ตอนที่ 528 ตระกูลหลินไม่ไหวเลยนะ คนคุ้นเคย นามแฝงที่สอง
ฝีมือการรักษาไม่ใช่บทจะมีก็มี ต้องใช้ประสบการณ์สั่งสมมา
อย่างไรเสียแม้แต่การเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยยังต้องเรียนห้าปี เยอะกว่าเรียนคณะอื่นหนึ่งปี
นับตั้งแต่รู้ว่าพวกศาสตราจารย์ของหลายคณะและผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยต่างพากันปกป้องอิ๋งจื่อจิน เธอเลยไปสืบหาข้อมูลของอิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ
ต้องยอมรับเลยว่าเป็นอัจฉริยะจริงๆ
แต่ข้อมูลสิบกว่าปีเกี่ยวกับอิ๋งจื่อจินก็ไม่มีตรงไหนที่ระบุว่าเธอรักษาคนได้
ใช่ อิ๋งจื่อจินเป็นแชมป์ของการแข่งขันไอเอสซี
แต่ไอเอสซีก็แค่การแข่งขันของกลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมปลาย ไม่ได้เกี่ยวพันถึงการรักษาคนไข้ แล้วอิ๋งจื่อจินมีสิทธิ์อะไรที่จะมาเข้าร่วมกลุ่มของพวกเขา มีสิทธิ์อะไรมาเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยตูริน
โครงการแลกเปลี่ยนครั้งก่อนเหยียนอันเหอไม่ได้เข้าร่วม แต่เธอได้ยินจากพวกรุ่นพี่มาแล้วว่าพวกเขาแพ้ให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยตูริน
ให้คนนอกมาเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน นี่ไม่เท่ากับจงใจทำให้มหาวิทยาลัยตี้ตูขายหน้าเหรอ
เหยียนอันเหอไม่รู้ว่าศาสตราจารย์กู่คิดอะไรอยู่
“อ๋อ ใช่ อาจารย์รู้” ศาสตราจารย์กู่พยักหน้า มองเหยียนอันเหอ เขาเองก็แปลกใจ “ถ้าเหมือนกันล่ะก็ สาขาชีวะเคมีไม่ยุบรวมเข้ากับคณะแพทย์ไปแล้วเหรอ”
เพ้อเจ้อ
คณะแพทยศาสตร์ของพวกเขาเป็นถึงหนึ่งในสามคณะใหญ่เชียวนะ!
เหยียนอันเหอเห็นศาสตราจารย์กู่ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการสื่ออะไรจึงพยายามอดทน พูดตรงยิ่งกว่าเดิม “ศาสตราจารย์กู่คะ หนูหมายความว่ารุ่นน้องอิ๋งเป็นคนของสาขาชีวะเคมี ศาสตราจารย์ไปพาเธอมาทำไมคะ”
“ก่อนหน้านี้พูดแล้วไม่ใช่เหรอว่า หัวหน้าของพวกเธอป่วย ขาดคน อาจารย์ก็เลยไปแย่งคนมาจากเสี่ยวจั่ว ไม่ง่ายเลยนะ” ศาสตราจารย์กู่นั่งลง มองนักศึกษาปีห้าอีกสามคน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเธอต้องดูแลรุ่นน้องหน่อยนะ มีอะไรไม่เข้าใจก็ลองปรึกษากันดู”
คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยตี้ตูมีทั้งแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตก
หลักสูตรที่เหยียนอันเหอเรียนคือแพทย์แผนตะวันตก แต่เนื่องจากเธอได้คลุกคลีกับแพทย์แผนโบราณหลายคนของสมาพันธ์โอสถผ่านทางเหยียนรั่วเสวี่ยมานานแล้ว ตอนนี้ฝีมือการรักษาของเธอด้วยแผนจีนจึงดีกว่าแผนตะวันตก ทั้งยังถนัดเรื่องยา
ให้เธอปรึกษาอิ๋งจื่อจินงั้นเหรอ
เหยียนอันเหอข่มอารมณ์โกรธ สีหน้าเย็นชา ชักสีหน้าแม้แต่กับศาสตราจารย์กู่
นักศึกษาชายพยักหน้า “แน่นอนครับ”
พูดจบเขาก็หันไปแนะนำตัวกับอิ๋งจื่อจิน “สวัสดีครับรุ่นน้องอิ๋ง พี่ชื่อเฉินฉี่ เรียนเวชศาสตร์คลินิก”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้าให้ “สวัสดีค่ะ”
นักศึกษาอีกสองคนก็แนะนำตัวเอง
เหยียนอันเหอฝืนยิ้ม เธอยิ้มประชด “ฉันคงไม่ต้องแนะนำตัวเองแล้วหรือเปล่า รุ่นน้องอิ๋งต้องรู้จักฉันแน่นอน”
ช่วยหลีหานต่อต้านเธอ เธอจำได้
อีกทั้งเป็นเพราะอิ๋งจื่อจินเธอถึงต้องเลิกกับหนิงอวี่เจ๋อ
หรือแม้กระทั่งเมื่อวาน แม้แต่เว่ยจื่อซวี่ก็บล็อกเธอแล้ว เธอยังไม่ได้ถามถึงเหตุผลเลยด้วยซ้ำ
สมาชิกฝึกหัดทุกคนของหน่วยอีจื้อไปอยู่สนามฝึกแล้ว ยิ่งติดต่อไม่ได้เข้าไปใหญ่
เหยียนอันเหอไม่รู้ว่าสนามฝึกอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าเธอหมดวาสนากับหน่วยอีจื้อแล้ว
อิ๋งจื่อจินไม่เงยหน้า ไม่สนใจ
เธอรินน้ำร้อนแล้วค่อยๆ จิบ
กลับกลายเป็นศาสตราจารย์กู่ที่รู้สึกแปลกใจ “นักศึกษาเหยียน ทำไมนักศึกษาอิ๋งต้องรู้จักเธอด้วยล่ะ นักศึกษาอิ๋งเพิ่งมาอยู่มหาวิทยาลัยตี้ตูได้ไม่นานไม่ใช่เหรอ”
เขาได้ยินจากจั่วหลีมาแล้วว่า ส่วนใหญ่อิ๋งจื่อจินจะอยู่ในห้องทดลองตลอด ยกเว้นตอนเข้าร่วมฝึกระเบียบทหาร
ไม่มีแม้กระทั่งเวลาไปเข้าสภานักศึกษา หรือพวกชมรมโต้วาที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกิจกรรมอื่นเลย
รอยยิ้มของเหยียนอันเหอชะงัก รู้สึกอาย “ศาสตราจารย์กู่คะ หนูเป็นประธานสภานักศึกษา เคยเจอรุ่นน้องอิ๋งตอนฝึกระเบียบทหารค่ะ”
“อ่อ” ศาสตราจารย์กู่พยักหน้า ไม่ได้สนใจอีก
เขาหยิบเอกสารที่เตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋าแล้วแจกให้สมาชิกทั้งห้า
“เรื่องหัวหน้ากลุ่ม ให้เฉินฉี่เป็นแล้วกัน” ศาสตราจารย์กู่พูด “พวกเธอไปเตรียมตัวให้ดี วันมะรืนนักศึกษามหาวิทยาลัยตูรินจะมากันแล้ว ครั้งนี้พวกเขา…”
หยุดเล็กน้อย ขมวดคิ้ว “มีนักศึกษาสองคนได้เริ่มก้าวสู่วงการแพทย์ระดับโลกแล้ว เก่งมาก พวกเธอต้องระวัง”
วงการแพทย์ต้องดูกันที่ประสบการณ์
