ตอนที่ 71 การต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งหัวหน้า 4
ส่วนพวกอาจารย์จากคณะอื่นนั้นทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การเลื่อนขั้นพลังดวงดาวของพวกเขา แต่พวกเขาอยากรู้ว่าจะสามารถลิ้มลองรสชาติของมันได้หรือไม่?!
มองดูนักเรียนพวกนี้ที่คล้ายคลึงกับสัตว์ดุร้าย กวาดสิ่งของบนโต๊ะจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเขากระทืบเท้าด้วยความฮึกเหิม และในที่สุดการเคลื่อนไหวของนักเรียนเหล่านี้ก็หยุดลง
ดูเหมือนว่าจะกินเข้าไปไม่ได้แล้ว
อ๊ะ! ใครจะเชื่อว่าวันหนึ่งอาจารย์หัวกะทิและคณบดีของสถาบันการศึกษาทางการทหารของจักรวรรดิจะต้องมาอิจฉานักเรียนจากแผนกเกษตรกรรมพวกนี้กัน?!
“นั่น…องค์หญิงสาม” คณบดีเบลกเริ่มประจบและกล่าวอย่างเว้าวอน
“ท่านดูสิ เพื่อนร่วมชั้นของท่านกินไม่หมด ถ้ากินไม่หมด จะเหลือทิ้งงั้นเหรอครับ? ยังไงมันก็จะกลายเป็นเศษซากอยู่แล้ว ให้พวกเราช่วยแก้ไขไหมครับ?”
“ไปให้พ้น!” คณบดีราลีย์ที่ยังกินอาหารไม่เสร็จได้ยินคำพูดก่อนหน้าของเบลก เขาจึงเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องข้าว เศษอาหารในปากของเขากระเด็นกระดอนไปโดนใบหน้าของคนตรงหน้า “พวกเราสามารถใช้ปุ่มมิติกักเก็บเพื่อเอามันออกมากินทีหลังได้! พวกคุณอย่าแม้แต่จะคิด!”
“ใช่ ๆๆ!” นักเรียนในแผนกเกษตรกรรมไม่เคยกล้าหาญแบบนี้มาก่อน ถึงกับยืนถือกล่องข้าวของตนเองอยู่ด้านหลังของคณบดี พร้อมกับส่งเสียงเห็นด้วย พวกเขาสามารถเอาอาหารพวกนี้กลับไปให้ครอบครัวที่บ้านหรือสามารถเก็บไว้กินมือต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องแบ่งมันให้กับคนพวกนี้!
“พวกเรากินเสร็จแล้ว!”
คณบดีเบลกและคณบดีแกลลาเกอร์ต่างก็รู้สึกโกรธจะเป็นจะตาย! เด็กนักเรียนพวกนี้ช่างใจกล้านัก ถึงกับกล้าที่จะประจันหน้ากับพวกเขา!
“ขอผมพูดอะไรหน่อยนะราลีย์ ทำไมคุณถึงขี้เหนียวขนาดนี้? ยังไงพวกเราก็เป็นคณบดีเหมือนกัน แล้วทำไมผมจะกินอาหารบ้างไม่ได้? อีกอย่างหนึ่ง พวกเราถามองค์หญิงสาม พวกเราไปถามคุณเมื่อไหร่กัน?!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองใบหน้าของสวี่หลิงอวิ๋น ราวกับมีเวทมนตร์ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาที่จองหองก่อนหน้านี้ก็ยกยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “องค์หญิงสาม ท่านจะแบ่งอาหารให้อาจารย์ผู้อาวุโสสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ?”
สวี่หลิงอวิ๋นหัวเราะขึ้นขัดจังหวะการสนทนา ก่อนมองไปที่คณบดีเบลกและส่งยิ้มให้กับเขา “ท่านก็รู้ดีนี่คะว่าฉันเป็นนักเรียนและต้องเชื่อฟังคณบดี ในเมื่อคณบดีไม่อยากจะแบ่งอาหารให้กับพวกท่าน ในฐานะนักเรียน ฉันคงทำอะไรไม่ได้หรอกจริงไหม? ท่านอยากจะพูดคุยกับคณบดีของพวกเราไหมล่ะคะ?”
ราลีย์ได้ยินคำพูดดังกล่าว เฮ้ องค์หญิงสามกอบกู้หน้าของพวกเรา! มีความสุขมาก!
