ตอนที่ 108 การฝึกภาคสนามของการต่อสู้ชิงตำแหน่งหัวหน้า 20
“ไม่เอาน่า! พี่ยังเป็นผู้นำอยู่นะ!”
ผู้สนับสนุนขององค์หญิงสามนั่งสบายใจเฉิบดูวิดีโออยู่ที่บ้านขณะแทะเมล็ดแตงโมไปด้วย พร้อมกับเขียนคอมเมนต์ระหว่างวิดีโอถ่ายทอดสด
“พวกคุณให้พวกเขากินอาหารมื้อดี ๆ สักมื้อไม่ได้เหรอ? ฮึ! จำเป็นต้องทำแบบนี้กับพวกเขาด้วยเหรอ! พอกันที!”
“เจ้าพวกคนน่ารังเกียจจะมาก่อเรื่องอะไรอีก! ฮ่า ๆๆๆ! ต้องการอะไรกันแน่!”
บรรดาแฟนคลับขององค์หญิงสามกำลังเข้าครอบครองโลกอินเทอร์เน็ต พวกเสี้ยมทั้งหลายกล้าดียังไงถึงมาพูดจาโอ้อวดแบบนี้? ต้องโดนถล่มให้หนัก!
อากาศเริ่มเย็นลง
ฉินหยวนวัดอุณหภูมิได้ประมาณติดลบ 15 องศา
อุณหภูมิดังกล่าวไม่เหมาะกับการอาศัยอยู่ด้านนอก จึงจำเป็นจะต้องหาที่หลบภัยโดยด่วน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะประสบเข้ากับปัญหาได้
และที่สำคัญที่สุดพลังดวงดาวของพวกเขากำลังจะหายไปอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ!” ฉินหยวนรู้ดีว่าต่อให้ก่อกองไฟก็ไม่สามารถช่วยป้องกันพวกเขาจากลมหนาวที่พัดผ่านมาได้ และสมาชิกในทีมคงจะรับมือไม่ไหว
โชคดีที่ยังมีหนังสัตว์อยู่! พวกเขาจึงเริ่มมีหวังอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนไม่มาก แต่พวกเขาก็อัดตัวแน่นอยู่ด้วยกัน ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะห่อหุ้มพวกเขาทั้งหมด
หลังจากที่สวี่หลิงอวิ๋นและคนอื่นกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว อากาศบริเวณโดยรอบก็เริ่มขมุกขมัวลงเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าพายุหิมะขนาดใหญ่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามาในไม่ช้า
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เธอสะสมหนังสัตว์ไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนทำให้ตอนนี้หนังสัตว์มีจำนวนไม่เพียงพอต่อเพื่อนร่วมชั้น
“คนจากฝั่งสีแดงเป็นคนตลกนัก พวกเขาเอาแต่บอกว่าตัวเองคือสุภาพบุรุษ แต่กลับขโมยหนังสัตว์ของพวกเราไปซะงั้น! ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวให้พวกเราเลย แต่โชคดีที่พวกเรายังมีสำรองไว้บ้าง”
เตาถ่านถูกจุดสว่างไสวขึ้นอีกครั้งในห้อง ขณะที่เหล่านักเรียนทั้งหลายมองไปนอกหน้าต่าง ภายในห้องนั้นอบอุ่นราวกับอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ข้างนอกกลับมืดสนิทราวกับอยู่ในวันสิ้นโลก
“องค์หญิงสาม ทำไมท่านถึงยังไม่เข้ามาอีกครับ?” รุยที่ยืนอยู่หน้าประตูถามขึ้น ตอนนี้เขาถูกห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์ มองดูลมแรงที่อยู่ด้านนอกประตู มันแรงมากจนเขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
“ฉันกำลังคิดถึงทีมสีแดงอยู่ ถ้าพวกเขาหาที่กำบังได้ไม่ทันเวลา พวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย” ผมยาวสลวยของสวี่หลิวอวิ๋นกำลังยุ่งเหยิงเพราะแรงลม ขณะเธอมองดูอากาศ ผู้คนจากฝั่งสีแดงยังไม่เคยมีประสบการณ์เอาชีวิตรอดในป่ามาก่อน ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง
“ช่างพวกเขาเถอะครับ!” ลงแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนรุยต้องตะโกนออกไป “พวกเขาจะทำอะไรได้? หรือไม่ พวกเขาอาจจะสร้างบ้านก็ได้!”
สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว คนจากฝั่งสีแดงจะสร้างบ้านแบบไหนกันได้? ถึงแม้จะฟื้นตัวแล้ว แต่พลังดวงดาวของพวกเขายังไม่ได้กลับคืนมาเต็มที่ แล้วจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร?
ช่างมันเถอะ เธอจะออกไปตามหาพวกเขา! จะปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาที่นี่ไม่ได้
เธอเปิดเครื่องจักรกลและนำเอาปุ่มบังคับเครื่องจักรกลทั้งหมดของทีมสีแดงออกมาใส่ไว้ในเครื่องจักรกลของตนเอง ก่อนจะแล่นออกไปสำรวจ
การถ่ายทอดสดยังคงดำเนินต่อไป…
ชาวเน็ตทั้งหลายแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อพวกเขาเห็นว่าสวี่หลิงอวิ๋นขับเครื่องจักรกลแล่นออกไปดูผู้คนจากฝั่งสีแดง
ถึงกับหลั่งน้ำตา องค์หญิงสามเป็นคนที่ชอบเล่นแง่ และยังมีความคิดชั่วร้ายอยู่เสมอ เธอเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับการคว้าชัยชนะ แล้วเธอจะช่วยคนจากฝั่งสีแดงได้จริงแค่ไหน?
ทันทีที่สวี่หลิงอวิ๋นออกไป อากาศก็เริ่มมืดลง
คนจากฝั่งสีแดงเริ่มตีนถีบปากกัด!
ทั้งป่ามืดสนิทจนแทบจะมองไม่เห็นใบหน้า ทุกคนพยายามอยู่ใกล้กันเพื่อส่งต่อความอบอุ่น ทว่าลมกลับแรงขึ้น โชคดีที่ต้นไม้ในป่าใหญ่ขวางกั้นลมแรงนั้นเอาไว้ ถ้าพวกเขาอยู่บนพื้นราบที่ไม่มีต้นไม้ พวกเขาคงปลิวไปตามสายลมอย่างแน่นอน!
ไม่มีแม้แต่เครื่องมือให้แสงสว่าง มีเพียงเสียงลมพัดกระหน่ำบ่งบอกบรรยากาศที่เลวร้าย
“ไปต่อแบบนี้ไม่ได้แล้ว! ไม่ไหวจริง ๆ พวกเราต้องกลับไปที่ค่ายสีเขียว” ถึงแม้ว่าจะเป็นการยอมแพ้ที่น่าละอาย แต่การเผชิญหน้ากับอากาศที่เลวร้ายแบบนี้ พวกเขาจะต้องนึกถึงสมาชิกในทีมด้วยเช่นกัน
“…ก็ได้!” ลุคเห็นด้วยกับฉินหยวน
แม้จะเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่มีทางออกอื่นแล้ว
เท้าของพวกเขาถูกแช่แข็งจนเหน็บชา และพลังดวงดาวก็ค่อย ๆ หายไป
สมาชิกในทีมเริ่มสัปหงก และไม่สามารถขยับเท้าก้าวออกไปได้อีก
ลุคและฉินหยวนรู้สึกวิตกกังวล ทว่าในตอนนี้พวกเขากลับทำได้เพียงก้าวออกไปตามความรู้สึก มีที่ไหนที่สามารถหลบลมได้อีกบ้าง?!
นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาลงสนามรบเสมือนจริง แต่สุดท้ายพวกเขากลับต้องลงเอยด้วยภาพลักษณ์ที่โง่เขลา และสิ่งที่น่ารำคาญใจที่สุดคือพวกเขาต่างคิดว่าพวกเขาอาจจะอยู่ที่นี่ไม่ได้นาน
ธรรมชาติน่ากลัวเกินไป…
“เดี๋ยวก่อน! ดูสิ! มีไฟอยู่ตรงนั้น!” ลำแสงจากระยะสว่างไสวขึ้น ลุคที่กำลังสับสนอยู่เป็นคนแรกที่เห็นแสงสว่างนั้น เขาพยายามเพ่งไปที่ลำแสงนั้นและในที่สุดก็ได้เห็นมันเต็มตา
มันเป็นแสงจากเครื่องจักรกลสีชมพู…นั่นคือเครื่องจักรกลขององค์หญิงสาม!
“เธอมาทำอะไรที่นี่? มาเยาะเย้ยพวกเราหรือไง?” ความคิดของลุคเต็มไปด้วยคำถามพวกนี้ ทุกครั้งที่เขาพบเธอ ตัวเองมักจะตกอยู่ในสภาพที่น่าละอายเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าเขาถูกแช่แข็งจนเพี้ยนไปแล้ว
สวี่หลิงอวิ๋นมองดูพวกเขาขณะขับเครื่องจักรกลด้วยความเร็วสูง
ผู้คนนับหมื่นคนถูกแช่แข็งจนหมดสติไปแล้ว เหลือเพียงฉินหยวนเท่านั้นที่ยังมีสติอยู่เล็กน้อย
“น่าเวทนาอะไรขนาดนี้นะ” สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว ขณะคิดกับตนเองว่าเธออุตส่าห์ปล่อยให้คนพวกนี้เอาหนังสัตว์ไปด้วย แต่พวกเขากลับยังโง่เขลาเหมือนเดิม
จะพาคนทั้งหมื่นคนนี้กลับไปได้อย่างไร? แต่เมื่อคิดดูแล้วคงมีทางเดียวเท่านั้น
สวี่หลิงอวิ๋นแปรสภาพพลังดวงดาวของเธอให้เป็นตาข่ายขนาดใหญ่ และเอานักเรียนพวกนี้ใส่เข้าไปในตาข่ายยักษ์ รัดกุมพวกเขาอย่างแน่นหนาและเคลื่อนตัวกลับไป
แน่นอนว่าเธอไม่สามารถพาคนนับหมื่นกลับไปได้ในคราวเดียว เธอจึงพาคนกลับไปเพียงสองพันคนก่อน
ทันทีที่พวกเขากลับมาถึงค่ายก็เห็นผู้คนจากฝั่งสีเขียวที่ชะเง้อหน้ารอการกลับมาขององค์หญิงสามอยู่ที่ริมหน้าต่าง
เมื่อเห็นว่าสวี่หลิงอวิ๋นดึงตาข่ายกลับมา พวกเขาก็รีบเข้าไปช่วยและแบกคนเหล่านั้นกลับเข้ามาในบ้านไม้หลังเล็ก
“อย่าให้องค์หญิงสามต้องช่วยเหลือคนพวกนี้เพียงลำพังเลย มันยากเกินไป พวกเราไปช่วยเธอกันเถอะ”
แม้ว่าคนในฝั่งสีเขียวจะดูหมิ่นดูแคลน แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายหมดสติไป พวกเขาก็ตระหนักได้ถึงความอันตราย ก่อนจะนำเอาเครื่องจักรกลของพวกเขาออกมาและติดตามองค์หญิงสามไปช่วยคนจากฝั่งสีแดง และแบ่งคนบางส่วนให้ดูแลคนเหล่านี้ที่องค์หญิงเพิ่งช่วยชีวิตมา
ยังมีคนเหลืออยู่จำนวนมาก และคนจากฝั่งสีแดงก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว
บ้านไม้ขนาดเล็กเต็มไปด้วยจำนวนคนมหาศาล และไม่มีทางออกอื่น เพราะชีวิตทั้งหลายกำลังตกอยู่ในอันตราย
“เฮ้อ พวกเขาอุตส่าห์ให้พวกนายอยู่ด้วยแล้วแท้ ๆ แต่กลับวิ่งหนีไปซะอย่างนั้น แล้วเป็นยังไงล่ะ สุดท้ายพวกเราก็ต้องพยายามเอาพวกนายกลับมาอีกอยู่ดี” สมาชิกในทีมสีเขียวสัมผัสหน้าผากของคนจากฝั่งสีแดงอย่างระมัดระวัง โชคดีที่พวกเขาไม่มีไข้
ต้องบอกก่อนว่าคนจากห้วงดวงดาวเหล่านี้มีสมรรถภาพทางร่างกายค่อนข้างดี ถึงจะถูกแช่แข็งเป็นเวลานาน ก็ยังไม่เป็นอะไร
ภายนอกมืดสนิทราวกับกลางคืน มืดเสียจนมองไม่เห็นนิ้วมือของตนเอง และในที่สุดเกล็ดหิมะก็เริ่มร่วงหล่นลงมา
คนจากฝั่งสีแดงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ฟื้นคืนมาเช่นกัน
พวกเขานอนอยู่บนเตียงและห่มหนังสัตว์ที่แสนอบอุ่น ในขณะที่คนจากฝั่งสีแดงเหล่านั้นเบียดเสียดกันอยู่ที่มุมห้องด้วยความต่ำต้อยน้อยใจ
บริเวณกลางบ้านมีอ่างคาร์บอนที่ปล่อยความร้อนออกมา
ทันทีที่พวกเขาขยับมือและเท้า คนจากฝั่งสีแดงก็ลืมตาขึ้นมาอย่างตื่นตัว
“พวกนายตื่นแล้วเหรอ ถ้าพวกนายไม่ตื่นขึ้นมา พวกเราคงคิดว่าพวกนายจะไปเจอกับพระเจ้าซะแล้ว”