ตอนที่ 199 ศึกใหญ่ในสถาบัน 7
ดวงตาของเยลแดงก่ำ และจ้องมองสวี่หลิงอวิ๋นราวกับมองศัตรู
เขาเชื่อมั่นว่าการสูญเสียพละกำลังอย่างกะทันหันจะต้องเป็นเพราะสวี่หลิงอวิ๋น! เป็นเพราะเธอ!
สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองเขาอย่างไม่หวั่นเกรง “บ้าระห่ำอะไรขนาดนี้!”
มือและเท้าของนักเรียนชั้นปีที่สองเหน็บชาจากอาการตกตะลึง ขณะจ้องมองท่าทางของสวี่หลิงอวิ๋นราวกับกำลังมองดูปีศาจร้าย
พวกเขายังคงมองเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเยล คนที่ทำให้ผู้กำลังเลื่อนขั้นสูญเสียพละกำลัง ไม่มีใครอื่นเลย นอกจากสวี่หลิงอวิ๋น
ใครเป็นคนทำให้องค์หญิงสามเพิ่มพลังกับผู้คน? ถ้าเธอสามารถทำให้คนเลื่อนขั้นได้ เธอก็ต้องทำให้คนสูญเสียพละกำลังได้เช่นกัน
“ตอนนี้จะบอกฉันได้หรือยังว่าใครเป็นคนทุบตีคนของฉัน?” สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองเยลที่นั่งอยู่ด้านข้าง และโยนเขาเข้าไปในกลุ่มของนักเรียนชั้นปีที่สองด้วยความรังเกียจ ขณะที่โทนี่รอรับตัวของเขา
นักเรียนชั้นปีที่สองต่างมองหน้ากันและกัน เผยให้เห็นความลังเลบนใบหน้า
ตอนนี้หัวหน้าไม่สามารถปกป้องตนเองได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเขาสูญเสียพละกำลัง เขาก็จะสูญเสียตำแหน่งหัวหน้าด้วยเช่นกัน
ส่วนใครจะกลายเป็นหัวหน้าประจำชั้นปีที่สองก็อีกเรื่องหนึ่ง สายตาของเยลจับจ้องไปที่โทนี่ที่กำลังจับตัวของเขาเอาไว้
โทนี่ไม่ได้จ้องมองมาที่เขา แต่กลับโยนเขาไปทางด้านข้างหลังจากจับตัวของเขาเอาไว้ไม่ได้นาน ราวกับว่าเป็นเพียงเศษขยะเท่านั้น
ใช่แล้ว เขากลายเป็นเศษขยะ เศษขยะที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย
ตัวตนแบบนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่านักเรียนแผนกเกษตรกรรมมากนัก
เขาพยายามเค้นพลังจิตออกมา แต่กลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง เหมือนกับว่าเขาไม่เคยมีพลังนี้มาก่อน!
โทนี่ยืนขึ้น และตะโกนส่งเสียงถึงนักเรียนชั้นปีที่สองที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา “ในเมื่อองค์หญิงสามถามพวกนาย ก็ออกไปตอบซะ! เลิกต่อล้อต่อเถียงสักที!”
ดีมากโทนี่!
สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ
อย่างที่โบราณกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อคนจากไปชาก็เย็นชืด ก่อนที่เยลจะส่งมอบเหรียญตราประจำตำแหน่งหัวหน้า โทนี่ก็โพล่งออกมาเสียก่อน และทำตัวราวกับเป็นหัวหน้าคนต่อไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ทันทีที่คำพูดของโทนี่สิ้นสุดลง นักเรียนชั้นปีที่สองที่กำลังลังเลอยู่ก็เดินแยกตัวออกมาจากจากฝูงชนนับสามสิบกว่าคน
คนที่เดินออกมาอย่างคล่องแคล่วมีเพียงไม่กี่คน ก่อนที่นักเรียนจำนวนสามสิบกว่าคนจะถูกพาตัวออกมาจากห้องสมุด
ท่ามกลางนักเรียนนับสามสิบกว่าคนนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักเรียนชั้นปีที่สอง มีนักเรียนชั้นปีที่สามหลงมานิดหน่อย และอีกสองคนเป็นนักเรียนชั้นปีที่สี่
“เยี่ยมไปเลย!” สวี่หลิงอวิ๋นที่ยืนอยู่ชั้นบนกำลังปรบมือ และจ้องมองนักเรียนนับสามสิบกว่าคนที่เดินออกมาด้วยสายตาเย็นชา “อย่างที่คิดไม่มีผิด นักเรียนชั้นสูงกว่าที่ ‘วางท่าเป็นรุ่นพี่’ บอกฉันที ทำไมพวกนายถึงทำตัวเป็นคนตัวใหญ่รังแกคนตัวเล็ก คนแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอล่ะ?”