แต่คนที่สามารถก้าวสู่วงการแพทย์ระดับโลกได้ตั้งแต่ยังอยู่มหาวิทยาลัยก็แสดงว่าฝีมือและพรสวรรค์ไม่ธรรมดา
อิ๋งจื่อจินเปิดดูเอกสารที่ศาสตราจารย์กู่แจกให้ทีละหน้า จากนั้นก็เลิกคิ้ว
วิทยาเขตใหญ่ของมหาวิทยาลัยตูรินอยู่ที่ฟลอเรนซ์ ดินแดนที่ตระกูลลอเรนท์ปกครองอยู่
เท่าที่อ่านในเอกสาร วิชาการแพทย์ของพวกเขาล้ำเลิศมาก
“เอาล่ะ วันนี้ก็พอแค่นี้” ศาสตราจารย์กู่ยืนขึ้น “วันมะรืนอาจารย์จะมาติดตาม พวกเธอคุยกันเองนะ”
“ครับ” เฉินฉี่เดินไปส่งศาสตราจารย์กู่แล้วหันมาพูดด้วยความเป็นห่วง “รุ่นน้องอิ๋งมีคำถามตรงไหนก็ถามพวกเราได้นะ”
นักศึกษาอีกสองคนก็แสดงท่าทีว่าพร้อมช่วยเหลือ
“ขอบคุณค่ะ” อิ๋งจื่อจินคิดแล้วก็ยื่นลูกอมให้สามคนนั้นคนละเม็ด “ลูกอมค่ะ”
ยาที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายแบบนี้เป็นของพื้นฐานมาก เธอยังมีอีกหนึ่งลัง
บางครั้งกินหนึ่งเม็ดตอนหิวๆ ก็ช่วยให้ท้องอิ่มได้
เฉินฉี่ไม่คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าเด็กผู้หญิงคงชอบกินของหวานๆ เขาก็เลยแกะกิน รู้สึกว่าหวานดี
มีเพียงเหยียนอันเหอที่แสยะยิ้ม หยิบเอกสารเดินออกจากห้องประชุมโดยไม่แม้แต่จะหยุด
เฉินฉี่ขมวดคิ้ว นึกถึงเรื่องในเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยตี้ตูแล้วส่ายหน้า ไม่อยากยุ่ง
อย่างไรเสียรุ่นพี่ชั้นปีห้าอย่างพวกเขาก็ไม่ได้มีความประทับใจอะไรในตัวเหยียนอันเหออยู่แล้ว
…
โลกจอมยุทธ์
วันนี้เป็นวันเลือกก้งเฟิ่งคนใหม่ของศาลสถิตยุติธรรม บรรดาตระกูลใหญ่ต่างรอคอยมานาน
“มาแล้วเหรอ คุณลุงเข้าไปแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินจัดผมให้อิ๋งจื่อจิน “เยาเยา เธอยุ่งกว่าพี่ชายอีกนะ”
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเขา “คุณลูกน้องเยอะ”
เธอไม่เหมือนเขาที่จะทิ้งงานเป็นเถ้าแก่ได้สบายๆ
“แบ่งให้เอาไหม” คางของฟู่อวิ๋นเซินวางเกยบ่าของเธอ “ยกให้เธอหมดเลยยังได้”
“ไม่ต้อง” อิ๋งจื่อจินส่ายหน้าเบาๆ “พวกเขาช่วยไม่ได้”
ลูกน้องที่ฝีมือต่อสู้ล้ำเลิศช่วยอะไรเรื่องทางการแพทย์ไม่ได้
งานบางอย่างไม่มีใครช่วยเธอได้
อวิ๋นอู้หน้าตาย “…”
เจ็บจี๊ดในใจ
“คุณชายครับ” อวิ๋นซานเข้ามาอย่างเงียบๆ ประสานมือคารวะ “เริ่มเลือกแล้วครับ”
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้า มองไปทางห้องโหวต “อีกเดี๋ยวผลก็จะออกมาแล้ว”
เขาปอกลูกวอลนัทแล้วเริ่มป้อนเธอ
