คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 714 ฉีกหน้ากากบิล

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 714 ฉีกหน้ากากบิล

คำถามยิงมาอย่างต่อเนื่อง รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

พวกนักข่าวไม่ได้สนใจความรู้สึกของบิลเลยสักนิด ตั้งใจเหยียบย่ำจุดเจ็บปวดของเธอ

นักข่าวที่มารุมล้อมมีเยอะมาก มั่วเฟิงขวางไม่อยู่

บิลสีหน้าเปลี่ยน โมโหเลือดลมพลุ่งพล่าน

นี่คือการถ่ายทอดสด

ถ้าเธอเดินออกไปจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเธอ

บิลพยายามข่มอารมณ์ภายในจิตใจ ยิ้มพลางพูด “คุณอิ๋งเป็นรุ่นน้องของฉัน ฉันไม่ได้ไล่เธอไปค่ะ แต่อยากให้เธอฝึกฝนให้มากๆ”

“ฉันเองก็ไม่เคยพูดว่าฉันต้องการไล่เธอไป ไม่รู้ว่าเธอเข้าใจฉันผิดหรือเปล่านะคะ”

เธอไม่เคยพูดออกไปชัดๆ ว่าไล่อิ๋งจื่อจินไป

พวกนักข่าวยังไม่ยอมแพ้ ถามต่อ “คุณบิลคะ ปีนี้คุณอายุยี่สิบสองปี ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่อายุน้อยของคณะวิศวะ แต่คุณอิ๋งอายุแค่สิบเก้าปี ทดลองบินวันนี้ได้สำเร็จ แบบนี้หมายความว่าตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่อายุน้อยต้องเปลี่ยนคนแล้วหรือเปล่าคะ”

คราวนี้สีหน้าของบิลเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

มั่วเฟิงที่อยู่ข้างๆ ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว พูดด้วยเสียงเย็นชาขัดจังหวะอีกครั้ง “โปรเจ็กต์ของกลุ่มเอล้มเหลวเป็นเพราะมีสมาชิกกลุ่มคนหนึ่งเจตนาเป็นตัวถ่วง ไม่เกี่ยวอะไรกับนักศึกษาของผม”

“ส่วนใจกลางขับเคลื่อนที่บิลออกแบบ อีกเดี๋ยวพวกเราจะประกาศในเว็บดับบลิว คาดการณ์ว่าจะบินไปได้ไกลเกือบสามหมื่นปีแสงครับ”

แม้กลุ่มบีจะต่างกันแค่สี่พันปีแสง แต่ในทางเทคนิคคือต่างกันสิบกว่าเท่า

แล้วแบบนี้จะมาเปลี่ยนคนเหรอ

พวกนักข่าวกลับไม่ฟังต่อ แต่ละคนมองไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น

“เร็วเข้า พวกนักบินอวกาศกลับมากันแล้ว พวกเรารีบไปสัมภาษณ์กลุ่มบีเร็ว!”

“ต้องเอาข่าวแรกจากคุณอิ๋งให้ได้!”

พรึ่บ

พวกนักข่าววิ่งจากไปไม่มีเหลือ ไม่ต้องให้มั่วเฟิงไล่

บิลรู้สึกแย่มาก สภาพจิตใจก็ย่ำแย่

ริมฝีปากของเธอสั่น “อาจารย์…”

“กลัวอะไร ถ้าว่ากันด้วยชาติกำเนิดกับสถานะ คนธรรมดาคนเดียวไม่มีทางเทียบเธอได้” มั่วเฟิงปลอบ “ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ติดตัว เด็กคนนั้นไม่มีทางได้เป็นนักวิจัยระดับเอสหรอก”

เขาหยุดเล็กน้อยแล้วจึงตั้งใจกำชับอีกครั้ง “ต่อไปถ้ามีโปรเจ็กต์อีกจะเอาคนแบบสวีจิ่งซานมาไม่ได้เด็ดขาด”

ทางด้านสนามทดลองบิน

ยานอวกาศที่มาพร้อมนักบินอวกาศได้ลงจอดสำเร็จ

บรรดาผู้ชมต่างยืนขึ้น เสียงปรบมือดังเกรียวกราว

ซีนายหันมอง จากนั้นก็มองพื้น จะกระโดดลงจากบ่าของนอร์ตัน

แม้บ่าของผู้ชายจะกว้าง แต่แข็งเกินไป เธอนั่งจนปวดไปหมดทั้งตัวแล้ว

แต่ยังไม่ทันที่ซีนายจะได้กระโดด นอร์ตันก็สังเกตได้ก่อนว่าเธอกำลังจะทำบางอย่าง

เขาหันหน้าไป ดวงตาสีเขียวเข้มจ้องมอง

จากนั้นก็ยกมือจับข้อมือซีนาย มืออีกข้างจับคอเสื้อของเธอ

ซีนายถูกหิ้วเป็นสัมภาระอีกครั้ง

ซีนาย “…”

นี่มันงานอดิเรกแบบไหนกัน

“ทำอะไร” นอร์ตันก้มตัว ตบศีรษะเธอเบาๆ “หืม? เด็กน้อย”

ซีนายเอามือไพล่หลัง สีหน้าไร้ความรู้สึก “ฉันจะไปหาอาอิ๋ง”

“เธอไม่ว่าง” นอร์ตันเอาคางชี้ น้ำเสียงท้าทาย “คิดว่าเข้าไปได้ก็ไปสิ”

ซีนายเงยหน้ามองไป

ตรงบริเวณแท่นควบคุมที่อยู่ข้างหน้า อิ๋งจื่อจินถูกนักข่าวรุมล้อมไว้

ไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย

“คุณอิ๋งคะ นี่เป็นโปรเจ็กต์แรกของคุณก็ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้แล้ว คุณมีอะไรอยากพูดไหมคะ”

“คุณอิ๋งครับ ได้ยินว่าคุณหนูบิลไล่คุณออกจากกลุ่มเอ เมื่อครู่เธอบอกว่าไม่มีเรื่องแบบนี้ คุณช่วยเล่ารายละเอียดได้ไหมครับ”

มือข้างหนึ่งของอิ๋งจื่อจินล้วงกระเป๋า เธอเหลือบตาขึ้น ปฏิเสธอย่างอ้อมๆ “ตามกฎของคณะวิศวะ นักศึกษาใหม่จะไม่ให้สัมภาษณ์ก็ได้ค่ะ”

อิ๋งจื่อจินพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ดูห่างเหิน เจือไปด้วยพลังที่ห้ามปฏิเสธ

พวกนักข่าวถอยหลังหนึ่งก้าวทันที

รู้สึกหวาดเกรงอย่างบอกไม่ถูก

พวกเขาทำได้เพียงถอยออกไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่และนักบินอวกาศฝึกหัด

หนึ่งในนักบินอวกาศรับไมโครโฟนมาด้วยความตื่นเต้น “ผมขอสาบานเลยว่า นี่เป็นยานอวกาศที่ดีที่สุดตั้งแต่ผมทดลองบินมาครับ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกที่มีความประณีต การติดตั้งภายในก็มีอย่างครบครันครับ”

พวกนักบินอวกาศฝึกหัดได้เซ็นสัญญาข้อตกลงก่อนทำการทดลองบิน

นักบินอวกาศบางคนถึงขั้นเตรียมพลีชีพแล้ว

นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะราบรื่นได้ขนาดนี้

“รุ่นน้องอิ๋ง ครั้งนี้เธอดังแล้วนะ” เยี่ยซือชิงดีใจแทนอิ๋งจื่อจิน “เมื่อกี้เธอไม่เห็นสีหน้าของพวกบิลกับอาจารย์มั่วเฟิง เขียวปั๊ดเลย ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า”

ก่อนทดลองบินทำตัวอวดดีขนาดนั้น หลังทดลองเสร็จพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

อิ๋งจื่อจินมองโทรศัพท์มือถือ “รุ่นพี่เยี่ยคะ ตอนเย็นไปกินข้าวที่กลางเมือง โปรเจ็กต์ประสบความสำเร็จได้เพราะทุกคนช่วยกัน เรียกทุกคนไปด้วยกันนะคะ”

“กลางเมืองเหรอ” เยี่ยซือชิงอึ้งก่อน จากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่อิ๋งจื่อจินแจกบัตรโซนเองานประมูลลอเรนท์ให้พวกเธออย่างไม่ทุกข์ร้อน งั้นก็ไม่แปลกใจแล้ว

เธอลังเลเล็กน้อย “รุ่นน้องอิ๋ง มันจะเปลืองเงินเกินไปหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “มีคนเลี้ยง”

เยี่ยซือชิงพยักหน้า “ฉันจะไปบอกพวกเขา”

