นพร้อมลูกน้องไปเยี่ยมโหลวเหวินไห่
ลูกศิษย์ของโหลวเหวินไห่มีเยอะมาก กลุ่มนี้กับอีกกลุ่มก็มาเยี่ยม ภายในห้องผู้ป่วยมีคนเข้าออกตลอด
ลูกศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เพิ่งเข้าวงการได้ไม่นาน ยังไม่รู้การมีอยู่ของโลกจอมยุทธ์ ย่อมไม่รู้จักหลินจิ่นอวิ๋น
โหลวเหวินไห่ฟื้นแล้ว แต่ร่างกายแข็งทื่อขยับไม่ได้
“เหวินไห่ ปรมาจารย์ท่านนั้นคือใคร” หลินจิ่นอวิ๋นเข้าประเด็นทันที “ค่ายกลที่ใช้เป็นของสายไหน”
ไม่เหมือนกับจอมยุทธ์และแพทย์แผนโบราณ ศาสตร์พยากรณ์มีมาตั้งแต่สมัยยุคเซี่ยซังโจวแล้ว เพียงแต่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้มีหลายสายที่หายสาบสูญไป
ใครจะไปรู้ว่าพอได้ยินประโยคนี้โหลวเหวินไห่ราวกับมีอะไรสร้างความสะเทือนใจอย่างรุนแรง ดวงตาเหลือกแล้วหมดสติไปอีกครั้ง
หลินจิ่นอวิ๋นขมวดคิ้ว มองคนข้างๆ
คนนั้นเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของโหลวเหวินไห่ เขาตัวสั่น รีบตอบ “นายท่าน อาจารย์ถูกเล่นงานกลับอย่างรุนแรงขณะที่กำลังทำนายครับ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะฟื้นกลับมา อาจเป็นไปได้ว่า…”
เขาพูดด้วยความลำบากใจ “ชีวิตนี้กลับมาเป็นปกติไม่ได้แล้วครับ”
“หนักขนาดนั้นเลยเหรอ” หลินจิ่นอวิ๋นตกใจนิดหน่อย “อาจารย์ของคุณไปทำนายอะไรเข้า”
หลินจิ่นอวิ๋นไม่เข้าใจเรื่องการพยากรณ์มากนัก แต่ก็รู้ว่าบนโลกนี้ใช่ว่าจะพยากรณ์ได้ทุกเรื่อง
อีกทั้งเรื่องที่พยากรณ์ได้ก็แตกต่างกันไปตามความสามารถของนักพยากรณ์
แต่โหลวเหวินไห่สามารถพยากรณ์ได้แม้กระทั่งดวงของตระกูล ยังจะถูกเล่นงานกลับเพราะอะไรได้อีก
“ผมก็ไม่แน่ใจครับ” ลูกศิษย์คนนั้นลำบากใจ “ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่กับอาจารย์ รู้แค่ว่าหลังจากอาจารย์สู้กับปรมาจารย์คนนั้นก็กลายเป็นแบบนี้แล้วครับ”
หลินจิ่นอวิ๋นพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วออกไปพร้อมลูกน้องเพื่อไปที่บ้านเก่าของตระกูลตี้อู่
แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์
ขนาดตี้อู่ชวนยังบอกว่าไม่รู้ว่าปรมาจารย์คนนี้คือใครกันแน่
หลินจิ่นอวิ๋นเม้มริมฝีปาก “สืบต่อ ทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ ต้องเชิญไปที่ตระกูลหลินให้ได้”
…
หลีเหวินเซวียนนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่เกือบอาทิตย์ เดิมทีออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่อยู่ๆ กลับอาการทรุดหนักลงไปอีกครั้งจนทางโรงพยาบาลต้องออกหนังสือแจ้งอาการวิกฤติ
หลีเหวินเซวียนมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หนึ่งเดือนแล้ว
พ่อหลีก็รู้เรื่องที่โหลวเหวินไห่ป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อ ติดต่อหลีหานไม่ได้ ใกล้เป็นบ้าเต็มที
แม่หลีก็เอาแต่ร้องไห้ “พ่อ แบบนี้จะทำไงดี”
“พวกเราไปที่มหาวิทยาลัยตี้ตู!” พ่อหลีกัดฟันกรอด “ถ้ามันไม่ออกมา ฉันจะป่าวประกาศให้คนเขารู้เลยว่ามันไม่ดูดำดูดีคนในครอบครัว ดูซิว่าจะอายไหม!”