นักเรียนจำนวนสามสิบกว่าคนก้มศีรษะลง
เมื่อตกที่นั่งยากลำบากก็ต้องยอมถดถอย ยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงสามก็โหดเหี้ยมเกินไป ตำแหน่งหัวหน้าประจำชั้นปีที่สองล่มสลายในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หากพวกเขากล่าววาจาไร้สาระออกไป จะไม่ถูกทุบตีจนตายเชียวเหรอ?
[ทำไมถึงขี้ขลาดนักล่ะ? ในเมื่อกล้าตีคนอื่น ก็ต้องยอมรับ! ทีตอนนี้มาแกล้งตายเนี่ยนะ?]
[ร้ายกาจชะมัด มีความสามารถซะเปล่า! ยังไงถ้าคนทั่วไปมาเห็น ก็ต้องหวาดกลัวกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?!]
[ในเมื่อกล้าลงมือทำ ก็ควรคิดถึงผลที่จะตามมาด้วยสิ! เฮอะ! พวกเราปีสามรู้สึกขายขี้หน้าชะมัด!]
“ไม่พูดใช่ไหม? ถ้าไม่ยอมพูด พวกนายทุกคนจะต้องทนทุกข์ทีละคน เหมือนกับที่ผู้ติดตามของฉันเจ็บปวด!”
สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชา
นักเรียนสามสิบกว่าคนรู้สึกผวาเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาลงมือทำอะไรไปบ้าง
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งสิบกว่าคนถูกทุบตีจนกระดูกหัก ถูกกดให้สำลักอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน และถูกโยนจากชั้นบนลงมา
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะต้องอยู่ในห้องพยาบาลเป็นเวลากี่วัน แต่พวกเขาก็รู้ว่าอาการบาดเจ็บพวกนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน
“องค์หญิงสาม ถึงพวกเราจะทำอะไรผิดไป แต่บทลงโทษก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ท่านไม่ใช่เหรอครับ? พวกเราต้องการให้หัวหน้าของเราเป็นคนลงโทษ!”
นักเรียนชั้นปีที่สามลุกขึ้นยืนและกล่าวคัดค้าน
นักเรียนคนอื่นแทบอยากจะลุกขึ้นปิดปากเขา นายโง่หรือเปล่า? คิดว่าองค์หญิงสามยังโกรธไม่พอหรือไง? ยังจะพูดเติมเชื้อเพลิงอีกเหรอ?!
แน่นอนว่าสวี่หลิงอวิ๋นเย้ยหยันหลังจากได้ยินคำพูดดังกล่าว โบกสะบัดมือ และกระบองพลังดวงดาวนับร้อยแท่งก็ปรากฏต่อหน้าพวกเขา “ไม่เหรอ? แต่ฉันจะทำ นายจะห้ามฉันได้ยังไง?!”
ใบหน้าของทั้งสามสิบกว่าคนเปลี่ยนไป!
กระบองแท่งนี้ทั้งใหญ่ทั้งหนา ใช้ตีทีหนึ่งคนไม่ตายไปข้างหนึ่งเลยหรือไง?!
ท่ามกลางช่วงเวลาวิกฤต คณบดีพูลแมนและคณะอาจารย์ก็มาถึงที่เกิดเหตุ
“องค์หญิงสาม ท่านกำลังทำอะไร?!” คณบดีพูลแมนรีบเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านหน้านักเรียนจำนวนสามสิบกว่าคน “กระหม่อมรู้ว่านักเรียนปีหนึ่งถูกชกตี แต่ท่านควรใจเย็นสักหน่อย! ใจเย็น ๆ!”
