“ท่านอยากลองดูไหมคะ” สวี่หลิงอวิ๋นชักชวนโอคาซี
เอเลี่ยนเกอหลัวทั้งหลายยังคงมีท่าทางเย่อหยิ่ง ราวกับเป็นลูกสะใภ้ตัวน้อย จ้องมองพวกเขาอย่างไม่พอใจ
ทันทีที่พลังจิตของโอคาซีแผ่ขยายออกมา เอเลี่ยนเกอหลัวทั้งหลายก็กลายเป็นพวกมีระเบียบในทันที ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตพวกนี้สื่อสารอะไรกับโอคาซีบ้าง แต่ในไม่ช้าเอเลี่ยนเกอหลัวทั้งหลายก็ยืนขึ้นอย่างเรียบร้อย ยกกรงเล็บอันเล็กขึ้นมาเหนือศีรษะของพวกมันอย่างพร้อมเพรียง
“ท่านกำลังทำอะไรคะ? ทำไมถึงให้พวกมันยกกรงเล็บขึ้นมาล่ะ?” สวี่หลิงอวิ๋นงุงงง
“ไม่มีอะไรครับ ก็แค่เพิ่มสีให้พวกมันสักหน่อย”
สีที่โอคาซีกล่าวถึง มีความหมายว่าการเพิ่มสีให้พวกมันอย่างแท้จริง เขาหยิบกระป๋องสีที่หลากหลายออกมาจากปุ่มมิติกักเก็บของตนเอง พระเจ้าย่อมรู้ดีว่าเขามีของแบบนี้ได้อย่างไร
มือของเอเลี่ยนเกอหลัวแต่ละตัวถูกทาเป็นสีที่แตกต่างกัน
เอเลี่ยนเกอหลัวตัวเล็กที่สุดถูกทาด้วยสีชมพู และสวี่หลิงอวิ๋นก็ตั้งชื่อให้กับมันว่าถั่วชมพู
ส่วนตัวอื่น ๆ ที่มีสีเขียว สีน้ำเงิน สีดำ สีม่วง…สวี่หลิงอวิ๋นก็ตั้งชื่อให้พวกมันว่าถั่วเขียว ถั่วน้ำเงิน ถั่วดำ ถั่วม่วง…
ทั้งหมดล้วนเป็นถั่ว…
เอาล่ะ เป็นถั่วก็เป็นถั่ว!
หลังจากเอเลี่ยนเกอหลัวถูกทำเครื่องหมายแล้ว ดูเหมือนว่าพวกมันจะสามารถเข้าใจได้ว่าพวกมันกลายเป็นของเธอแล้วหลังจากที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสัน พวกมันฉวยโอกาสขณะที่โอคาซีไม่ได้สนใจ เอื้อมมือออกไปคว้ากางเกงของสวี่หลิงอวิ๋น และแอบส่งพลังจิตให้เธอ “ฉันอยากกินแล้ว!”
อยากกินเหรอ? ง่ายมาก!
“ไปเอาปลาหมึกยักษ์สิบกว่าตัวพวกนั้นมาสิ พวกเราจะได้กินปลาหมึกยักษ์กัน” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
เอ? ไอ้ตัวใหญ่พวกนั้นอร่อยเหรอ?! เอเลี่ยนเกอหลัวไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อมองใบหน้าเคร่งขรึมของอสุรกายสองขาแล้ว พวกมันก็จากไปอย่างเชื่อฟัง
จะต้องต่อสู้เพื่ออาหาร!
ความว่องไวของเอเลี่ยนเกอหลัวรวดเร็วมาก ภายในเวลาเพียงยี่สิบนาที เอเลี่ยนปลาหมึกยักษ์สิบกว่าตัวก็ถูกพวกมันไล่ตอนจนหมด นักรบระดับ 8 ดาวสิบกว่าคนจัดการเอเลี่ยนปลาหมึกยักษ์จนหมดสิ้นโดยที่สวี่หลิงอวิ๋นไม่จำเป็นจะต้องกล่าวอะไร
แขนกลแสดงทักษะของมันอีกครั้ง มันกำลังล้างทำความสะอาดและหั่นเนื้อเป็นลูกเต๋าอย่างสุดพละกำลัง
เมื่อคณบดีพูลแมนเห็นว่าวิกฤตสิ้นสุดลงแล้ว เขาก็ออกคำสั่งให้คณะอาจารย์ เหล่าทหาร และนักเรียนชั้นปีที่สี่กลับไปยังฐานทัพอีกครั้ง
ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งรู้สึกมีความสุขเมื่อรับรู้ว่าสวี่หลิงอวิ๋นปลอดภัยและพลเอกโอคาซีก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
“ท่านพลเอกอยู่ที่นี่ด้วย! ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าถ้าองค์หญิงสามตกอยู่ในช่วงอันตราย ท่านพลเอกจะต้องมาที่นี่แน่นอน!”
ทุกคนรีบกลับไปฐานทัพอย่างรวดเร็ว และเห็นหม้อต้มขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในระยะไกล ขณะที่แขนกลกำลังเสิร์ฟอาหารอย่างขยันขันแข็ง กลุ่มสิ่งมีชีวิตขนปุยที่นอนอยู่บนแขนกล ไม่รู้ว่าอาหารพวกนี้คืออะไร
เอเลี่ยนเกอหลัวไม่คิดไม่ฝันว่าปลาหมึกยักษ์ที่ดูน่าเกลียดพรรค์นั้นจะกลายเป็นอาหารอันแสนอร่อยหลังจากถูกปรุงสุก!
สวี่หลิงอวิ๋นที่ติดสินบนพวกมัน จงใจไม่ใส่ผงพริกลงไป เพียงแต่เตรียมซอสปรุงรสและผัดเข้าด้วยกัน จึงทำให้มีรสชาติที่แตกต่างออกไป
เอเลี่ยนเกอหลัวรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาแทบไหลเมื่อได้กลิ่นอาหาร แม้แต่เอเลี่ยนเกอหลัวตัวเล็กก็ไม่ได้สนใจอาหารบาดเจ็บที่ขาอีกต่อไป
มันเพียงยืนกรานจะนอนเกยอยู่ที่ขอบหม้อเพื่อเฝ้าอาหารเอาไว้ หวาดกลัวว่าหากมันไม่เฝ้าให้ดี สหายตัวอื่นจะกินอาหารอันแสนอร่อยในหม้อจนหมดไป
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งเคลื่อนย้ายทัพมาถึงก่อน ขณะที่รุยจ้องมองเป็นเวลานาน “นี่คืออะไรครับ?”
นักรบระดับ 8 ดาวทั้งหลายถือชามข้าวอยู่ในมือ มันช่างอร่อยยิ่งนัก
พวกเขากำลังกินเนื้อตั๊กแตนที่สวี่หลิงอวิ๋นทำขึ้นไว้ก่อนหน้านี้ เนื้อมีเผ็ดเล็กน้อย แต่กลับส่งกลิ่นหอมนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่คลุกกับข้าว!
สวี่หลิงอวิ๋นปลูกข้าวออกมาได้สำเร็จเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงเอาข้าวสารมาที่ฐานทัพในครั้งนี้ด้วย และพวกเขาทุกคนก็กินข้าวกัน
ถึงแม้ทุกคนจะยังไม่คุ้นเคยกับการกินข้าวสวยที่เป็นเม็ดต่อเม็ด แต่เมื่อกินเข้าไปแล้ว มันช่างอร่อยเหลือเกิน จุ๊ ๆ อร่อยจัง!
ทุกคนต่างมีความสุขกับการกินอาหาร
นักรบระดับ 8 ดาวยังคงมีเมล็ดข้าวติดอยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา ทว่าพวกเขากลับรีบรักษาภาพลักษณ์อันสง่างามทันทีที่เห็นกลุ่มเด็กทั้งหลาย “โย่ นักเรียนชั้นปีหนึ่งใช่ไหม? อายุน้อยนี่มันดีจริงเชียว! เอิ๊ก!”
หลังจากกินอาหารอีกสองคำ เขาก็กล่าวทักทายนักเรียนอีกครั้ง “อาหารของพวกนายยังเตรียมไม่เสร็จ คงต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง!”
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งรู้สึกขุ่นเคืองมาก ฮึ่ม! ก็กำลังกินอาหารของหัวหน้าพวกเขาอยู่นี่! เดิมทีมันควรเป็นของพวกเขาต่างหาก!
แต่เมื่อมองดูเหรียญตราบนร่างกายของกันและกัน พวกเขาก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร ก่อนจะโยนตั๊กแตนเข้าไปในโกดังเก็บของ
แขนกลที่อยู่ในโกดังเก็บของเตรียมพร้อมนานแล้ว เมื่อมันเห็นว่าร่างตั๊กแตนถูกโยนเข้ามา พวกมันก็เริ่มลงมือลอกผิวหน้าและถลกเส้นเอ็น คว้านไส้และพุง เอาเนื้อส่วนขาออกมา และเทของเหลวทั้งหมดที่อยู่ในส่วนต้นขาใส่ไว้ในถังขนาดใหญ่
“กลับมาแล้วเหรอ?” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวทักทายผู้ติดตามของเธอด้วยรอยยิ้ม ราวกับแม่ผู้แก่ชรายกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อจ้องมองลูก ๆ ของเธอกลับมาบ้าน
“ไปล้างตัวแล้วมากินข้าวเร็ว!”
รุยกับเบนเน็ตเดินเข้าไปหาสวี่หลิงอวิ๋นด้วยท่าทางจริงจัง “องค์หญิงสาม นั่นคืออะไรครับ?”
เจ้าขนปุยยังคงนอนอยู่บนขอบหม้อ ไม่กลัวว่าขนจะร่วงลงไปหรือไง?
“เอ่อ นั่นคือสัตว์เลี้ยงที่ฉันเพิ่งได้มาน่ะ พวกนายจะเห็นได้ว่ากรงเล็บของพวกมันแต่ละตัวจะมีสีต่างกันออกไป พวกนายก็เรียกชื่อพวกมันตามสีได้เลย”
“ถั่วชมพู รีบลงมา อุ้งเท้าของแกต้องทายานะ!” เมื่อกล่าวเช่นนั้น สวี่หลิงอวิ๋นก็ตะโกนเรียกเอเลี่ยนเกอหลัวตัวเล็กที่นอนอยู่บนขอบหม้อ
ถั่วชมพูโบกอุ้งเท้าของมันอย่างไม่เต็มใจนัก ราวกับใช้อุ้งเท้าของมันเพื่อขับไล่เธอ และไม่ต้องการทายาอะไรทั้งสิ้น
ไม่อยากจากอาหารอันแสนอร่อยไปไหน!
“ลงมา เดี๋ยวฉันเอากุนเชียงให้” สวี่หลิงอวิ๋นถอนหายใจ
กุนเชียงอันแสนอร่อยย่อมวิเศษสำหรับเอเลี่ยนเกอหลัว! แต่ถึงแม้มันจะอร่อยสักเพียงไหน เหล่าทหารทั้งหลายก็ไม่เต็มใจจะกัดกิน!
ช่างเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างอะไรเช่นนี้!
ทันทีที่ถั่วชมพูได้ยินคำว่ากุนเชียง มันก็รีบกระโดดลงมาโดยไม่เถียงอะไรสักคำ และใช้อุ้งเท้าเพียงข้างเดียวประคองกุนเชียงเอาไว้ ขณะซ่อนตัวอยู่ด้านข้างและเพลิดเพลินกับอาหารชั้นเยี่ยมที่หญิงคนรวยผู้นี้มอบให้มัน
ถั่วตัวอื่นรีบเงยหัวของมันขึ้นมาดู และจ้องมองถั่วชมพูกินกุนเชียงด้วยดวงตาสีฟ้าแวววาวสดใส พยายามโน้มน้าวใจสวี่หลิงอวิ๋นให้แบ่งอาหารให้พวกเขาบ้าง
สวี่หลิงอวิ๋นยังคงนิ่งเฉย เอเลี่ยนเกอหลัวรู้สึกไม่ชิน!
เมื่อเห็นว่าความน่ารักของพวกมันใช้ไม่ได้ผล ถั่วตัวอื่นก็กระโดดเข้าไปตะครุบกุนเชียงของถั่วชมพู
ตอนนี้เป็นเวลาดีที่จะต่อสู้เพราะว่าถั่วชมพูกำลังบาดเจ็บอยู่ และในไม่ช้าพวกมันก็กระโดดลงไป และพบเข้ากับโอคาซีที่ยืนอยู่เคียงข้างสวี่หลิงอวิ๋น
พวกถั่วทั้งหลายรู้สึกหวาดกลัวจนเผลอพลัดตกลงไปจากปากหม้อ
ทำไมนักฆ่าคนนี้ยังไม่ไปอีก?! ฮือ ๆๆ!
รุยกับเบนเน็ตรีบเข้าไปทำความเคารพโอคาซีทันทีที่พบเขา หลังจากกล่าวสวัสดี พวกเขาก็เหลือบมองถั่วชมพูที่ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารอยู่บนพื้น
“เจ้าตัวนี้น่ารักจัง” เบนเน็ตผู้มีร่างกายอ้วนท้วน ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา จ้องมองเจ้าตัวน้อยด้วยความรู้สึกประทับใจ จนอยากจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสมัน
ทว่าสวี่หลิงอวิ๋นกลับห้ามเขาเอาไว้
“อย่าเพิ่ง ตอนนี้พวกมันยังไม่ละทิ้งสัญชาตญาณความดุร้าย นายอย่าเพิ่งไปจับมันจะดีกว่า”