ตอนที่ 767 เธอเป็นถึงผู้วิเศษเลยเหรอ สายสนกลในของสงครามศักดิ์สิทธิ์
เขาก้มหน้าลง ท่าทางอ่อนน้อม ให้ความเคารพอย่างเต็มที่
คณบดีคณะพันธุศาสตร์รู้ว่านิสัยของผู้วิเศษแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ดังนั้นถ้าไม่มีคำสั่งเขาก็ไม่กล้าแอบมองใบหน้าที่แท้จริงของผู้วิเศษ
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ความกดดันแผ่ซ่าน
“กึก”
อัศวินจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่สองฝั่งคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง เสียงดังสนั่นฟ้า
“น้อมคารวะท่านผู้วิเศษพระจันทร์!”
คณบดีคณะพันธุศาสตร์ใจหายวาบ ตัวก็เริ่มสั่น
ผู้วิเศษพระจันทร์
เขาย่อมเคยได้ยินฉายานี้ แต่กลับไม่เคยเห็นตัวจริง
คณบดีคณะพันธุศาสตร์เหมือนเคยได้ยินนักมายากลบอกว่า ใช่ว่าผู้วิเศษทุกคนจะมาประจำที่สำนักผู้วิเศษบ่อยๆ
แต่ผู้วิเศษพระจันทร์เพิ่งปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกแน่นอน นับตั้งแต่ก่อตั้งเมืองแห่งโลกเป็นต้นมา
และคนแรกที่ได้พบก็คือเขา!
คณบดีคณะพันธุศาสตร์ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ถ้าคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์มีผู้วิเศษหนุนหลังเพิ่มขึ้นมาอีกคน คณะวิศวกรรมศาสตร์ยังจะเอาอะไรมาแข่งกับพวกเขาได้อีก
ไม่กี่วินาทีถัดมาเสียงฝีเท้านั้นก็มาหยุดลงตรงหน้าเขา
คณบดีคณะพันธุศาสตร์ไม่กล้าหายใจแรง ก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม “ท่านพระจันทร์”
“ได้ยินว่าในการทดลองดัดแปลงพันธุกรรมตัวอ่อนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนมีผลงานล้มเหลวสองคนที่หนีออกไปได้” เสียงของผู้หญิงดังขึ้น ยิ้มเย็นชา “เลยต้องกำจัดพวกเขาทิ้งเพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดคิดอย่างนั้นเหรอ”
“ครับท่านพระจันทร์” คณบดีคณะพันธุศาสตร์กึ่งสงสัยกึ่งเซอร์ไพรส์ “การทดลองดัดแปลงพันธุกรรมตัวอ่อนครั้งนั้นผิดต่อกฎธรรมชาติ เด็กทารกที่เกิดจากการทดลองก็ไม่ใช่คนปกติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลงานล้มเหลวเลยครับ ก็เลยต้องกำจัดทิ้ง”
หรือผู้วิเศษพระจันทร์ก็จะมาช่วยพวกเขาเพราะเรื่องนี้
“งั้นเหรอ…” สายตาของฉินหลิงอวี๋เย็นชา แต่น้ำเสียงกลับไม่รีบร้อน เจือด้วยความนึกสนุก “เงยหน้าขึ้นสิ ฉันมีคำถามอยากถามหน่อย”
“ขอบคุณท่านพระจันทร์ครับ” คณบดีคณะพันธุศาสตร์โล่งอก เงยหน้าขึ้น
แต่พอมองไปสีหน้าของเขาก็ค้างเติ่งทันที
เขาคุ้นหน้าของหญิงสาวตรงหน้ามาก
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนคณบดียังดูรูปของเธอที่โต๊ะทำงานอยู่ แถมยังเรียกชื่อเต็มสั่งเอาชีวิต
ฉินหลิงอวี๋
ผู้วิเศษพระจันทร์
ยากที่จะเชื่อมโยงสองชื่อนี้
คณบดีคณะพันธุศาสตร์สมองตื้อไปหมด ราวกับมีประกายไฟปรากฏ สุดท้ายก็ “ตูม” ระเบิดออก
คนที่เขาส่งคนไปฆ่าคือผู้วิเศษพระจันทร์เหรอ!
