ตอนที่ 712 มาดูบอสกันทั้งนั้น บิลที่พ่ายแพ้
บิลเป็นคนดังในสำนักวิจัย กอปรกับชอบไลฟ์สดในเว็บดับบลิวอยู่บ่อยครั้ง บรรดานักศึกษาทั้งเก่าและใหม่ต่างรู้จักเธอ
พอเห็นเธอเดินเข้าไปหาซู่เวิ่น คนที่อยู่แถวนั้นต่างก็ถอยหนึ่งก้าวเพื่อหลีกทาง
บิลเรียกด้วยความนอบน้อม “ป้าใหญ่คะ”
ซู่เวิ่นหยุดลง หันไปมองตามเสียง ท่าทางเหมือนเพิ่งเห็นบิล
ดูเหมือนเธอจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่แสดงออกทางใบหน้า แค่พยักหน้าเล็กน้อย “อยู่ด้วยเหรอ”
คำถามสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับเหมือนน้ำเย็นที่สาดรด ทำให้บิลรู้สึกตื่นในทันที
สีหน้าของบิลชะงัก ได้ยินเสียงโดยรอบเบาลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าของเธอเริ่มแดง เธอก้มหน้า พูดเสียงเบา “วันนี้ป้าใหญ่มาได้ยังไงคะ”
“แค่แวะมาดูหน่อยน่ะ” ซู่เวิ่นไม่ได้ตอบอะไรมาก กระชับชุดคลุมแล้วพยักหน้า “เธอไปทำงานของเธอเถอะ ป้าไม่รบกวน”
พูดจบซู่เวิ่นก็เดินเข้าสำนักวิจัย ไม่ได้มองบิลอีก
บินยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกเพียงว่าเลือดในกายพลุ่งพล่านมาถึงศีรษะ สมองตื้อ หูอื้อชั่วขณะ
คนแถวนั้นสังเกตเห็นความผิดปกติก็พากันมองเธอด้วยสายตาสำรวจแล้วแยกย้าย
สวีจิ่งซานกระอักกระอ่วนปนตกใจ “คะ คุณนายซู่เวิ่นไม่ได้มาดูคุณหนูบิลเหรอครับ”
คนในตระกูลเรนเกลที่อยู่สำนักวิจัย นอกจากบิลแล้วยังจะมีคนอื่นอีกเหรอ
ดูเหมือนว่ายังมีญาติสายอื่นด้วย แต่หากว่ากันด้วยเรื่องสถานะก็ไม่มีใครสูงสู้บิลได้
ใครยังจะมีค่าคู่ควรให้ซู่เวิ่นมาด้วยตัวเองอีก
“หุบปากไปซะ” บิลอารมณ์เสีย สีหน้าบึ้งตึง “ฉันจะไปหาอาจารย์แล้ว การทดลองบินตอนบ่ายสำคัญมาก เตรียมตัวกันให้ดี”
รู้แบบนี้เธอไม่เข้าไปหาหรอก
สวีจิ่งซานเป็นพลเมืองชั้นสอง มีเหรอจะรู้ว่าการแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลเรนเกลดุเดือดขนาดไหน
บิลออกไปอย่างอารมณ์เสีย
สวีจิ่งซานก็รู้ว่าตัวเองเถียงไม่ได้ จึงรีบออกไปไม่พูดอะไรอีก
…
ภายในสำนักวิจัย
กลุ่มบีก็ส่งเอกสารโปรเจ็กต์เช่นกัน
อิ๋งจื่อจินหันไปพูด “บ่ายสองเจอกันที่สนามทดลองบิน ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ทดลองบินสองครั้งผ่านแน่นอน”
ทดลองบินครั้งแรกจะไม่บรรทุกคน
ทดลองบินครั้งที่สองถึงจะให้นักบินขึ้นไป
ถ้าครั้งแรกล้มเหลวย่อมไม่มีครั้งที่สอง
เยี่ยซือชิงพยักหน้า “รุ่นน้องอิ๋ง มีเธออยู่ พวกเราไม่กังวลอยู่แล้ว”
เธอลังเลเล็กน้อย “แต่เมื่อกี้ได้ยินว่ายานอวกาศที่กลุ่มเอทำออกมาสามารถออกไปในอวกาศได้สามหมื่นปีแสง”
ไกลกว่าของพวกเขาอีก
ถ้าทั้งสองกลุ่มต่างทำยานอวกาศออกมาได้ แบบนั้นกลุ่มที่บินไปได้ไกลกว่าย่อมได้คะแนนสูงกว่า