ภายในห้องโถงใหญ่ของชั้นหนึ่งมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ตระกูลหลิน เซี่ย เย่ว์ อยู่กันพร้อมหน้า
พวกเขาให้ความสำคัญกับการเลือกก้งเฟิ่งครั้งนี้มาก
ตระกูลเซี่ยมีคนอยู่ในศาลสถิตยุติธรรม แต่ก็เป็นแค่หัวหน้าทีมคุ้มกัน ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมาย
หากครั้งนี้ตระกูลไหนมีก้งเฟิ่งปรากฏสักคน ความสัมพันธ์ก็จะมั่นคง
หลินชิงจยามาเป็นเพื่อนหลินจิ่นอวิ๋น แต่เธอไม่ได้ให้ความสนใจการเลือกก้งเฟิ่ง เธอขมวดคิ้วถามด้วยความเป็นห่วง “อาจารย์หมอคะ อาการของคุณแม่หนูยังไม่ดีขึ้นเหรอคะ”
สีหน้าของอาจารย์หมอที่อยู่ข้างๆ ไม่สู้ดีนัก
เห็นได้ชัดว่าอันโหรวจิ่นมีอาการทางประสาท สติฟั่นเฟือน พูดกับตัวเอง
แพทย์แผนโบราณย่อมรักษาได้ ใช้วิชาศาสตร์มืดสิบสามเข็ม
ศาสตร์มืดสิบสามเข็มเอาไว้ใช้รักษาโรคทางประสาทโดยเฉพาะ
แต่เขาฝังเข็มให้อันโหรวจิ่นไปสามรอบแล้วก็ยังไม่มีเค้าลางว่าจะดีขึ้นแม้แต่น้อย กลับยิ่งอาการหนักลงเสียด้วยซ้ำ
อาจารย์หมอไม่เคยเจอโรคที่ยากเท่านี้มาก่อน
การใช้ศาสตร์มืดสิบสามเข็มของเขาเรียกได้ว่าฝีมือชั้นยอด ในบรรดาแพทย์แผนโบราณที่ปรากฏตัวให้เห็นตอนนี้ยังไม่มีใครเก่งกว่าเขา
อย่างไรเสียอาจารย์อวี่เซวียนของเขาก็ซ่อนตัวไปแล้ว มีแค่บางครั้งบางคราวถึงจะออกมาชี้แนะลูกศิษย์
ทว่าแม้แต่เขาก็รักษาไม่ได้ อันโหรวจิ่นเป็นโรคอะไรกันแน่
หลินชิงจยาเม้มริมฝีปาก รู้สึกหงุดหงิดใจ
อันโหรวจิ่นเป็นแบบนี้ก็เป็นนายหญิงตระกูลหลินไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่เป็นแค่แจกันประดับก็ยังไม่ได้
ผู้อาวุโสใหญ่มาคุยกับเธอแล้ว ถ้ารักษาอันโหรวจิ่นให้หายไม่ได้ อันโหรวจิ่นก็ต้องลงจากตำแหน่ง
การเลือกก้งเฟิ่งสามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผลก็จะออกมาหลังจากนั้นทันที
ทุกสายตาต่างไปรวมอยู่ที่ป้ายด้านบน
อันดับไล่มาจากท้าย ตั้งแต่อันดับหกไปจนถึงอันดับหนึ่ง
ตระกูลเซี่ยส่งผู้เข้าชิงสองคน ไม่ติดแม้แต่สามอันดับแรก
ตระกูลเย่ว์ส่งมาหนึ่งคน อยู่อันดับสาม
นายใหญ่ตระกูลเซี่ยหันไปยิ้มผิวเผินพลางพูด “จิ่นอวิ๋น ดูท่าครั้งนี้ตระกูลหลินของนายเตรียมตัวมาพร้อม ตำแหน่งก้งเฟิ่งคงไปอยู่ในมือตระกูลหลินแล้วสินะ”
“ที่ไหนกัน” หลินจิ่นอวิ๋นตอบ “วัดกันที่ความสามารถทั้งนั้น”
เขาจิบชาแล้วดูต่อ
อันดับสอง หลินจิ่นเสวียน
หลินจิ่นเสวียนก็คือน้องชายของหลินจิ่นอวิ๋น