เขาต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ
แต่ใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนมาก บุคลิกเอาเรื่อง
คณบดีส่งเสียงร้องเหมือนจะขาดใจภายใต้ความหวาดกลัวอย่างรุนแรง
เขาคลานถอยหลังทันที
วินาทีถัดมาก็มีเสียง “ชริ้ง” สองเสียง ดาบยาวสองเล่มถูกเอามาจ่อที่คอของเขา
ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถแทงทะลุผิวหนัง ตัดคอของเขาได้
อัศวินจอกศักดิ์สิทธิ์มองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ห้ามเสียมารยาทต่อท่านพระจันทร์!”
คณบดีดวงตาเบิกโพลงด้วยความกลัว เหงื่อไหลไม่หยุด “ทะ ท่านพระจันทร์…”
“ไหนว่าต้องการฆ่าฉัน” ฉินหลิงอวี๋โน้มตัว ยิ้มพลางพูด “ฉันยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำไมแม้แต่จะยืนยังไม่กล้ายืนเลยล่ะ”
“ท่านพระจันทร์!” คณบดีคณะพันธุศาสตร์ไม่มีเวลาคิดแล้วว่าฉินหลิงอวี๋กลายเป็นผู้วิเศษพระจันทร์ได้ยังไง เขาหน้าซีด เริ่มก้มหัวคำนับอ้อนวอน “ท่านพระจันทร์ เข้าใจผิดกันทั้งนั้นครับ เป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ”
“ผมก็แค่คิดเผื่ออนาคตเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ได้จงใจอยากเล่นงานท่านพระจันทร์เลยครับ!”
เขาจะคาดคิดได้ยังไงว่าผลงานล้มเหลวจะเป็นถึงผู้วิเศษ!
“คนที่เมื่อวานมาฆ่าฉันก็ทำท่าทางแบบเดียวกับคุณ” ฉินหลิงอวี๋ยิ้ม “เดาดูสิ สุดท้ายเกิดอะไรขึ้น”
คณบดีคณะพันธุศาสตร์ตัวสั่นอย่างรุนแรง เสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แย่แล้ว จบแล้วเขา
คนที่กล้าเล่นงานผู้วิเศษ จุดจบจะมีอะไรได้นอกจากตาย
“เอาตัวไปก่อน” แต่ฉินหลิงอวี๋กลับยืดตัวขึ้น “หมาของใครหลุดออกมากัดคนไปทั่วก็ต้องรับผิดชอบ”
พอคำพูดนี้ออกมาบรรดาอัศวินจอกศักดิ์สิทธิ์ก็สีหน้าเปลี่ยน
คนที่คุ้มครองคณบดีคณะพันธุศาสตร์อยู่คือใคร ไม่ต้องบอกก็รู้
ผู้วิเศษนักมายากล
เวลานี้บรรดาอัศวินจอกศักดิ์สิทธิ์ต่างยืนอยู่ที่เดิม ลังเลไม่กล้าขยับ
“ทำไม ผ่านไปยี่สิบกว่าปีกลับมาอีกครั้งเปลี่ยนรูปลักษณ์ คำพูดของฉันมันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วเหรอ” ฉินหลิงอวี๋แสยะยิ้ม “ในสำนักผู้วิเศษมีแค่คำพูดของนักมายากลที่มีอำนาจงั้นเหรอ หรือว่า…”
สายตาของเธอแข็งกร้าวขึ้น “พวกนายคิดจะก่อกบฏ”
“ตุบ!”
บรรดาอัศวินจอกศักดิ์สิทธิ์คุกเข่าลงทันที สีหน้าหวาดกลัว “ไม่กล้าครับ!”