อีกทั้งหากกลุ่มเอได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง บิลก็จะมีสิทธิ์เป็นนักวิจัยระดับเอสแล้ว
“มีความเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะไม่สำเร็จ” อิ๋งจื่อจินตอบ “รุ่นพี่เยี่ย ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าแบบร่างอันเก่ามีปัญหา”
“ใช่” เยี่ยซือชิงพยักหน้า “แต่สวีจิ่งซานไปกลุ่มเอแล้ว ไม่มีทางให้เขาทำส่วนขับเคลื่อนที่เป็นหัวใจสำคัญ เขาคงได้แค่ทำส่วนปีกหรือส่วนอื่น”
“แต่แนวความคิดของเขาไม่เปลี่ยน” อิ๋งจื่อจินพูด “ภาพส่วนใจกลางขับเคลื่อนที่เขาวาดตอนนั้นมุ่งไปที่ประสิทธิภาพสูงมากเกินไปจนมองข้ามความสมดุล”
“ต่อให้เขาทำแค่ส่วนปีกหรือส่วนอื่นก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้”
เยี่ยซือชิงเข้าใจทันที “รุ่นน้องอิ๋งหมายความว่า ยานอวกาศของพวกเขาอาจระเบิดเหรอ”
ถ้าเสียสมดุลยังจะบินได้อีกเหรอ
“อาจจะ” อิ๋งจื่อจินหยิบหมวกเบสบอลขึ้นมาใส่ โบกมือเล็กน้อย “เดี๋ยวตอนบ่ายก็รู้”
เธอแยกกับเยี่ยซือชิง ไปที่สวนป่าด้านหลังหอพัก
ซู่เวิ่นรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
เธอยืนอยู่ใต้ต้นไม้เงียบๆ ลมโชยพัดกระโปรงเธอพลิ้วไหว
แสงแดดสาดส่องลงบนหมวกของเธอ เกิดเป็นเงาทอดตกกระทบ
ชั่วขณะนั้นราวกับเวลาหยุดอยู่ที่ตัวเธอ งดงามดุจภาพวาดโบราณ
เท้าของอิ๋งจื่อจินหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วถึงเดินเข้าไปหา “คุณป้า”
“รู้ว่าช่วงหลายวันนี้หนูคงทำโปรเจ็กต์เหนื่อยแย่ ป้าเลยทำซุปมาให้” ซู่เวิ่นเดินเข้าไปจับมืออิ๋งจื่อจิน แววตาอ่อนโยนโดยอัตโนมัติ “อยู่ในกระติกเก็บอุณหภูมิแล้ว เดี๋ยวตอนเที่ยงแบ่งกินกับเพื่อนๆ ได้นะ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณป้า”
“เป็นไงบ้าง ทดลองบินวันนี้มั่นใจไหม” ซู่เวิ่นจูงอิ๋งจื่อจินไปนั่งที่ม้านั่งยาวด้านข้าง “ป้าล็อกอินเข้าไปดูในโซนไลฟ์สดของเว็บดับบลิว มีคนรอดูอยู่สองแสนแล้วนะ”
“มั่นใจค่ะ” อิ๋งจื่อจินมองท้องฟ้า “ถ้าราบรื่นจะบินออกไปทางช้างเผือกได้ค่ะ”
แต่ยังห่างไกลกับเป้าหมายของเธออีกมาก
“ครั้งแรกก็บินออกไปได้ไกลขนาดนี้แล้ว เก่งมากจ้ะ” ซู่เวิ่นพยักหน้า เงยหน้าเห็นร่างสูงใหญ่กำลังเดินมาทางนี้
มีเสียงเรียกอย่างอารมณ์ดี “เยาเยา”
ซู่เวิ่นตกใจเล็กน้อย ที่มากกว่าคือความดีใจ “แฟนเหรอจ๊ะ”
อิ๋งจื่อจินกวักมือเรียก พยักหน้าเบาๆ “ค่ะ”
สายตาของซู่เวิ่นเจือไปด้วยความระลึกถึง ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยน “ป้าเองก็รู้จักลูเอลตอนอายุเท่าหนู”
อายุสิบเก้าเป็นวัยที่บานสะพรั่งที่สุด
พอฟู่อวิ๋นเซินเดินเข้ามา ซู่เวิ่นถึงมองเห็นใบหน้าชัดเจน
ดวงตาดอกท้อ นัยน์ตาสีอำพัน
ใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณขาวเนียน
มีเสน่ห์เย้ายวนติดตัวมาแต่กำเนิด สยบทุกสายตา
ฟู่อวิ๋นเซินลูบศีรษะอิ๋งจื่อจิน หันไปพยักหน้าให้ซู่เวิ่น “รบกวนคุณป้าแล้วครับ เธอค่อนข้างเลือกกิน แต่เธอชอบขนมที่คุณป้าทำมากครับ”
ซู่เวิ่นไม่ตอบ สีหน้าของเธอดูตกใจเล็กน้อย “คุณแม่ของเธอแซ่ฟู่ ชื่อหลิวอิ๋งหรือเปล่าจ๊ะ”
มือของฟู่อวิ๋นเซินหยุดชะงัก แววตาวูบไหว “คุณป้ารู้จักคุณแม่ด้วยเหรอครับ”
“ก็ไม่ถึงกับรู้จัก แต่เคยเจอ” ซู่เวิ่นถอนหายใจ “คุณฟู่เคยให้น้ำหอมป้ามาหนึ่งขวด ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับเรื้อรังของป้าได้”
“เธอเป็นคนเข้มแข็ง ฉันจำเธอได้ดี ต่อมาหลังจากที่ฉันแต่งเข้าตระกูลเรนเกล เคยได้ยินเรื่องของเธอกับตระกูลอวี้มาบ้าง”
ฟู่หลิวอิ๋งถนัดปรุงน้ำหอม
น้ำหอมที่เธอปรุงออกมามีสรรพคุณหลากหลายแบบ เป็นที่นิยมมากอยู่ช่วงหนึ่งในตี้ตูและฮู่เฉิง
“คุณฟู่เธอ…” ซู่เวิ่นสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของฟู่อวิ๋นเซินจึงเปลี่ยนเรื่อง ยิ้มพลางพูด “ไปเดินเล่นกันดีกว่า”
…
ตอนบ่าย
มีคนจำนวนไม่น้อยมาที่สนามทดลองบิน
นอร์ตันก็มาด้วย
เขาสวมผ้าปิดปาก ไม่เผยใบหน้า แต่ผมสีดอกเลาของเขายังคงโดดเด่นสะดุดตา
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ด้านข้างเขายังมีเด็กผู้หญิงสูงหนึ่งร้อยยี่สิบเซนติเมตรอีกหนึ่งคน
คนแถวนั้นต่างหันมามองสองคนนี้ที่ดูไม่เข้ากัน
ซีนายตัวเตี้ย อีกทั้งมีคนมาดูเยอะ เธอมองไม่เห็นข้างหน้า
ขณะที่เธอย่อตัวเตรียมกดปุ่มรองเท้าเหมือนยามปกติ แต่กลับพบว่าไม่มี
ซีนายก้มมองรองเท้าคู่ใหม่ของตัวเอง ตกอยู่ในห้วงความเงียบ “…”
เธอลืมไป เสื้อผ้ากับรองเท้าของเธอถูกเปลี่ยนหมดแล้ว
มีเสียงเนือยดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะของเธอ “อยากดูเหรอ”
ซีนายเงยหน้า สบตากับดวงตาสีเขียวเข้มคู่นั้นอีกครั้งแล้วพยักหน้า
นอร์ตันกอดอก ก้มหน้าเล็กน้อย “อ้อนวอนฉันสิ”
ซีนาย “…”
คนคนนี้ทำไมร้ายกาจได้ขนาดนี้
ซีนายมองดูแล้วก็สังเกตเห็นต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ
เธอลูบหมัด เตรียมปีนขึ้นไป
แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับก็ถูกหิ้วคอเสื้อขึ้น จากนั้นสองเท้าก็ลอยเหนือพื้น
“จึ๊” มือข้างหนึ่งของนอร์ตันหิ้วเธอขึ้นมาวางบนบ่าตัวเอง พูดอย่างไม่แคร์ “งั้นฉันจะช่วยสงเคราะห์เธอก็แล้วกัน”
ซีนายหดตัว ไม่กล้าขยับ
เธอคิดถึงตอนที่อยู่กับอิ๋งจื่อจินเหลือเกิน
ถึงแม้อิ๋งจื่อจินก็ชอบหิ้วเธอแบบนี้ แต่ไม่มีทางรังแกเธอ
ซีซาร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นภาพเหตุการณ์นี้ทั้งหมดถึงกับพ่นน้ำ “แค่กๆๆ!”
เขาสำลัก ผ่านไปสักพักเขาก็ยิ้มพลางพูด “เบื๊อกเอ๊ย นายก็มีวันนี้เหรอ”
นอร์ตันไม่ได้หันหน้าไปเพราะกลัวซีนายตก เขาแสยะยิ้ม “ยุ่งไรด้วย”
“ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ฉันก็แค่อยากหัวเราะ” ซีซาร์ยักไหล่ “ไม่คิดว่าจะได้เห็นนายมุมนี้ ฉันต้องหัวเราะให้มากหน่อย”
พอเห็นนอร์ตันสภาพนี้แล้ว เขาตัดสินใจไม่เลี้ยงเด็กดีกว่า
ทรมานตัวเองชัดๆ
ซีนายมองสำรวจซีซาร์ อยากขยุ้มผมสีสว่างเหมือนทองคำบนหัวเขา “เขาก็เป็นผู้วิเศษเหรอ”
“ไม่ใช่” นอร์ตันตอบ “นั่งดีๆ”
“อือ”
ซีนายตอบ ถูกดึงความสนใจไปหมดแล้ว
ตรงด้านหน้าใจกลางสนามทดลองบินมียานอวกาศขนาดเล็กสองลำตั้งอยู่ สามารถบรรทุกได้สามคนเข้าสู่ห้วงอวกาศ
การถ่ายทอดสดเชื่อมต่อกับเว็บดับบลิวแล้ว คนที่เข้ามาดูมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ยานอวกาศกลายเป็นเรื่องธรรมดาในเมืองแห่งโลก
ขอแค่มีเงินซื้อตั๋ว ใครก็ไปดาวอังคารหรือดาวพฤหัสบดีได้
[มาเพราะคุณหนูบิลจ้า]
[บวกหนึ่งงับ]
[ของแบบนี้สบายๆ สำหรับคุณหนูบิล เธอออกแบบส่วนขับเคลื่อนหัวใจสำคัญของยานอวกาศได้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว]
บิลยืนอยู่ข้างเครื่องตรวจสอบด้วยความภาคภูมิใจ
ขอแค่เธอได้ที่หนึ่งของโปรเจ็กต์ครั้งนี้ ตำแหน่งนักวิจัยระดับเอสก็มาอยู่ในมือเธอแน่แล้ว
เธอเหลือบมองยานอวกาศอีกลำหนึ่งแล้วละสายตากลับมา
สายตาดูถูกอย่างเห็นได้ชัด
“น่ารำคาญจริงๆ” เยี่ยซือชิงขมวดคิ้ว “ยังไม่ทันขึ้นบิน ไม่แน่อาจเหมือนที่รุ่นน้องอิ๋งบอก ระเบิดเสียก่อน”
อิ๋งจื่อจินพับแขนเสื้อขึ้น “ไม่ต้องไปสนคนอื่นหรอก รอดูก็พอ”
อีกด้านหนึ่ง
“อาจารย์มั่วเฟิงเป็นคนปล่อยแล้วกันครับ” เจ้าหน้าที่ถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยความนอบน้อม
มั่วเฟิงพยักหน้า นั่งลงตรงหน้าเครื่องปล่อย จากนั้นก็กดปุ่ม
ครืน ยานอวกาศของกลุ่มเอเคลื่อนที่ทันที
ความเร็วค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
วิถีมั่นคง เหาะขึ้นไปเรื่อยๆ
[สมกับเป็นคุณหนูบิล]
[เป็นวันของคุณหนูบิลอีกแล้ว!]
มั่วเฟิงก็ผุดรอยยิ้ม
นี่เป็นยานอวกาศลำแรกที่บิลทำได้เสร็จสมบูรณ์ มีความหมายต่อเขามากเช่นกัน
“เข้าสู่ห้วงอวกาศแล้วครับ” เจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบตลอด “รอบินให้ได้คงที่เมื่อไรก็จะโลดแล่นได้มากขึ้น”
แต่ในขณะที่เพิ่งพูดจบ
ตูม!
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นจากบนฟ้าสูง
เวลานี้ยานอวกาศได้เคลื่อนไปสูงเกินกว่าจะมองเห็นด้วยตาเปล่าแล้ว
และก็ย่อมไม่ได้ยินเสียง
แต่เครื่องมือบนภาคพื้นดินที่ทำหน้าที่ตรวจสอบกลับจับภาพและเสียงได้อย่างชัดเจน
ภาพจากกล้องแสดงให้เห็นว่า ยานอวกาศที่กลุ่มเอสร้างขึ้น อยู่ๆ ก็เกิดระเบิดที่ปีกขวา
ในนั้นถึงขั้นที่สามารถเห็นประกายไฟกำลังลุกขึ้นมา
พอปีกระเบิด ยานอวกาศก็เสียสมดุลทันที โคลงเคลงอยู่กลางอากาศ
แม้จะยังสามารถบินได้ แต่โลดแล่นทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบินออกนอกระบบสุริยะ
มั่วเฟิงสีหน้าเปลี่ยน
เสียงของกลุ่มคนหยุดลงทันที
แม้แต่นักข่าวที่ทำหน้าที่ไลฟ์สดก็ตะลึงงัน ตั้งสติไม่ทัน
ผ่านไปหลายวินาทีกว่าข้อความจะพรั่งพรูเข้ามาในห้องไลฟ์สด
[โห ล้มเหลวเหรอเนี่ย]
[ไม่มั้ง ฉันตาฝาดหรือเปล่า จะล้มเหลวได้ยังไง]
[นี่ยังไม่ได้โลดแล่นในอวกาศเลยนะ!]
บิลสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าบึ้งตึงจนแทบบิดเบี้ยว “ส่วนปีก ใครรับหน้าที่ออกแบบ”
เพราะการฟื้นขึ้นมาอย่างกะทันหันของซู่เวิ่น สถานการณ์ในยี่สิบปีของตระกูลเรนเกลจึงเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน
สัปดาห์สุดท้ายของโปรเจ็กต์บิลต้องไปกลับระหว่างบ้านกับสำนักวิจัยอยู่บ่อยครั้ง บางขั้นตอนเธอจึงมอบให้สมาชิกในกลุ่มทำ
สมาชิกกลุ่มเอมองหน้ากัน ต่างมองไปที่สวีจิ่งซานอย่างไม่ได้นัดหมาย
สวีจิ่งซานหน้าเกร็ง พูดตะกุกตะกัก “คะ คุณหนูบิล คือผม ผม…”
ทั้งๆ ที่เขาทดสอบพวกค่าต่างๆ หลายครั้งแล้ว ยืนยันว่าไม่มีปัญหา ทำไมอยู่ๆ ปีกถึงระเบิดได้ล่ะ
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของอิ๋งจื่อจินที่พูดตอนเขาทรยศกลุ่มบีได้
‘แบบร่างอันนี้มีปัญหาใหญ่ ใช้ไม่ได้’
ช่วงสิบกว่าวันนี้สวีจิ่งซานไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
แต่ตอนนี้คำพูดนั้นกลับดังชัดเจนอยู่ข้างหู
หรือว่า…
นักข่าวหลักกระอักกระอ่วนมาก เขาเช็ดเหงื่อบนศีรษะ “น่าเสียดายนะครับ การทดลองบินของกลุ่มเอล้มเหลว ต่อไปเป็นกลุ่มบีครับ”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่นักข่าวก็ไม่ได้สนใจมากเท่าไร
กลุ่มเอล้มเหลวแล้ว กลุ่มบีที่เป็นกลุ่มสำรองก็คงไม่มีทางโดดเด่นอะไร