ทั้งสองคนเดินออกจากหน้าแท่นควบคุม เจอสวีจิ่งซานที่วิ่งเข้ามา

เมื่อครู่สวีจิ่งซานถูกมั่วเฟิงต่อว่า สภาพย่ำแย่มาก

เยี่ยซือชิงถอยหลังด้วยความรังเกียจ “รุ่นน้องอิ๋ง พวกเราเดินอ้อมเถอะ”

“รุ่นน้องอิ๋ง!” สวีจิ่งซานรีบเรียกอิ๋งจื่อจิน จากนั้นก็ยิ้มประจบ “ซือชิง เธอก็อยู่ด้วยเหรอ”

เยี่ยซือชิงหยุดเดิน แสยะยิ้ม “นายมาทำไม ทำไมไม่ไปกอดขาคุณหนูบิลไว้ล่ะ”

สวีจิ่งซานกระอักกระอ่วน “ฉัน…”

เขาหันไปมองอิ๋งจื่อจิน “รุ่นน้องอิ๋ง ช่วยไปขอร้องคณบดีให้หน่อยได้ไหม”

อิ๋งจื่อจินหันมา ไม่พูดอะไร

เยี่ยซือชิงโมโหจนหัวเราะ “นายขอร้องใคร”

“รุ่นน้องอิ๋ง เธอทดลองบินสำเร็จ คณบดีต้องให้ความสำคัญกับเธอแน่” สวีจิ่งซานก้มหัวยอมลดทิฐิ พูดอ้อนวอน “อาจารย์มั่วเฟิงจะลงโทษคุมประพฤติฉันโทษฐานที่ออกแบบผิดพลาด”

“งั้นก็ยิ่งดีเลย” เยี่ยซือชิงประชด “แบบนี้เรียกกรรมตามสนองแล้ว”

สวีจิ่งซานใบหน้าแดงก่ำ แต่กลับยังคงมองอิ๋งจื่อจิน “รุ่นน้องอิ๋ง ช่วยพูดกับคณบดีให้หน่อยนะ ให้เขาช่วยบอกอาจารย์มั่วเฟิงให้ยกเลิกการลงโทษ ได้ไหม”

“ไม่รู้ว่าตอนแรกสุดใครกันที่พูดว่ารุ่นน้องอิ๋งมีความรู้เรื่องวิศวะการบินสู้คนบางคนไม่ได้” เยี่ยซือชิงพูดเสียงเย็นชา “สวีจิ่งซาน นายคิดจะจับปลาสองมือเลยเหรอ คู่ควรเหรอ”

สวีจิ่งซานหน้าซีด อ้าปาก แต่ก็พูดไม่ออก

เขาเคยพูดแบบนั้นจริงๆ

ตอนนี้เหมือนเป็นฝ่ามือที่ตบหน้าเขารัวๆ

อิ๋งจื่อจินไม่มองสวีจิ่งซาน ชูโทรศัพท์หันไปทางเยี่ยซือชิง “รุ่นพี่เยี่ย ฉันไปก่อนนะคะ ฉันส่งที่อยู่ให้แล้ว เจอกันตอนหนึ่งทุ่มค่ะ”

“ได้ๆ” เยี่ยซือชิงโบกมือ ก่อนไปยังหันมองสวีจิ่งซาน “บอกแล้วว่าอย่าเสียใจทีหลัง นึกไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้”

สวีจิ่งซานหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม

เขาเลือกไปอยู่กลุ่มเอเพราะไม่เพียงแต่ความสามารถของบิลจะโดดเด่น สถานะก็สูงด้วย

ขอเพียงแต่เขาได้เข้าแวดวงไฮโซของเมืองแห่งโลกก็จะได้รับทรัพยากรที่มากขึ้น

แต่บิลเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเรนเกลแล้วยังไง สุดท้ายเขาก็เข้าไม่ถึงแล้ว

สวีจิ่งซานเสียใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขากำมือแน่น หันตัวเดินออก

การทดลองบินเพิ่งจบลง ชาร์ตอันดับคำค้นยอดนิยมในเว็บดับบลิวก็มีคำใหม่ปรากฏ

#อิ๋งจื่อจิน ม้ามืดอายุน้อยของคณะวิศวะ#

#สองหมื่นหกพันปีแสง#

#บิล เรนเกล#

ข่าวซุบซิบย่อมลือไปเร็วกว่าข่าวมีสาระเสมอ

[ไม่ใช่มั้ง คุณอิ๋งเก่งขนาดนี้ยังถูกคุณหนูบิลไล่ออกจากกลุ่มเอเลยเหรอ งั้นคนธรรมดาอย่างฉันคงไม่คู่ควรพูดอะไรแล้ว]