แม่หลีลังเล “แบบนั้นไม่ดีหรือเปล่า”
“แล้วอยากเห็นเหวินเซวียนตายไปแบบนี้เหรอ”
แม่หลีไม่พูดอะไรแล้ว
พ่อหลีไปที่มหาวิทยาลัยตี้ตูด้วยความโมโห จากนั้นถึงได้พบว่าเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหลีหานเรียนสาขาอะไร และก็ไม่รู้เลขหอพัก
ไม่นานก็มีอาสาสมัครนักศึกษาสังเกตเห็นเขากับแม่หลี จึงพาทั้งสองคนไปที่สภานักศึกษา
เหยียนอันเหอกำลังหารือกับพวกหัวหน้าฝ่าย มองต่ำด้วยสายตาสำรวจ “พวกคุณเป็นพ่อแม่ของหลีหานเหรอคะ”
เสื้อผ้าที่เหยียนอันเหอสวมใส่สั่งตัดมาทั้งนั้น ท่าทางหยิ่งยโส
แม่หลีออกอาการเกร็ง “ชะ ใช่ คุณกับเสี่ยวหานเป็นอะไรกันเหรอคะ”
“ฉันชื่อเหยียนอันเหอ เป็นเพื่อนของเธอค่ะ” เหยียนอันเหอยิ้ม พูดแฝงความนัย “พวกคุณบอกว่าหลีหานไม่ดูดำดูดีพวกคุณเหรอคะ”
“ใช่ ตามนั้นเลย!” พ่อหลีใส่ไฟเล่าเรื่องทั้งหมด ยกเว้นเรื่องยืมดวง “มันบล็อกเบอร์ฉันกับเบอร์แม่ของมัน พวกเราก็จนปัญญา เลยต้องมาขอความช่วยเหลือจากทางมหา’ลัย คุณช่วยเรียกมันออกมาได้หรือเปล่า”
เหยียนอันเหอตอบ “หลีหานเป็นคนหัวรั้น ต่อให้เรียกออกมาได้ก็ไม่มีทางฟังพวกคุณหรอกค่ะ”
แม่หลีลนลานยิ่งกว่าเดิม “งั้น งั้นจะทำไงดีล่ะ”
“พวกคุณบอกฉันก็ไม่มีประโยชน์ ต้องพูดต่อหน้านักศึกษาคนอื่นด้วย” เหยียนอันเหอตอบ “มีคนอยู่เยอะ หลีหานไม่มีทางหักหน้าพวกคุณ จะตามพวกคุณกลับไป”
พ่อหลีดวงตาเป็นประกาย “คุณเหยียน ผมต้องการแบบนั้นแหละครับ แต่ผมไม่มีทางเรียกรวมนักศึกษาจำนวนมากขนาดนั้นได้”
อกตัญญูถือเป็นความผิดใหญ่หลวง
หลีหานกล้าตัดความสัมพันธ์กับพวกเขา งั้นเขาก็จะทำให้หลีหานอยู่ในมหาวิทยาลัยตี้ตูต่อไปไม่ได้ ชื่อเสียงต้องเหม็นเน่าฉาวโฉ่
“พวกคุณโชคดีจริงๆ นะคะ วันนี้นักศึกษาปีสามมีฟังบรรยายในหอประชุมใหญ่พอดี” เหยียนอันเหอยืนขึ้น ยิ้มพลางพูด “ฉันพาพวกคุณไปแล้วกัน พวกคุณก็พูดไปตามจริง มีคนตั้งเยอะแยะขนาดนั้นช่วยดูอยู่ ไม่ต้องกลัวค่ะ”
ภายในหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยตี้ตู นักศึกษาปีสามส่วนใหญ่มากันครบ มีเกือบห้าพันคน
วันนี้เดิมทีเป็นศาสตราจารย์ชาวต่างชาติคนหนึ่งมาบรรยาย พวกนักศึกษาจึงมาถึงก่อนครึ่งชั่วโมง
แต่การบรรยายยังไม่ทันเริ่มก็มีชายวัยกลางคนปรากฏตัว แต่งตัวซอมซ่อ
ด้านล่างพากันซุบซิบ
“นี่ใครอะ”
“ใครอะ หน้าตาน่ากลัว แต่งตัวไม่เรียบร้อย เข้ามาได้ไง”
“เสี่ยวหาน!” รูมเมทตะลึง พูดเสียงเบา “นั่นพ่อเธอไม่ใช่เหรอ”
หลีหานสีหน้าเรียบเฉย
เธอกะแล้วว่าพ่อแม่เธอไม่มีทางเลิกราง่ายๆ
ก็ดี
พ่อหลีที่อยู่บนเวทีร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด
“ผมกับแม่ของเธอจนปัญญาแล้วจริงๆ น้องชายของเธอกำลังจะตาย แต่เธอไม่ยอมกลับไปดู ทั้งยังบอกจะตัดความสัมพันธ์กับพวกเรา”
“หลังจากเธอเข้ามหาวิทยาลัยตี้ตูก็ไม่เห็นหัวคนจนอย่างพวกเราอีกเลย”
พวกนักศึกษาต่างก็ตกใจ
อย่างไรเสียหลีหานก็มีชื่อเสียงที่ดีมากในมหาวิทยาลัย มีรุ่นน้องหลายคนที่ศรัทธาในตัวเธอ
“หลีหานเป็นคนแบบนี้เหรอ ไม่น่ามั้ง…”
“คือ น้องชายจะตายแล้วยังไม่กลับไป มันออกจะเลือดเย็นเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
รูมเมทรู้ความจริง โมโหมาก ถกแขนเสื้อขึ้น “เสี่ยวหาน ฉันจะไปถีบเขาลงมา”
“ไม่ต้อง” หลีหานแสยะยิ้ม เปิดคลิปที่ก่อนหน้านี้เธอตัดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว
เวลานี้มีข้อความวีแชทเด้งขึ้นมา
อิ๋งจื่อจินส่งมา
[ส่งคลิปมา พ่อกับแม่พี่มีงานทำไหม]
หลีหานยังไม่ทันได้คิดว่าทำไมอิ๋งจื่อจินรู้ว่าเธอมีคลิปก็กดส่งให้ไปก่อนแล้ว จากนั้นก็พิมพ์ที่อยู่กับชื่อบริษัทส่งไปอย่างรวดเร็ว
อิ๋งจื่อจินมองดู
เธอเปิดคอมพิวเตอร์ กดเปิดสามหน้าต่างแล้วเริ่มพิมพ์โค้ดใส่
สามหน้าต่างนี้แยกออกเป็นเชื่อมต่อกับหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยตี้ตู บริษัทที่พ่อหลีกับแม่หลีทำงานอยู่
ไม่มีการรีรอ แฮกเข้าไปทันที
ครั้นแล้วในขณะที่พ่อหลีกำลังโอดครวญประณามอย่างเต็มที่ว่าหลีหานอกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่สนว่าน้องชายจะเป็นหรือตาย หน้าจอด้านหลังก็เลื่อนลงมา
เหยียนอันเหอที่นั่งอยู่ด้านล่างก็เห็นแล้ว แต่ไม่สนใจ คิดว่าคนที่อยู่ในห้องควบคุมเผลอกดผิด
เธอค่อยๆ หันไปมองหลีหานที่สีหน้าเย็นชา ยิ้มพลางพูด “หลีหาน ดูไม่ออกเลยจริงๆ นะว่าแม้แต่พ่อแม่เธอก็ทอดทิ้งได้”
หลังจากวันนี้ไป ชื่อเสียงของหลีหานในมหาวิทยาลัยตี้ตูจะถูกทำลาย แล้วยังจะแข่งกับเธอได้อย่างไรอีก
เวลานี้บนหน้าจอใหญ่ได้ปรากฏภาพขึ้น
เป็นคลิปวิดีโอที่ตัดต่อเอาหลายคลิปมาต่อกัน
บุคคลที่อยู่ในนั้นคือพ่อหลี
เห็นได้ชัดว่าถ่ายจากมุมของผู้สนทนาอีกฝ่าย
ขยายให้เห็นใบหน้าโกรธบิดเบี้ยวของพ่อหลีอย่างชัดเจน
“ฉันจะบอกแกให้ อีกหน่อยทรัพย์สมบัติในบ้านแกอย่าได้คิดจะเอาไปแม้แต่แดงเดียว ทั้งหมดเป็นของน้องชายแก”
“แล้วก็ แกเป็นผู้หญิงจะเรียนไปทำไม มีประโยชน์หรือไง ไม่ต้องเลือกคณะเรียนแล้ว รีบไปทำงานมาส่งเสียน้องชายแกเรียนไป”
“ปวดท้องเหรอ ปวดท้องก็อดทนสิ วันนี้น้องชายแกจะไปเที่ยวสวนสนุก แกจัดการตัวเองไปแล้วกัน”
“ลูกสาวก็คือตัวขัดดอก เข้าใจหรือเปล่า”
เกิดความเงียบขึ้นในห้องประชุม
ทุกสายตาต่างมองไปที่พ่อหลี