นายใหญ่ตระกูลเซี่ยแสยะยิ้ม “จิ่นอวิ๋น ตระกูลหลินของพวกนายก็ไม่ไหวเหมือนกันแฮะ ฉันคิดว่าจะได้ที่หนึ่งเสียอีก”
หลินจิ่นอวิ๋นขมวดคิ้ว
เวลานี้คนคุ้มกันได้เอาป้ายไม้ของอันดับหนึ่งวางขึ้นไป
อันดับหนึ่ง นิทรา
อิ๋งจื่อจิน “…”
วิธีตั้งชื่อของพ่อเธอช่างเกรียนเหลือเกิน
เหมียน แปลว่า นิทรา
พอไหว
“เยาเยา สุดยอดจริงๆ” ฟู่อวิ๋นเซินก็เห็นแล้ว เขายิ้ม “อีกไม่กี่ปีพี่ชายก็สู้เธอไม่ไหวแล้ว”
หลังจากที่พรสวรรค์จอมยุทธ์ของเวินเฟิงเหมียนฟื้นกลับมาก็แข็งแกร่งมาก
แต่ถ้าไม่มีคำชี้แนะของอิ๋งจื่อจิน วรยุทธ์ของเขาไม่มีทางก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้
อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วขณะ “คุณไม่แปลกใจเหรอ”
“แปลกใจสิ” ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว “แล้วไงล่ะ ยังไงก็ผู้หญิงของพี่ชาย”
หยุดเล็กน้อย เขาแสยะยิ้ม “พี่ชายก็มีความลับเหมือนกัน”
“เธอกับคุณลุงกลับบ้านไปก่อน” ฟู่อวิ๋นเซินลูบศีรษะของเธอ “พี่ชายจะไปจัดการเรื่องในศาลสถิตยุติธรรมหน่อย”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า หยิบหน้ากากหนังที่ทำจากเครื่องพิมพ์สามมิติออกมาใส่แล้วเดินออกไปอย่างไม่มีหลบซ่อน
เธอไม่ได้สนใจเรื่องก้งเฟิ่ง แต่ตระกูลจอมยุทธ์อื่นๆ ต่างตะลึง
เพราะพวกเขาต่างรู้ว่า ‘นิทรา’ ไม่ใช่ชื่อจริงแน่นอน เป็นเพียงนามแฝง
คนที่ใช้นามแฝงในศาลสถิตยุติธรรมมีอยู่ไม่มาก รวมๆ ไม่มีทางเกินห้าคน
คนที่โด่งดังที่สุดคือคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เงา’
หลายตระกูลใหญ่ในโลกจอมยุทธ์ต่างรู้ว่า อำนาจและสถานะของเงาในศาลสถิตยุติธรรมเทียบเท่าผู้อาวุโส แต่เขาไม่ใช่ผู้อาวุโส
การปรากฏตัวของเขาคือเมื่อไม่กี่ปีก่อน กะทันหันมาก แต่ผู้อาวุโสทั้งหมดต่างยอมรับการมีตัวตนของเขา
ลูกน้องและตัวเขาต่างสวมหน้ากาก ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริง
คนที่รู้โฉมหน้าของเงามีอยู่น้อยมาก
เรื่องเดียวที่แน่ใจได้ก็คือ เงาเป็นคนหนุ่ม วรยุทธ์ร้อยปีขึ้นไป
ตระกูลเซี่ยสงสัยมาตลอดว่า มีความเป็นไปได้ที่เงาจะเป็นคนของสหพันธ์จอมยุทธ์ อย่างไรเสียแม้แต่ตระกูลเซี่ยก็ยังปลุกปั้นเด็กหนุ่มที่ฝีมือเก่งกาจแบบนี้ออกมาไม่ได้
นายใหญ่ตระกูลเซี่ยเดินหน้าบึ้งออกไป ข่มอารมณ์โกรธ
หลินจิ่นอวิ๋นมองชื่อ ‘นิทรา’ ขมวดคิ้วแน่น เขาเข้าไปในศาลสถิตยุติธรรม
เมื่อได้รับอนุญาตจึงเดินเข้าไป
หลินจิ่นอวิ๋นพูดอย่างนอบน้อม “ไม่ทราบว่าการเลือกก้งเฟิ่งครั้งนี้เกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่ครับ ขอถามได้ไหมครับว่าเป็นตระกูลไหน”
ฟู่อวิ๋นเซินหันมา ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากาก ไม่เปิดเผยแม้แต่น้อย
สีหน้าของเขากึ่งยิ้ม น้ำเสียงเรียบเฉย “ถามผมอยู่เหรอ”
หลินจิ่นอวิ๋นใจหายวาบ สีหน้าเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ก้มหน้า “มิกล้าครับ”
ที่ตระกูลหลินหมายตาตำแหน่งก้งเฟิ่ง มีอยู่สาเหตุหนึ่งก็คือฟู่อวิ๋นเซิน
วรยุทธ์ของฟู่อวิ๋นเซินไม่ถือว่าสูงมากหากเทียบทั้งโลกจอมยุทธ์
อย่างไรเสียพวกระดับผู้นำตระกูลก็มีวรยุทธ์กันตั้งสองสามร้อยปีแล้ว
ช่วงเวลาการฝึกก็เห็นๆ กันอยู่ ย่อมสู้ไม่ได้
ขอแค่พวกเขาออกโรงก็สามารถฆ่าพวกจอมยุทธ์มากพรสวรรค์รุ่นหลังได้สบาย
แต่ฟู่อวิ๋นเซินมีศาลสถิตยุติธรรมหนุนหลัง ไม่ควรมีเรื่องด้วย
แต่ถ้าตระกูลหลินก็มีคนอยู่ในศาลสถิตยุติธรรม แบบนั้นจะเบาใจไปได้มาก
หลินจิ่นอวิ๋นถอยออกไป ถอนหายใจ
ดูท่าคงต้องรอก้งเฟิ่งคนใหม่รับตำแหน่งแล้วลองดูว่าจะผูกมิตรได้หรือไม่
…
วันที่ยี่สิบแปดตุลาคม กลุ่มของมหาวิทยาลัยตูรินก็มาถึงมหาวิทยาลัยตี้ตู มีห้าคนเช่นกัน
“ไฮ คุณอันเหอ” เด็กหนุ่มผมทองคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างสบายๆ “ผมเกรย์ครับ เราเคยเจอกันเมื่อปีที่แล้ว”
“จำได้ค่ะ” เหยียนอันเหอยิ้ม “นึกไม่ถึงว่าคนที่มาแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะมีคุณด้วย”
“ปีหน้าก็เรียนจบแล้ว ผมเลยอยากมาประเทศจีนก่อนจะเรียนจบ” เกรย์พูด มองแวบเดียวก็สังเกตเห็นอิ๋งจื่อจินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ
เขาตะลึง “คนนี้คือ?”
“เธอเหรอคะ” เหยียนอันเหอพูด “เรียนชีวะเคมี อาจรักษาคนเป็นอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นศาสตราจารย์กู่คงไม่มีทางเรียกเธอมา”
“เรียนชีวะเคมีเหรอ” เกรย์ตะลึง “คณะแพทย์ของพวกคุณไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ”
เหยียนอันเหอแค่ยิ้มให้ “ใครจะไปรู้ล่ะคะ”
ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง
พวกนักศึกษานั่งตัวตรง รวมถึงเกรย์ด้วย
อิ๋งจื่อจินยังถือแก้วน้ำอยู่ เธอหันไปมอง สีหน้าชะงักเล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้น
โลกนี้ช่างแคบเสียจริง บังเอิญเกินไป