[ถุย คุณหนูบิลไล่เมื่อไรกัน ไม่มีหลักฐานอย่ามาพูดมั่ว ฉันว่าอิ๋งจื่อจินอะไรนั่นดูปลอมมาก เทียบบิลไม่ได้เลยสักนิด]

[ใครก็จะมาเทียบคุณหนูตระกูลเรนเกลได้หรือไง]

คอมเมนต์กันดุเดือดอย่างไม่ขาดสาย

โดยทั่วไปไม่ว่าเรื่องในเน็ตจะสะเทือนเลือนลั่นขนาดไหนก็มีแค่พวกชาวเมืองที่แสดงความคิดเห็น

แต่ไหนแต่ไรมาพวกผู้วิเศษไม่มีทางสนใจ

ไม่สำคัญเลยสักนิดสำหรับพวกเขา

แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ผู้วิเศษนักมายากลจะให้ความสนใจมากหน่อย

คนดูแลรีบมารายงานทันที “เรียนท่านนักมายากล การทดลองบินในปีนี้ทีมสำรองประสบความสำเร็จ บินไปได้ไกลสองหมื่นหกพันปีแสง อีกนิดเดียวก็จะออกจากทางช้างเผือกแล้วครับ”

นับตั้งแต่มีการคิดค้นยานอวกาศออกมาได้ แต่ละปีคณะวิศวกรรมศาสตร์จะมีประเพณีทดลองบินอะไรแนวๆ นี้ จุดประสงค์ก็เพื่อบ่มเพาะอัจฉริยะรุ่นใหม่

นักมายากลก็รู้ในจุดนี้ดี เขาตะลึง “แล้วกลุ่มเอล่ะ”

“การออกแบบส่วนปีกของกลุ่มเอมีปัญหาครับ ไม่เกี่ยวกับส่วนขับเคลื่อนที่เป็นหัวใจสำคัญ” คนดูแลตอบ “ถ้าส่วนปีกไม่มีปัญหา ยานอวกาศของกลุ่มเอจะสามารถบินออกไปนอกทางช้างเผือกได้ครับ”

นักมายากลพยักหน้า “มิน่าล่ะ”

บินออกไปนอกกาแล็กซีได้กับข้ามไปอีกจักรวาลมันคนละเรื่องกัน

อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ ด้วยเทคโนโลยีของเมืองแห่งโลกก็ยังไม่สามารถระบุเส้นขอบของจักรวาลได้

จากการสันนิษฐาน ทั่วทั้งจักรวาลมีกาแล็กซีน้อยใหญ่แบบทางช้างเผือกถึงสองล้านล้านกาแล็กซี

แต่ละกาแล็กซีก็มีดวงดาวอยู่ร่วมล้านล้านดวง

จักรวาลกว้างใหญ่เกินไป ถ้าคิดจะออกไปนอกจักรวาล นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่มีทางทำสำเร็จภายในหลายสิบปี

ส่วนการทดลองบินของกลุ่มบี ขนาดทางช้างเผือกก็ยังบินออกไปไม่ได้

ไม่มีอะไรให้ต้องจับตาดู

แต่ต้องจับตาดูคุณหนูบิลตระกูลเรนเกลคนนี้ให้มากหน่อย

นักมายากลก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

เขาลุกขึ้น ออกไปหาผู้วิเศษจักรพรรดินี แต่กลับอดร้องซี้ดไม่ได้

แผลที่หลายวันก่อนเขาถูกนอร์ตันซัด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดี

นักมายากลสบถด่าแล้วไปห้องที่สี่ของชั้นบนสุดของสำนักผู้วิเศษ

ซาโรห์ที่สวมมงกุฎนั่งอยู่บนที่สูง

เธอได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น “นั่งสิ”

นักมายากลนั่งลง อดพูดขึ้นไม่ได้ “จะไม่สั่งสอนอัศวินรถม้าหน่อยเหรอ ด้วยนิสัยมุทะลุอย่างเขา สงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สองคงอีกไม่ช้าก็เร็ว”