“ใจเย็น?! ฉันใจเย็นมามากแล้ว!” สวี่หลิงอวิ๋นใจเย็นจริง ๆ “ฉันก็แค่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ให้พวกเขาได้ลิ้มลองสิ่งที่พวกเขาทำลงไป”
“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ว่าท่านรู้สึกเสียใจแทนเด็กนักเรียน แต่ที่นี่มีกฎข้อบังคับชัดเจน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าสถาบันของเรามีกฎบังคับว่าห้ามลงโทษตามใจชอบ? หากท่านทำแบบนี้ ท่านจะต้องถูกโทษว่าทำผิดกฎข้อสำคัญของทางสถาบัน และในกรณีร้ายแรง ท่านอาจถูกไล่ออกได้!”
“กฎข้อสำคัญงั้นเหรอ? ไล่ออก?! ฮ่า ๆ!” ราวกับสวี่หลิงอวิ๋นกำลังได้ยินเรื่องตลกครั้งใหญ่ “เอาเถอะ! ฉันกลัวที่ไหน?!”
“กระหม่อมรู้ว่าท่านไม่กลัว แต่ถ้าท่านออกไป นักเรียนปีหนึ่งจะไม่ถูกนักเรียนชั้นปีอื่นตามล้างแค้นเอาเหรอ? ท่านต้องนึกถึงอนาคตของพวกเขาบ้าง!”
คณบดีพูลแมนกล่าวชักชวนอย่างขมขื่น
สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว “ฉันคงลืมคิดถึงผลที่ตามมา”
ก่อนจะจ้องมองกลุ่มนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง “ถ้าฉันถูกไล่ออกจริง ๆ พวกนายยังอยากจะมากับฉันไหม?”
คณบดีพูลแมนคิดว่าเขาได้ยินผิดไป “…”
ชาวเน็ตทั้งหลายก็ตกตะลึงเช่นกัน
[องค์หญิงสามหมายว่ายังไง? เธอจะสร้างสถาบันใหม่งั้นเหรอ? พานักเรียนปีหนึ่งไปด้วยสินะ? เท่สุด ๆ ไปเลย!]
[ไม่ดูความสามารถตัวเองเลย! ถึงองค์หญิงสามจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์ แต่จะสามารถเอานักเรียนปีหนึ่งทั้งหมดออกไปจากสถาบันอันดับหนึ่งของจักรวรรดิได้ยังไง? พวกเขาไม่ต้องมีอนาคตกันหรือไง?]
[ถ้าเป็นฉัน ฉันจะตามองค์หญิงสามออกไป เพราะชั้นปีหนึ่งที่ไม่มีองค์หญิงสามก็เหมือนไม่มีชีวิตชีวา]
[ตามองค์หญิงออกไป แล้วใครจะสอนทักษะการต่อสู้ให้พวกเขา? ใครจะออกวุฒิบัตรให้พวกเขา? แล้วในอนาคตพวกเขาจะทำงานอะไร?]
—
รุยเป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งคนแรกที่ลุกขึ้นยืน ส่วนคนต่อมาคือเบนเน็ต
“ผมจะไปกับท่าน!” รุยทุบหน้าอกของเขาด้วยความภาคภูมิใจ “ผมให้คำมั่นสัญญากับท่านแล้ว ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ผมก็จะตามไปคอบรับใช้ ถ้าท่านจะเป็นแม่ค้า ผมก็จะตามไปขับยานอวกาศคอยส่งสินค้า”
“ผมก็จะไปกับท่านด้วย!” เบนเน็ตผู้อ้วนท้วนแก้มป่องรู้สึกซาบซึ้ง “ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ผมก็คงยังเป็นคนไร้ค่า ท่านเป็นเหมือนกันดวงดาวที่เจิดจรัส ไม่ว่าท่านจะไปไหนผมก็จะไปด้วย”
ฉินหยวนและลุคลุกขึ้นยืน พวกเขารู้สึกชื่นชมสวี่หลิงอวิ๋นจากใจจริง และเต็มใจจะติดตามองค์หญิงสามไปยังสำรวจสถานที่แปลกใหม่
นักเรียนจากแผนกเกษตรกรรมทั้งหมดลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มแห่งความตื่นเต้นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ถึงแม้ว่าวันสุดท้ายจะมาถึง แต่องค์หญิงสามก็ยังสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง