ทุกคนล้วนถูกดูดเข้าไปในทางเชื่อมมิติ ขณะที่สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกถึงอาการวิงเวียนศีรษะ โอคาซีจับมือของเธอเอาไว้แน่น และสัญชาตญาณของเธอบอกไว้ว่าให้จับมือของกันและกันแน่น
จากนั้นทั้งสองก็สลบไป
เมื่อคลื่นยักษ์สงบลง สวี่หลิงอวิ๋นก็ตื่นขึ้นมาขณะลอยตัวอยู่ในชั้นอากาศที่ผันผวน
ทันทีที่หญิงสาวลืมตาขึ้นมา เธอก็พบว่าตัวเองผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของโอคาซี
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเธอฟื้นแล้ว เขาจึงคลายอ้อมกอด “ฟื้นแล้วเหรอครับ?”
“อือ!” สวี่หลิงอวิ๋นนวดศีรษะของตนเองเพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ “ที่นี่ที่ไหนคะ?”
“ไม่รู้สิครับ” โอคาซีช่วยเธอจัดแจงเสื้อผ้า “มันน่าจะเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่ได้อยู่ในการบันทึก”
สวี่หลิงอวิ๋นหยิบอาหารกระป๋องที่อยู่ในปุ่มมิติกักเก็บของเธอออกมา มันเป็นอาหารกระป๋องที่เธอแอบทำขึ้นมายามเบื่อหน่าย โดยไม่คาดคิดว่าของสิ่งนี้จะกลายมาเป็นอาหารให้ตัวเธอได้กิน
“ยานอวกาศลำใหญ่อยู่ไหนคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นเอ่ยถามขึ้นหลังจากกินอาหารกระป๋อง
ผู้คนจำนวนมากมายอยู่บนนั้น และเธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่ายานอวกาศชูชีพขององค์ชายรัชทายาทได้เคลื่อนตัวออกไปแล้วหรือยัง?
“ไม่รู้เลยครับ ผมพยายามจะส่งสัญญาณออกไป แต่ตอนนี้ส่งสัญญาณที่ส่งออกไปไม่สามารถเชื่อมต่อกับดาวเคราะห์ดวงนี้ได้เลย” โอคาซีอธิบาย “ผมจะหาวิธีซ่อมเครื่องยนต์ก่อน แล้วหลังจากนั้นพวกเรารีบขับยานอวกาศออกไปตามหาพวกเขาก่อนเถอะครับ”
สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า
เธอไม่รู้ถึงขั้นตอนการซ่อมเครื่องยนต์ และต่อให้เธอต้องเลือกระหว่างซ่อมเครื่องยนต์กับทำอาหาร เธอก็ยังคงเลือกทำอาหารอยู่ดี!
ในตอนนี้ เธอมีความรู้สึกอยากจะขับร้องทำนองเพลง ‘คุณทำนา ส่วนฉันทอผ้า’ เป็นอย่างมาก
โอคาซีไปซ่อมยานอวกาศ ขณะที่สวี่หลิงอวิ๋นตามไปดูแล้วจึงเห็นชายหนุ่มรูปงามที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตร ในขณะที่ชายผู้นั้นเริ่มถกแขนเสื้อของเขาขึ้น ทดสอบอุปกรณ์ ก่อนจะนำเอาเครื่องมือซ่อมบำรุงออกมาเพื่อเริ่มลงมือซ่อมแซม
สวี่หลิงอวิ่นมองลึกลงไปถึงแก่นสาร บ้าจริง ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไร เขาก็ดูดีไปเสียหมด! กลับยิ่งดูหล่อมากขึ้นเรื่อย ๆ!
โอคาซีหันกลับมาเป็นครั้งคราวเพื่อมองดูสวี่หลิงอวิ๋นที่กำลังจ้องมองเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม ขณะที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนดวงตาของเธอ ในเมื่อเธอชอบจ้องมองเวลาเขาซ่อมแซมยานอวกาศ ดังนั้นเขาจึงซ่อมแซมมันอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่รีบร้อนอะไร
ขณะเดียวกัน ลูกเรือในยานอวกาศลำใหญ่ได้ฟื้นขึ้นมา และทันทีที่พวกเขาลืมตาขึ้น พวกเขาก็พบว่ายานอวกาศได้จมลงมาใต้ท้องทะเลลึก
“ที่นี่ที่ไหน?” ยานอวกาศเริ่มตรวจสอบเครื่องยนต์ และพบว่าการขับเคลื่อนยังคงทำงานได้ดี ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรได้รับความเสียหายมากนัก
“ไม่รู้สิ น่าจะเป็นดาวเคราะห์พื้นเมืองหรือเปล่า?”