สงครามระหว่างผู้วิเศษด้วยกันก็คือสงครามศักดิ์สิทธิ์

ความหมายคือสงครามที่สูงส่งและเหนือชั้น

“อย่าไปหาเรื่องเขา” ซาโรห์พูด “ถ้าเดวิลกลับมา อัศวินรถม้าจะเป็นกองกำลังที่มีไม่มากของพวกเรา ตอนนั้นถ้าเขาร่วมรบ ก็ใช่ว่าพวกเราจะชนะแบบสะบักสะบอมขนาดนั้น”

ชนะก็จริงแต่สภาพอนาถมาก

สงครามผู้วิเศษครั้งนั้น พวกผู้วิเศษที่ร่วมทำสงครามด้วยต่างบาดเจ็บสาหัสถึงแก่นแท้

และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้วิเศษจำนวนไม่น้อยถึงได้ไปจากสำนักผู้วิเศษ เลือกที่จะเก็บตัวพักฟื้น

บ้างก็ดับสิ้น บ้างก็จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา

“เข้าใจแล้ว” นักมายากลสูดลมหายใจเข้าลึก “ผมไปหาเรื่องเขาที่ไหนกัน เขาจงใจหาข้ออ้างมาอัดผมชัดๆ”

อัศวินรถม้าเป็นผู้วิเศษที่ไม่เห็นแก่ใครมากที่สุด

เขากับซาโรห์หารือเรื่องอื่นอีกเล็กน้อยแล้วถึงออกไป

“อิ๋งจื่อจิน” ซาโรห์เงียบไปสักพักถึงเรียกคนดูแลเข้ามา “อ้างชื่อฉัน ไปขอประวัติของเธอจากคณะวิศวะมาดูหน่อย”

คนดูแลพูดด้วยความนอบน้อม “ครับท่านจักรพรรดินี”

ตอนเย็น โซนใจกลางเมือง

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่วันนี้ทดลองบินได้สำเร็จ ฟู่อวิ๋นเซินได้ซื้อโรงแรมใหญ่ในโซนใจกลางเมืองไว้ พร้อมทั้งปิดเลี้ยง

ไม่ใช่แค่ซีซาร์กับนอร์ตัน ฉินหลิงอวี๋กับฉินหลิงเยี่ยนก็มาด้วย

ซีซาร์นั่งพิงเก้าอี้ เปิดจอสามมิติ สีหน้าจริงจังมาก

นอร์ตันเหล่มองเขา “ทำอะไร”

“อ่อ” ซีซาร์เสยผมสลวยสีทองที่ปรกหน้าผาก “ฉันกำลังด่าพวกคนที่แอนตี้บอส คนพวกนี้ตาถั่ว บอสเก่งที่สุด”

มือของนอร์ตันชะงัก เปิดขวดไวน์แดงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ทำไมตอนนั้นที่เขารู้จักซีซาร์ถึงไม่ชำแหละหมอนี่ซะ สงสัยเพราะเห็นแก่หน้าอิ๋งจื่อจินแน่นอน

ซีนายยื่นมือออกไปจะหยิบแก้วไวน์

แต่ถูกขวางเสียก่อน

นอร์ตันจับมือเธออีกครั้ง “เป็นเด็กเป็นเล็กห้ามดื่มเหล้า”

ซีนาย “…”

เธอโตเป็นผู้ใหญ่มาหลายปีแล้ว

แต่สำหรับผู้วิเศษที่ไม่มีอายุขัย เธอก็ยังคงเป็นเด็ก

ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็สังเกตเห็น เธอเหลือบตาขึ้น “แกล้งเธอทำไม”

นอร์ตันยักไหล่ “ผมกำลังช่วยดูแลเธอตามบอสสั่งต่างหาก”

เขาจะรังแกเด็กทำไม

ไม่กี่นาทีต่อมาซีซาร์ก็เงยหน้าขึ้น “บอสติดอันดับคำค้นอีกแล้วนะ”

“หืม?”

“มีคนปล่อยคลิปเสียงที่บิลไล่บอส” ซีซาร์กดเปิด “ขึ้นอันดับหนึ่งแล้ว”

คลิปเสียงคมชัด

‘อิ๋งจื่อจินเหรอ ฉันไม่มีทางอยู่กลุ่มเดียวกับยัยนั่น มียัยนั่นต้องไม่มีฉัน มีฉันต้องไม่มียัยนั่น พวกเธอเลือกเอาแล้วกัน’

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท