ตอนที่ 722 กล้ามาก คิดฆ่าแม้แต่ผู้บัญชาการ
แต่ไหนแต่ไรมาอาวุธล้ำสมัยของเมืองแห่งโลกจะคิดค้นโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์แล้วถึงมอบหมายให้ทางโรงงานผลิต
หน่วยอัศวินทั้งสี่ปกป้องเมืองแห่งโลกย่อมได้รับอาวุธชั้นยอด
ปืนเลเซอร์รุ่นใหญ่นี้ชาวบ้านทั่วไปห้ามใช้ยกเว้นสี่หน่วยอัศวิน
ฉางซานเข้าหน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์ในปีเดียวกับจูซา เพียงแต่สถานะไม่สูงเท่าจูซา
แต่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาย่อมมีลูกน้องคนสนิทอยู่ไม่น้อย
ฉางซานไม่ได้รู้สึกว่าการใช้อัศวินดาบอาญาสิทธิ์มาฆ่าคนจะมีปัญหาอะไร
ใครใช้ให้ฟู่อวิ๋นเซินไม่ดูตาม้าตาเรือ คิดจะทำร้ายจูซาให้ได้ล่ะ
ไม่เพียงแต่จูซาจะเป็นอดีตผู้บัญชาการหน่วยอัศวินจอกศักดิ์สิทธิ์ ยังเป็นคุณนายใหญ่ของตระกูลอวี้อีกด้วย
ต่อให้ผู้บัญชาการรู้เรื่องนี้เข้าก็ไม่มีทางตำหนิเขา
ฉางซานหรี่ตามอง
ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางปล่อยให้ฟู่อวิ๋นเซินรอดกลับไปได้
คิดจะสืบทอดตระกูลเหรอ
ฝันไปเถอะ
สวบ!
สวบๆ
ภายใต้การควบคุมของพวกลูกน้องคนสนิท ปืนเลเซอร์รุ่นใหญ่ก็ถูกยิงออกไปอีกครั้ง
นัดเดียวทำกำแพงละลายไปหนึ่งด้าน!
กระสุนของปืนเลเซอร์แตกต่างจากกระสุนทั่วไป
เลเซอร์ไม่มีรูปร่างที่จับต้องได้ เกราะป้องกันที่สร้างจากกำลังภายในกันเลเซอร์ไม่ได้มาก ไม่สามารถอาศัยกำลังภายในสำแดงภายนอกหยุดเลเซอร์ได้
แต่สำหรับฟู่อวิ๋นเซินแล้ว ความเร็วของเขาเพียงพอที่จะหลบการโจมตีเหล่านี้
เขาหันหน้ามาเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อหรี่ลง เพียงชั่วพริบตาก็จับตำแหน่งพวกฉางซานได้
วินาทีถัดมาเขาก็หายไปจากจุดเดิมด้วยความเร็วสูง
แสงเลเซอร์พุ่งเข้ามาในซอยจากรอบทิศ ฉินหลิงเยี่ยนกดพวกปุ่มต่างๆ ด้วยความลนลาน
เกราะกันแสงเลเซอร์ไว้ด้านนอก ทะลวงระบบป้องกันที่อิ๋งจื่อจินติดตั้งไว้ไม่ได้
พอฉินหลิงเยี่ยนสังเกตเห็นว่าอาวุธเลเซอร์ทำอันตรายเขาไม่ได้ก็ถือโอกาสนั่งบนพื้น ถอนหายใจยาว
โชคดีที่เขารู้จักอิ๋งจื่อจิน ไม่อย่างนั้นคงอยู่ในเมืองแห่งโลกยาก
ดูถูกเทคโนโลยีขั้นสูงไม่ได้เลยจริงๆ
ส่วนฉางซานที่อยู่บนอาคารสูงขมวดคิ้ว ในที่สุดก็สังเกตเห็นความผิดปกติ
คนล่ะ
เขาเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์ สายตาดีเสมอ มีเหรอจะทำให้ฟู่อวิ๋นเซินหลุดรอดสายตาไปได้
หรือว่าฟู่อวิ๋นเซินถูกปืนเลเซอร์จนสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว
แต่คงไม่ถึงกับไม่เห็นร่องรอยเลยสักนิดหรือเปล่า
“นายจับตาดูหมอนั่นอยู่ที่นี่” ฉางซานยกปืนขึ้น “ฉันจะลงไปดูหน่อย”
ลูกน้องคนสนิทพยักหน้า “วางใจได้ครับ”
ฉางซานเพิ่งลุกขึ้น ยังไม่ทันหันไป
“จะไปไหน” มีเสียงเนือยพูดขึ้น เจือด้วยความเย็นชากึ่งหยอกล้อ “รองผู้บัญชาการฉางซาน”
ฉางซานตัวเกร็งขึ้นมาทันที
เขาหันขวับ เหนี่ยวไกทันทีโดยไม่สนว่าเป็นใคร
แต่ปากกระบอกปืนกลับถูกจับไว้
แรงจากมือนั้นมหาศาลมาก ทำให้ขยับไม่ได้
ดวงตาดอกท้อที่ทรงเสน่ห์ของผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาโค้งมน พูดอย่างใจเย็น “จะฆ่าฉันเหรอ”
พอเห็นใบหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชัดเจน ฉางซานก็ตกใจมาก “แก…”
ฟู่อวิ๋นเซินมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง!
พลั่ก!
แรงศอกที่ทรงพลังกระแทกเข้าตรงขมับของฉางซาน
ฉางซานไม่มีแม้แต่โอกาสได้ตั้งตัว สลบไปในชั่วพริบตา
ฟู่อวิ๋นเซินขยับข้อมือ เก็บปืนที่ฉางซานถือไว้ จากนั้นถึงหันไป
พวกอัศวินดาบอาญาสิทธิ์ที่ตามฉางซานออกมาต่างตะลึงยืนอยู่ที่เดิม ยังไม่ได้สติกลับมา
ฉางซานเป็นใคร
รองผู้บัญชาการหน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์เชียวนะ!
ใช่คนที่จะถูกลูกนอกคอกที่เติบโตข้างนอกของตระกูลอวี้กำจัดได้ในทีเดียวเหรอ!
ฟู่อวิ๋นเซินโน้มตัวลงมองพวกอัศวินดาบอาญาสิทธิ์ที่ยังอยู่ในความตะลึง ยิ้มพลางพูด “ไม่มีคำสั่งจากผู้บัญชาการ ออกปฏิบัติการโดยพลการ ลงมือกับชาวบ้าน ทำลายสิ่งปลูกสร้าง ตามกฎแล้วต้องฆ่าทิ้งไม่มียกเว้น”
พอได้ยินแบบนี้พวกอัศวินดาบอาญาสิทธิ์ก็ทำหน้าช็อกสุดขีด ตัวสั่นขึ้นมาทันที
ความกดดันแบบนี้มีแค่ผู้บัญชาการคนปัจจุบันเท่านั้นที่ทำได้
ตอนเขาเห็นดาบยาวที่มีตราอยู่บนตัวดาบในมือฟู่อวิ๋นเซิน เส้นประสาทในสมองก็ขาด ผึง
ฟู่อวิ๋นเซินก็คือผู้บัญชาการคนใหม่ของหน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์!
นี่พวกเขาทำอะไรลงไป
รวมหัวกับรองผู้บัญชาการมาฆ่าผู้บัญชาการเหรอ
นี่มันเท่ากับไม่ให้ความเคารพและก่อกบฏด้วย
ถ้ารู้ก่อน ต่อให้มอบความกล้าแก่พวกเขาร้อยเท่า พวกเขาก็ไม่มีทางกล้าลงมือกับฟู่อวิ๋นเซินเด็ดขาด
พวกอัศวินดาบอาญาสิทธิ์ลนลานอย่างสิ้นเชิง ต่างทรุดลงไปคุกเข่า เริ่มคำนับอย่างบ้าคลั่ง “ผู้บัญชาการโปรดไว้ชีวิต ผู้บัญชาการไว้ชีวิตด้วยครับ!”
“พวกนายลืมหน้าที่ตัวเองเหรอ” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม “หน้าที่ของพวกนายคือคุ้มครองความปลอดภัยของชาวเมือง แต่นี่ตามฉางซานมาชำระความแค้นส่วนตัวงั้นเหรอ”
พวกอัศวินดาบอาญาสิทธิ์ตัวสั่นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม “ท่านผู้บัญชาการ พวกเรา…”
บนยอดตึกกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมพัด
ฟู่อวิ๋นเซินไม่มีความปรานี
เขาเช็ดมือ มองท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดอย่างเงียบๆ
ดวงจันทร์สว่างไสว ดวงดาวกระจัดกระจาย เมฆเป็นสีครึ้ม
คืนนี้ท้องฟ้างดงามมาก โลกก็สงบสุข
“เหล่าฟู่ นายจะช่วยมาดูแลคนธรรมดาอย่างฉันได้ไหม” ฉินหลิงเยี่ยนปีนขึ้นมาหอบแฮ่ก พูดอยู่ด้านหลัง “ฉันแค่มีวิชาป้องกันตัวนิดหน่อย ตามจอมยุทธ์ที่วรยุทธ์สูงส่งแบบนายไม่ทันหรอกนะ”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ตอบ พับปืนเลเซอร์รุ่นใหญ่จนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือแล้วโยนให้ฉินหลิงเยี่ยน “ยกให้”
“อ้อ ดีๆ” ฉินหลิงเยี่ยนรับไป “สมาพันธ์แฮกเกอร์ของพวกเราขาดแคลนอาวุธพอดี”
“เหล่าฟู่ มือถือดังน่ะ” ฉินหลิงเยี่ยนชี้โทรศัพท์มือถือของฉางซานที่ตกอยู่บนพื้น
เขาก้มเก็บขึ้นมาแล้วมองหน้าจอ “เอ๊ะ ยัยป้าอสรพิษนั่น”
คนที่โทรมาก็คือจูซา
ฉินหลิงเยี่ยนกำลังจะตัดสายแต่กลับถูกฟู่อวิ๋นเซินแย่งโทรศัพท์ไป
จากนั้นเขาก็เห็นฟู่อวิ๋นเซินหยิบหน้ากากหนังมนุษย์มาใส่ภายในไม่กี่วินาที
กลายเป็นฉางซานอย่างรวดเร็ว
วินาทีถัดมาฟู่อวิ๋นเซินถึงกดรับ
เขากระแอมเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนเสียง “ฮัลโหล”
“พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม” จูซาโล่งอก ยิ้มพลางพูด “หัวใจฉันเต้นเร็วมาก สังหรณ์ใจกลัวพี่เป็นอะไรเลยจะโทรมาเตือนหน่อย”
“อืม ไม่เป็นไร” ฟู่อวิ๋นเซินเงียบฟังอยู่ตลอด น้ำเสียงกลับเปลี่ยนไป “งานประมูลของตลาดประมูลลอเรนท์วันนี้ หน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยทั้งหมด ผู้บัญชาการเฮงซวยนั่นเรียกพี่แล้ว น่ารำคาญจริงๆ แค่นี้ก่อนนะ”
ฉินหลิงเยี่ยน “…”
สุดยอด
ด่าตัวเองได้เป็นธรรมชาติขนาดนั้น
“โอเค” ความสงสัยในแววตาของจูซาค่อยๆ จางหายไป วางใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว “พรุ่งนี้ฉันจะช่วยพี่คิดว่าจะโค่นผู้บัญชาการได้ยังไง”
พอสิ้นสุดการสนทนา ฉินหลิงเยี่ยนก็หมดคำจะพูด “ถุย สองพี่น้องคู่นี้คิดจะยึดสำนักผู้วิเศษด้วยหรือเปล่า”
“เวลาฉางซานรับสายเธอมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง จะต้องให้ดังห้าครั้งก่อน” ฟู่อวิ๋นเซินจับโทรศัพท์มือถือ พูดอย่างสบายๆ “ถ้านายตัดสายทิ้งหรือรับเร็วไปหนึ่งวินาทีเธอจะรู้ได้ว่าผิดปกติ”
จูซาระมัดระวังตัวมาก อีกทั้งอยู่ในเมืองแห่งโลกมาหลายปี มีไพ่ตายเท่าไรก็ยังไม่รู้
เขาต้องการใช้จูซาเป็นเหยื่อล่อ ต้องการตกพวกคนที่เคยลงมือกับฟู่หลิวอิ๋ง
ฉินหลิงเยี่ยนตกใจจนเหงื่อแตก “ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจริงๆ”
แต่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้คนที่จูซากำลังเผชิญด้วยอยู่คือฟู่อวิ๋นเซินกับอิ๋งจื่อจินที่เก่งจนถึงขั้นพิสดารล่ะ
ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลง มองโทรศัพท์มือถือที่ถูกกำลังภายในบดขยี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็ปล่อยเศษทิ้งพื้น
เขาหิ้วฉางซานขึ้นมาโยนให้ฉินหลิงเยี่ยน “เอาไปขังไว้”
…
ตลาดประมูลลอเรนท์
เวลานี้งานประมูลเริ่มไปได้หนึ่งในสามแล้ว
ยิ่งหลังๆ ของประมูลก็ยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้น บรรดาแขกเหรื่อก็ยิ่งมีความครึกครื้น
แต่ไหนแต่ไรมาฉินหลิงอวี๋ไม่มีความสนใจพวกงานประมูล
แต่งานประมูลของเมืองแห่งโลกไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นพวกอาวุธ
ฉินหลิงอวี๋ประมูลปืนเลเซอร์ไปสามกระบอกต่อเนื่อง ตื่นเต้นดีใจมาก
ฟู่อวิ๋นเซินเปิดประตูเข้ามาแล้วเดินไปยังห้องด้านในสุด เห็นอิ๋งจื่อจินนั่งอยู่ที่โซฟา
ตรงหน้าเป็นหน้าจอสามมิติ
เขานั่งลงข้างเธอ “ไม่ถูกใจอะไรเลยเหรอ”
“ไม่น่าสนใจ” อิ๋งจื่อจินหาวหวอด “ดูเอาสนุกๆ”
ถ้ามีของประมูลที่หายาก ด้วยนิสัยของซีซาร์จะเก็บเอาไว้เอง
ฟู่อวิ๋นเซินลูบศีรษะเธอ แววตาวูบไหว สายตาอ่อนโยนลง
เขาหันไปมองพวกอะไหล่บนโต๊ะ “ไลฟ์สดเหรอ”
“อืม” อิ๋งจื่อจินเอาอาวุธที่ประกอบเสร็จแล้ววางบนโต๊ะ ยื่นมือออกไป “กอด”
ฟู่อวิ๋นเซินยื่นมือออกไป ยอมเป็นหมอนอิงมีชีวิตแต่โดยดี ยิ้มพลางพูดด้วยความจนปัญญา “นิสัยเด็กน้อย”
“คุณทำให้เคยตัว”
“ยอม”
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมอง
มีข้อความวิ่งผ่านบนหน้าจอ
[เฮ้อ ตอนนั้นฉันคิดว่าเอสวายจะเป็นคุณอิ๋งหรือเปล่า ยังไงซะทุกอย่างก็ดูสอดคล้อง แต่ดูจากตอนนี้คงไม่ใช่แล้ว เมื่อกี้คุณอิ๋งไปตลาดประมูลลอเรนท์แล้ว ไม่มีทางมีเวลาไลฟ์สด เอสวายน่าจะเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงสักคนในคณะวิศวะหรือเปล่า]
[เหมือนฉันได้ยินเสียงผู้ชายด้วย! ใครกัน ผู้ชายคนไหนชิงหัวใจเทพไปแล้ว]
[เสียงเพราะด้วยนะ แต่ได้ยินมาว่าคนเสียงเพราะมักหน้าตาไม่หล่อ]
[ท่านเทพ อย่าไปสนผู้ชาย ผู้ชายจะส่งผลต่อความเร็วในการประกอบอาวุธของท่านเทพ มาสนุกกันดีกว่า!]
ต่อมาก็มีแต่คนพิมพ์ว่า ‘ไม่เอาผู้ชาย’
“โทษที” ฟู่อวิ๋นเซินหรี่ตาเล็กน้อย เอื้อมมือไปกดปุ่มปิดหลังพูดเสร็จ “เวลาส่วนตัวงดไลฟ์สด”
หน้าจอมืดลงทันที
บรรดาผู้ชม “…”
อันที่จริงพวกเขาก็อยากดูฉากพิเศษนะ
“ดูประมูลดีกว่า” อิ๋งจื่อจินเปลี่ยนหน้าจอ หรี่ตาลง “ไม่รู้ว่าวันนี้สัญลักษณ์หัวกะโหลกสีดำจะปรากฏหรือเปล่า”
บนหน้าจอเป็นก้อนหินที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง มีสีดำเข้ม
นี่เป็นอุกกาบาตชิ้นที่สามที่ถูกประมูลในวันนี้
“เบอร์เจ็ด แขกวีไอพีเบอร์เจ็ดต้องการอุกกาบาตชิ้นนี้ใช่ไหมครับ” พิธีกรพูด “งั้นก็…”
มีเสียงตะโกนดังขึ้น “คณะวิศวะเอาแล้ว!”
พิธีกรดวงตาเป็นประกาย “แขกวีไอพีเบอร์สามต้องการอุกกาบาตชิ้นนี้ครับ แขกวีไอพีเบอร์หนึ่งกับเบอร์สองต้องการไหมครับ”
แขกวีไอพีเบอร์หนึ่งกับเบอร์สองที่ถูกเรียกต่างส่ายหน้า
พวกเขาทำธุรกิจ ไม่ใช่วิจัย จะเอาอุกกาบาตไปทำอะไรได้
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นหินอุกกาบาตชิ้นนี้ตกเป็นของแขกวีไอพีเบอร์สามครับ” พิธีกรเคาะจบประมูล “เราจะมาเริ่มประมูลชิ้นต่อไปกันครับ”
“นอร์แมน!” วัสดุทำการวิจัยหลุดลอยไปอีกชิ้นแล้ว คณบดีคณะพันธุศาสตร์โมโหดวงตาแดงก่ำ “นายอย่ามาแย่งฉันจะได้ไหม”
“เอ๊า ช่วยไม่ได้ เก่งนักก็ไปเอาบัตรมานั่งเบอร์หนึ่งสิ” คณบดีนอร์แมนไม่แคร์ “เอาบัตรมาไม่ได้จะมานั่งบ่นอะไร”
คณบดีคณะพันธุศาสตร์แทบกระอักเลือด ทำได้เพียงอดทนไว้ มองหน้าจอขนาดใหญ่ต่อ
ต่อไปเป็นหินอุกกาบาตชิ้นที่สี่
ขนาดใหญ่กว่าสามชิ้นก่อนหน้ารวมกัน
“นอร์แมน ครั้งนี้ดูซินายจะแย่งฉันได้ยังไง” คณบดีคณะพันธุศาสตร์แสยะยิ้ม “นายใช้สิทธิ์ประมูลฟรีไปหมดแล้ว เงินนายก็เอาไปทำโปรเจ็กต์หมดแล้ว ซื้อไม่ไหวหรอก”
คณบดีนอร์แมนไม่แคร์ “ยังไงซะฉันก็มีสามชิ้นแล้ว ด้วยเงินที่นายมี อย่างมากก็ซื้อได้แค่ชิ้นเดียว”
พอคณบดีคณะพันธุศาสตร์กำลังจะยกป้ายประมูล ทันใดนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนภาพ
หินอุกกาบาตชิ้นนั้นถูกประมูลไปแล้ว
คณบดีคณะพันธุศาสตร์อึ้ง “เกิดอะไรขึ้น!”
“ขอโทษด้วยครับทุกท่าน หินอุกกาบาตชิ้นนี้ถูกแขกวีไอพีเบอร์ศูนย์ประมูลไปแล้วครับ” พิธีกรกล่าวขอโทษ “พวกเราไปที่ชิ้นถัดไปกันครับ”
เกิดความเงียบขึ้นในทันที
“…”
เบอร์ศูนย์เหรอ
ตลาดประมูลลอเรนท์มีเบอร์ศูนย์ตั้งแต่เมื่อไรกัน
คนอื่นไม่รู้ แต่คณบดีนอร์แมนกลับรู้ดี
เฮ้อ เขาซื้อไม่ไหว แต่เขามีลูกศิษย์
ใครใช้ให้ลูกศิษย์เขาเป็นคนสุดยอดล่ะ
คณบดีนอร์แมนอารมณ์ดี
“ให้ตายเถอะ!” คณบดีคณะพันธุศาสตร์โมโหมาก แต่ก็จนปัญญา
ภายในห้องโถงของชั้นล่าง
บิลนั่งไม่เป็นสุข มั่วเฟิงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
เพราะเขาหันไปเห็นเพื่อนร่วมงานของเขานั่งอยู่ที่ตำแหน่งแรกของโซนเอ
ในที่สุดพอถึงช่วงพักระหว่างประมูล มั่วเฟิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาลุกเดินไปหาแล้วถามขึ้น “ชิงจิ่ว คุณมีบัตรเบอร์หนึ่งโซนเอได้ยังไง”
ตำแหน่งและอายุงานของเขาในสำนักวิจัยล้วนเหนือกว่าชิงจิ่ว
แต่มั่วเฟิงก็รู้ว่า แม้คณะวิศวกรรมศาสตร์จะสร้างคุณูปการให้เมืองแห่งโลกได้มากกว่า
ไม่ว่าจะในด้านชีวิตประจำวันหรือด้านอาวุธ คณะวิศวกรรมศาสตร์ก็อยู่ในระดับที่เป็นคณะที่ขาดไม่ได้
แต่เนื่องจากคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์มีผู้วิเศษนักมายากลกับผู้วิเศษนักบวชหญิงหนุนหลังอยู่ คณะวิศวกรรมศาสตร์จึงตกเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด ถูกคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์กดไว้หนึ่งขั้น
บัตรโซนเอของสำนักวิจัยส่วนใหญ่แจกจ่ายให้คณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ไปหมดแล้ว
แม้แต่เขาก็ได้แค่เบอร์สิบสองโซนเอ แล้วทำไมชิงจิ่วถึงมีบัตรเบอร์หนึ่งโซนเอได้
ชิงจิ่วอึ้ง หยิบบัตรสีทองขึ้นมา “อ๋อ คุณหมายถึงบัตรใบนี้เหรอ”