พวกเขาเป็นเพียงลูกน้องใต้บังคับบัญชา มีเหรอจะกล้าเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้วิเศษ
“ในเมื่อไม่กล้าก็ทำตามคำสั่งซะ” ฉินหลิงอวี๋พูด “เดี๋ยวฉันจะกลับสำนักผู้วิเศษ อย่าให้ฉันเห็นว่าพวกนายบกพร่องต่อหน้าที่ล่ะ”
เธอไม่สนใจคณบดีคณะพันธุศาสตร์ที่ทรุดตัวแข็งอยู่บนพื้นอีกต่อไป เดินออกจากตึกสำนักงานไปหาอิ๋งจื่อจิน
หลังจากออกไปแล้วฉินหลิงอวี๋ก็ดึงหมวกลง สวมแว่นกันแดด
เพียงชั่วพริบตากลายเป็นดาราสาว
แต่ไหนแต่ไรมาเธอเป็นคนแต่งตัวเซ็กซี่สะดุดตา ทำให้มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยต้องเหลียวมองบ่อยครั้ง ต่างสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่
“อาอิ๋ง” ฉินหลิงอวี๋เดินเข้าไปในห้องทดลอง ยกมือทักทายอิ๋งจื่อจิน “ฉันจัดการธุระเสร็จแล้ว”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า เลิกคิ้ว “อยากได้อาวุธไหม”
“ถึงจะไม่จำเป็นเท่าไร แต่ว่าฉันชอบ” ฉินหลิงอวี๋เดินเข้าไป “อาอิ๋ง เธอเก่งจริงๆ เลยนะ เล่นดนตรีเยี่ยม เครื่องกลก็เก่ง ฉันที่เป็นผู้วิ…ขนาดฉันยังอิจฉาเธอเลย”
“อยู่มานานเลยเรียนมาเยอะ” อิ๋งจื่อจินเริ่มประกอบอาวุธ “เดี๋ยวประกอบให้เอาไปเล่น”
ฉินหลิงอวี๋หวนคืนเป็นผู้วิเศษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายเธอจะตีรันฟันแทงไม่เข้า
“เอ๊ะ เทพอิ๋ง” เยี่ยซือชิงชะโงกหน้ามา “คนนี้ใครเหรอ”
อิ๋งจื่อจินหยุดเล็กน้อย “เธอแซ่ฉิน”
“สวัสดีค่ะคุณฉิน” เยี่ยซือชิงทักทายอย่างกระตือรือร้น “คุณเป็นเพื่อนของเทพอิ๋ง ต้องการอาวุธอะไรก็สั่งทำได้เลยนะคะ”
“ตกลงค่ะ” ฉินหลิงอวี๋ยินดีมาก “ฉันชอบปืนที่น้ำหนักเบาแต่ยิงได้ไกล”
เยี่ยซือชิงไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเธอเป็นใคร จึงพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณฉินสวยมากเลยค่ะ เอวจะเล็กเกินไปแล้ว แถมขายังยาวอีก”
ฉินหลิงอวี๋มองเอวตัวเอง “พอไหว เต้นบ่อยเลยได้แบบนี้ค่ะ”
เธอคุยกับเยี่ยซือชิงเล็กน้อยก็ไปส่งรายงานโปรเจ็กต์ฉบับสุดท้ายเป็นเพื่อนอิ๋งจื่อจิน
“อาอิ๋ง ทำไมเธอเอาแต่อยู่ที่ห้องทดลองล่ะ” ฉินหลิงอวี๋ขมวดคิ้ว “ฉันกลัวคณะพันธุศาสตร์มาทำร้ายเธอ”
“ศึกษาหาความรู้เรื่องยานอวกาศ วิจัยยานอวกาศข้ามจักรวาล” อิ๋งจื่อจินไม่ได้ปิดบัง สีหน้าเรื่อยเปื่อย “ฉันจะดูแลตัวเอง”
เธอต้องคิดค้นยานอวกาศข้ามจักรวาลออกมาให้ได้
“จริงสิ ฉันอาจต้องออกไปตามหาเขาที่นอกเมืองหน่อย” ฉินหลิงอวี๋ถอนหายใจเบาๆ “ถ้าวงล้อแห่งโชคชะตายังอยู่ก็คงดี มีเธออยู่ ตราบใดที่ผู้วิเศษยังไม่ดับสูญอย่างสิ้นเชิงก็ตามกลับมาได้โดยเร็วแล้ว”
หลังจากผู้วิเศษเปลี่ยนภพก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป อาจมีลักษณะเด่นอยู่บ้าง เช่น กรุ๊ปเลือด
แต่ก็แยกไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
อิ๋งจื่อจินก็เคยได้ยินซิวพูดเรื่องนี้
หากว่ากันด้วยเรื่องความสามารถด้านต่อสู้ วงล้อแห่งโชคชะตาถือว่าอยู่ระดับกลางค่อนไปทางต่ำในบรรดาผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองคน
แต่ความสามารถของเธอก็สุดยอดมาก เรียกได้ว่าเป็นประเภทที่ติดบัคเยอะสุดในบรรดาผู้วิเศษทั้งหมด
ผู้วิเศษคนไหนก็ตามที่ได้จับคู่กับเธอก็ไม่มีศัตรูที่ไหนสู้ได้
“ฉันได้ยินมาว่าเธอไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แต่กลับดับสูญไป” แววตาของอิ๋งจื่อจินขรึมลง “ตอนนั้นเธอเข้าร่วมสงครามหรือเปล่า”
“เธอหมายถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์เหรอ” ฉินหลิงอวี๋นึกถึงอดีต “อืม มันผ่านมานานมาก ฉันจำไม่ค่อยได้หรอก เป็นเรื่องตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราช”
“ตอนนั้นอารยธรรมยังไม่รุ่งเรืองมาก กอปรกับมีภัยพิบัติเยอะ ผู้วิเศษส่วนใหญ่ออกไปขัดขวางภัยพิบัติในแต่ละที่ พอฉันกับเขากลับไปสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็ปะทุแล้ว”
ฉินหลิงอวี๋ขมวดคิ้ว “เดวิลต้องการทำลายสำนักผู้วิเศษ อยากทำลายเมืองแห่งโลกด้วย ฝีมือการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งถึงขั้นทำลายเมืองได้ในชั่วพริบตา”
เธอกับพระอาทิตย์เลือกที่จะร่วมมือกับผู้วิเศษคนอื่นเพื่อขัดขวางไม่ให้เดวิลทำร้ายพลเมืองบนโลก
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “เขาได้บอกไหมว่าทำไมถึงเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์”
“ไม่รู้สิ ต่อมาฉันก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย” ฉินหลิงอวี๋ลังเล “แต่ฉันรู้สึกว่าสุดท้ายเขาเป็นฝ่ายยอมแพ้เอง”
“ไม่อย่างนั้น อัศวินรถม้ากับพลังไม่อยู่ทั้งคู่ ใครก็เอาชนะเขาไม่ได้หรอก”
เดิมทีนักบวชหญิงทำนายว่าเดวิลได้ดับสูญไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
แต่ที่น่าแปลกคือ แอสโตรแลบแสดงผลว่ามีเค้าลางที่เดวิลจะกลับมาอีกครั้ง
ฉินหลิงอวี๋รู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์มีความซับซ้อนกว่าที่คิด แต่เดวิลไม่อยู่ก็ไม่รู้จะไปถามใคร
“เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า” เธอจับบ่าอิ๋งจื่อจิน เลิกคิ้ว “คนนั้นของฉันน่าจะรู้เยอะกว่าฉัน รอฉันหาเขาเจอค่อยให้เขาเล่าให้เธอฟังนะ”
ทั้งสองคนเดินออกนอกสำนักวิจัย สวนทางกับบิลที่เข้ามา
บิลควบคุมตัวเองไม่ให้มองอิ๋งจื่อจิน รีบสาวเท้าเดินไปห้องทดลองเพื่อส่งผลโปรเจ็กต์ของตัวเอง
บนโต๊ะตรวจสอบมีอาวุธวางอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นผลงานที่ทำสำเร็จของพวกนักศึกษา
บิลมองเห็นชื่ออิ๋งจื่อจินตั้งแต่แวบแรก
อยู่คนแรก สะดุดตามาก
สายตาของเธอเลื่อนลง เห็นปืนเลเซอร์ที่ประณีตหนึ่งกระบอก เธออึ้ง
นี่มันผลงานล่าสุดของเอสวายไม่ใช่เหรอ