“ได้ยินหรือยัง? ฮึ่ม! อย่าบอกนะว่าพวกคุณไม่เข้าใจที่องค์หญิงสามพูด!” ราลีย์มองดูรองเท้าแตะจากระยะไกล ก่อนจะกล่าวเสียงดัง “อุ๊บ ใครโยนรองเท้าแตะของผมออกไปไกลขนาดนั้นนะ? เอากลับมาให้ผมหน่อยสิครับ!”
ใบหน้าของคณบดีเบลกเปลี่ยนเป็นโกรธจัด!
คณบดีหน่วยรบพิเศษที่สง่าผ่าเผยกลับมาถูกคณบดีอันธพาลแบบนั้นบงการได้อย่างไร? ไอ้เชี่ย! สารเลว!
ราลีย์มองมาที่เขาด้วยสายตาอวดดี เผยถึงภาพลักษณ์วายร้าย ขณะที่เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธเคือง!
เมื่อคณบดีแกลลาเกอร์เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เขาก็โห่ร้องออกมา “ไปเก็บมา ใครบอกให้แกโยนรองเท้าแตะใส่คนอื่นในระยะไกลขนาดนั้น? ฮึ่ม! ไม่แปลกใจเลยที่พวกคุณกลับกลอกพวกบ้าในกองบัญชาการได้ เพราะว่ามีคณบดีที่เจ้าเล่ห์แบบนี้เอง!”
ช่างเป็นฉากที่ดูดีเสียจริง
พันธมิตรดั้งเดิมทั้งสองถูกคณบดีแกลลาเกอร์หักหลังอย่างโหดเหี้ยม เหลือเพียงคณบดีเบลกเท่านั้นที่ยังคงประคับประคองอยู่
สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในวิทยาลัยของตนเองนั้นคือพวกอาจารย์ทั้งหลายที่อยู่ด้านหลังตะโกนใส่!
“คณบดี อดทนไว้! ท่านแค่เสียสละเล็กน้อยเท่านั้นเอง!”
“เฮ้! ท่านคณบดี อย่าหยิ่งในศักดิ์ศรีนักเลย ท่านสอนพวกเราว่าแบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ?!”
จะรับมืออย่างไรไหว? คณบดีเบลกรู้สึกเสียใจที่ตนเองถูกอาหารดึงดูด และรู้สึกเศร้าโศกอย่างมากที่ตัวเองดันไปคุยโอ้อวดต่อหน้าอาจารย์ทั้งหลายว่าพวกเขาจะได้ลิ้มลองรสชาติที่แสนอร่อยจากอาหารขององค์หญิงสาม ซึ่งมันยากที่จะลงจากหลังเสือ
ในเมื่ออยู่ใต้หลังคาบ้านคนอื่น ก็จำเป็นจะต้องก้มหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีคนอยู่เคียงข้างตัวเขา…
คณบดีเบลกจึงหยิบรองเท้าขึ้นมาและขว้างมันไปด้านหน้าในทิศทางของราลีย์ ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างโกรธจัด “พอใจหรือยัง?!”
ราลีย์กระแอมในคอเล็กน้อยก่อนจะสอดเท้าเข้าไปในรองเท้าของตนเอง และกล่าวขึ้นว่า “แหม เป็นเหมือนเดิมเลยนะ มันคงยากนักสินะที่คณบดีผู้บัญชาจากกองบัญชาการจะเข้าใจเรื่องมารยาทน่ะ”
เบลกไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไป “กินได้หรือยัง?!”
“ไม่! พวกคุณต้องทำสัญญาตามเงื่อนไขกับพวกเราก่อน!” ราลีย์กล่าวขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ฮ่า ๆ! กี่ปีแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นคณบดีทั้งสองคนนี้ก้มหัวและยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง!
ช่างมันเถอะ อย่าไปกวนประสาทพวกนี้เลย ขืนหนึ่งในสองคนนี้ใช้ความรุนแรงขึ้นมา เขาจะดูไม่ดีไปด้วยหรือเปล่า?
“เงื่อนไขอะไร?” คณบดีเบลกระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ชายคนนี้คิดจะทำอะไรอีก? ตาเฒ่าเอ๊ย ฮึ่ม ถ้าบังอาจทำอะไรอีก อย่าหาว่าเขาคนนี้หยาบคายก็แล้วกัน!
ราลีย์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางรับประทานอาหารอีกคำ และหันไปถามสวี่หลิงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “องค์หญิงสาม ท่านคิดว่าเราควรขอเงื่อนไขอะไรดีครับ?”
คณบดีเบลกกับคณบดีแกลลาเกอร์ต่างจ้องมองมาที่สวี่หลิงอวิ๋น
สวี่หลิงอวิ๋นอมยิ้มเล็กน้อย “ง่ายเพียงนิดเดียว ในอนาคตห้องโดยสารสำหรับเครื่องจักรกลเสมือนจริงจะต้องเปิดต้อนรับให้กับแผนกเกษตรกรรมของพวกเราด้วย”
ห้องโดยสารสำหรับเครื่องจักรกลเสมือนจริงนั้นมีไว้สำหรับนักเรียนสายกองบัญชาการรบเพื่อเรียนรู้ทักษะการขับขี่ และใช้พื้นที่เสมือนจริงนี้ทำความคุ้นเคยกับโหมดการต่อสู้โดยเฉพาะ
นักเรียนทุกคนในสถาบันศึกษาทางการทหารนี้จะต้องขับเครื่องจักรกล ซึ่งมีเงื่อนไขเกี่ยวกับพลังด้านจิตวิญญาณและพลังดวงดาว และนักเรียนทั้งหลายจากแผนกเกษตรกรรม…นักเรียนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องออกไปต่อสู้ด้านนอก นอกจากนี้ จิตวิญญาณของพวกเขายังเบาบางนัก แถมยังมีพื้นที่เพียงเล็กน้อยที่จะพัฒนาพลังดวงดาว ดังนั้น เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากร จึงไม่ได้ให้พวกเขาใช้ห้องโดยสารสำหรับเครื่องจักรกลเสมือนจริง
แม้ว่าอาวุธทางเทคโนโลยี การขับเครื่องจักรกลนั้นจะใช้พลังด้านจิตวิญญาณและพลังดวงดาวไม่สูงมากนัก แต่ทั้งหมดก็ต้องเหนือกว่า 3 ดาว
เมื่อสวี่หลิงอวิ๋นกล่าวคำขอนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงคณบดีเบลกกับคณบดีแกลลาเกอร์ที่กำลังตกตะลึง เพราะแม้แต่ชาวเน็ตทั้งหลายที่กำลังดูถ่ายทอดสดอยู่ก็ต่างตกตะลึงไม่แพ้กัน
“องค์หญิงสามจำไม่ได้เหรอ? นักเรียนแผนกเกษตรกรรมอยู่ต่ำกว่า 3 ดาวนี่น่า? ถึงจะเอ่ยขอสิทธิ์ในการเข้าถึงห้องโดยสารเสมือนจริง แต่ยังไงพวกเขาก็ใช้มันไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง?”
“อาจจะไม่น่าเชื่อ?! แต่ว่าด้วยความสามารถขององค์หญิงสามแล้ว มันอาจจะเป็นไปได้ใช่ไหม? เพราะหลายคนก็ทะลุผ่านระดับ 3 ดาวไปได้แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้! คนพวกนี้ไม่เคยสัมผัสเครื่องจักรกล และทักษะการขับขี่ของพวกเขาต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก่อน พวกเขาจะมีทักษะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมภายในสิบวันได้ยังไง?!”
“ความคิดเห็นข้างบนล้อเล่นหรือเปล่า? สิบวันเหรอ? ขนาดยี่สิบวันยังทำไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ? พลังจิตของพวกเขาจะสามารถรองรับการใช้เครื่องจักรกลที่มีมายาวนานแบบนั้นได้ยังไง?”
…….
ชาวเน็ตทั้งหลายเริ่มแสดงความคิดเห็นกันทีละคน และไม่มีใครคิดว่านักเรียนแผนกเกษตรกรรมเหล่านี้จะมีทักษะการขับขี่ที่เชี่ยวชาญได้ภายในเวลาสิบวัน
ไม่ใช่แค่ชาวเน็ตทั้งหลายที่ไม่เชื่อ แม้แต่สวี่หลิงอวิ๋นเองก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาเหล่านี้จะเชี่ยวชาญได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงได้แต่หวังว่าพวกเขาจะสามารถขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น!
เมื่อถูกโจมตี ก็แค่สามารถหลบหลีกให้ทันเวลาเท่านั้น