พวกเขามักจะเรียกดาวเคราะห์ที่ยังไม่ได้ถูกขุดพบหรือค้นพบโดยมนุษย์ว่าดาวเคราะห์พื้นเมือง
สำหรับดาวเคราะห์ทั้งหลายที่ถูกพัฒนาแหล่งอารยธรรมอย่างชาญฉลาดแล้ว พวกเขาจะคอยคุ้มครองและเฝ้าระวังอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนั้น ทว่าไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่บนนั้น หากเอเลี่ยนบุกเข้ามา พวกเขาจะกีดกันเอเลี่ยนให้ออกไปด้านนอกเพื่อให้การพัฒนาแหล่งอารยธรรมเป็นไปอย่างปกติและเป็นระเบียบอยู่ภายใน
หากแหล่งอารยธรรมของพวกเขาได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มไปสำรวจดาวเคราะห์นอกระบบดวงอื่น ในตอนนั้นเอง พวกเขาจะสามารถสังเกตเห็นได้ว่าแหล่งอารยธรรมนั้นกลมกลืนกันหรือต่อต้านกันและกัน
หากมีความกลมกลืน พวกมันก็จะพึ่งพาอาศัยกัน และช่วยกันและกันพัฒนา
แต่ถ้ามันต่อต้าน พวกมันที่เกิดขึ้นก็ย่อมดับลงไปด้วยตัวของมันเอง
เช่นเดียวกับเอเลี่ยนที่ถูกละเลย
ไร้สัญญาณ มีเพียงคลื่นสัญญาณติด ๆ ขัด ๆ ที่ถูกค้นพบเท่านั้น โดยสามารถคาดเดาได้ว่าอารยธรรมได้เข้ามาสู่ดาวเคราะห์นอกระบบดวงนี้แล้ว
“กัปตัน เหนือมหาสมุทรนั่น เหมือนจะมีแหล่งอารยธรรมตรวจจับสถานการณ์บนนี้อยู่ครับ” ช่างเทคนิคเข้ามารายงานสถานการณ์
“ปิดกั้นสัญญาณทั้งหมด และอย่าให้คนพื้นเมืองที่นี่ค้นพบ” กัปตันสั่ง “รีบไปค้นหาสัญญาณขององค์หญิงสามกับพลเอกโอคาซีซะ”
“ครับ!”
ในขณะเดียวกัน โอคาซีและสวี่หลิงอวิ๋นก็ค้นพบอารยธรรมของดาวเคราะห์นอกระบบเช่นกัน
“เริ่มแรกพวกเราต้องปิดกั้นสัญญาณของยานอวกาศก่อนครับ จากนั้นเปลี่ยนเกราะป้องกันด้านนอกให้ไม่มีสี”
แม้ว่าอารยธรรมของที่นี่จะล้าหลังอยู่บ้าง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือพวกเขากำลังรบกวนผู้อื่นโดยตกลงไปในพื้นที่บ้านของคนอื่น และนั่นก็ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย
สวี่หลิงอวิ๋นที่ยืนอยู่ในห้องบัญชาการสามารถมองเห็นพื้นที่ภายนอกได้ และพบว่าเครื่องบินลาดตระเวนบินลงมาจอดบนบางอย่างที่ดูคล้ายคลึงกับเรือบรรทุกเครื่องบิน
ผู้คนที่มีลักษณะเหมือนกับนักรบสองสามคนออกมาจากเครื่องบินลาดตระเวน ถือของบางอย่างที่เหมือนกับเครื่องกล พวกเขาขมวดคิ้วราวกับสงสัยอะไรบางอย่าง ทำไมจู่ ๆ คลื่นสัญญาณที่ถูกค้นพบถึงได้หายไปเสียแล้ว?
สวี่หลิงอวิ๋นถอนหายใจ ขณะมองดูเสื้อผ้าของเหล่านักรบ เทคโนโลยีของพวกเขาช่างคล้ายคลึงกับชาวโลกในชีวิตก่อนของเธอ
“นี่ จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่าทำไมพวกเขาถึงดูคล้ายกับพวกเราจังเลยล่ะคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นเอ่ยถามโอคาซีด้วยความสงสัย “พวกเรามาจากบรรพบุรุษเดียวกันหรือเปล่า?”
“คำถามนี้เป็นคำถามที่นักวิจัยทางชีวภาพทุกคนตั้งคำถามเหมือนกันครับ” โอคาซีกล่าว “นานมาแล้วที่พวกเราค้นพบว่ามนุษย์ต่างดาวที่มีสติปัญญาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกันกับพวกเรา”
“แน่นอนว่าบางจำพวกก็มีความแตกต่างกัน อย่างเช่นจักรวรรดิของห้วงดวงดาวต๋ามู่ พวกเขามีอัตราส่วนหัวเป็นหนึ่งในสามของร่างกาย พวกเขาเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดมากจนนักวิจัยทั้งหลายคิดว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกันกับมนุษยชาติอย่างพวกเรา แต่ผลลัพธ์กลับเผยออกมาว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังมีส่วนพันธุกรรมใกล้เคียงกับพวกเราด้วยครับ”
“เป็นอารยธรรมทางห้วงดวงดาวที่แปลกประหลาดจังเลยนะคะ” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างชื่นชม เธอเริ่มสนใจมันและกล่าวต่อ “ในเมื่อพวกเราก็ดูเหมือนกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราปลอมตัวเข้าไปท่องเที่ยวในเมืองอารยธรรมของพวกเขาได้ไหมคะ?”
“ถ้าท่านอยากไปเที่ยวก็ได้อยู่แล้วครับ” โอคาซีกล่าว ขณะลูบศีรษะของเธอ
“แต่ว่าพวกเราต้องไปหาคนอื่นก่อนนะคะ”
ควรตามหาคนอื่นอย่างไรดี? โอคาซีรู้สึกวิตกกังวลได้ไม่นานมากนัก เนื่องจากเขาได้รับสัญญาณจากก้นบึ้งทะเลในเวลาถัดมา
คลื่นความถี่สัญญาณของพวกเขาค่อนข้างสูง และต่อให้อารยชนท้องถิ่นได้รับคลื่นสัญญาณนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถอ่านมันออกได้
“ดังมาจากใต้ท้องทะเลสินะคะ” สวี่หลิงอวิ๋นยิ้ม “ไปกันค่ะ พวกเรารีบไปใต้ท้องทะเลกันเถอะ”
ตราบใดที่มีคลื่นสัญญาณนำทางทั้งสอง มันก็ทำให้ค้นหาได้ค่อนข้างง่าย
องค์ชายแลนเซล็อตถูกลูกเรือที่อยู่ในยานอวกาศชูชีพปลุกขึ้นมา
เขาเพียงฟื้นขึ้นมา ทว่ายังไม่ตอบสนองอะไร จากนั้นจึงเห็นสวี่หลิงอวิ๋นส่งยิ้มมาให้เขาท่ามกลางฝูงชน
“นี่คือ?” แลนเซล็อตที่ยังไม่ตอบสนอง เห็นเพียงความมืดมิดของใต้ท้องทะเลลึกเท่านั้น
อีกทั้งเขายังสามารถเห็นรูปร่างของปลาที่หลากหลายแหวกว่ายอยู่บริเวณโดยรอบยานอวกาศ
“พวกเราหลุดเข้ามาในทางเชื่อมมิติธรรมชาติ และตอนนี้พวกเราน่าจะเคลื่อนตัวมาถึงดาวเคราะห์อารยธรรมหลักแล้วครับ” โอคาซีอธิบาย “ยังไม่มีหนทางที่ย้อนกลับไปได้”
“ถ้ากลับไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีชีวิตรอด”
แลนเซล็อตไม่ได้รู้สึกกังวลมากนักเมื่อเขากล่าวว่าตนเองไม่อาจกลับไปได้ ตราบใดที่ทางเชื่อมมิติธรรมชาติมีร่องรอยเหลืออยู่ ทั้งจักรวรรดิก็จะพยายามอย่างหนักเพื่อตามหาเขาจนเจอ
“ตอนนี้พวกเรามานับจำนวนคนกันก่อนเถอะค่ะ แล้วหาพื้นที่รกร้างลงจอดกัน!” สวี่หลิงอวิ๋นปรบมือและกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “มันยากมากที่พวกเราจะได้เดินทางเข้ามาในดาวเคราะห์ที่มีอารยธรรมแปลกประหลาดแบบนี้ พวกนายจะไม่ออกไปสำรวจหน่อยเหรอ?”
ทุกคนต่างมองไปที่สวี่หลิงอวิ๋น…
ตามจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้มีความสนใจมากนัก!
เพราะผู้คนส่วนใหญ่เคยมีประสบการณ์กับความเจริญขั้นต้นเช่นนี้มาก่อน ซึ่งความเจริญมันไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ในเมื่อองค์หญิงสามมีความต้องการอยากจะไปสำรวจ พวกเขาจะขัดได้อย่างไร?