ตอนที่ 227 มุ่งสู่ดาวเคราะห์หทัยกล้วยไม้ 5
หลังจากผสมวิปปิ้งครีมเข้ากับน้ำตาลทรายขาวแล้วจึงใส่ลงไปในถุงบีบครีม สวี่หลิงอวิ๋นเป็นผู้ออกแบบถุงบีบครีมนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ
หลังจากอบเค้กเสร็จ เธอจึงนำครีมทั้งหมดใส่ลงไปในถุงบีบครีมอีกครั้ง และเอาสีผสมอาหารใส่ลงไปในวิปครีม เมื่อผสมสีเสร็จแล้ว จึงเริ่มวาดลวดลาย
คราวนี้เธอไม่ได้ทำขั้นตอนซับซ้อนมากนัก แขนกลที่มีทักษะฝีมือที่สมบูรณ์แบบช่วยเธอตกแต่งหน้าเค้กอย่างสวยงาม…
ด้านบนของเค้กมีแมวยักษ์ผู้สูงส่งสวยสง่านั่งอยู่ ซึ่งดูสมจริงเป็นอย่างมาก
เค้กชิ้นนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงสามเมตร เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ถั่วชมพูเพลิดเพลินกับการกินแล้ว
ถั่วชมพูรู้สึกไม่สบายใจ มันอยากจะใช้อุ้งเท้ากดคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ แต่กลับไม่กล้ากด เพราะเกรงว่าการกระทำของมันจะกดดันหญิงสาวเกินไป
เมี๊ยว…ควรทำอย่างไรดี? ถั่วชมพูรู้สึกเสียใจที่วันนี้มันทำให้หญิงสาวหวาดกลัว ถ้ามันรู้จักเชื่อฟังมากกว่านี้อีกสักหน่อย เรื่องราวคงไม่เป็นแบบนี้
ครั้งหน้าจะต้องใส่ใจมากกว่านี้!
สวี่หลิงอวิ๋นขับเครื่องจักรกลและถือแขนไว้ในมือ จนเกิดเสียงดัง ‘ตึงตึงตึง’ ตามทาง
ใบหูของถั่วชมพูกระดิก ขณะที่จมูกของมันสูดดมกลิ่นหอมหวาน ใช่แล้ว! กลิ่นแบบนี้แหละ!
เอเลี่ยนเกอหลัวตัวอื่นยืนขึ้นทีละตัว พวกมันมองตรงไปข้างหน้าขณะที่น้ำลายไหลออกมา
ถั่วชมพูรีบวิ่งออกไปก่อนเป็นตัวแรก ก่อนที่เอเลี่ยนเกอหลัวที่เหลือจะวิ่งตามไป…
นักวิจัยทั้งหลายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดเห็นเช่นนั้น จึงรีบโยนเครื่องตรวจจับลงไปตรวจสอบใต้พื้นดิน
“ไม่พบความผิดปกติอะไร” นักวิจัยทั้งหลายขมวดคิ้วขณะต้องมองข้อมูลที่ปรากฏขึ้นบนเครื่องตรวจจับ
ใต้พื้นดินเป็นเพียงหินธรรมดา อาจจะมีแร่อยู่บ้าง แต่แร่พวกนี้กลับเป็นแร่ธรรมดาที่ไม่สามารถเสริมสร้างพลังงานให้ต้นอ้อยได้…
หรือบางทีอาจจะเป็นดิน? แต่เมื่อมองดูเวลา เอเลี่ยนเกอหลัวพวกนั้นอาจจะกำลังกลับมา รีบเก็บดินไปก่อนเถอะ!
นักวิจัยทั้งหลายดำเนินการอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจากไปพวกเขาหยิบดินจำนวนหนึ่งและน้ำบางส่วนขึ้นมา
“ทำไมน้ำที่นี่ถึงได้เหนอะหนะนัก?” นักวิจัยขมวดคิ้ว แต่กลับเก็บมันใส่เข้าไปในถุงและจากไป
เจ้าถั่วชมพูมีความสุขมาก พวกมันแทบจะกระโดดโลดเต้นเมื่อเห็นเค้กก้อนมหึมา อันที่จริงมันกระโดดขึ้นสูงถึงสามฟุตและขึ้นไปยังหัวไหล่เครื่องจักรกลสีชมพูของสวี่หลิงอวิ๋น
และใช้หางปุยปัดแก้มของเธออย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “เมี๊ยว…ถั่วชมพูมีความสุขจัง…เมี๊ยว…”
สวี่หลิงอวิ๋นวางเค้กลงก่อนจะเดินออกจากเครื่องจักรกล และสัมผัสขนที่นุ่มนิ่มของมัน “ดูซิว่าแกอ้วนแค่ไหน! ไม่ออกกำลังกายบ้างเลยหรือไง?!”
ถั่วชมพูสะบัดหางปุยของมัน มันไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหรอก! เพราะมันอยากกินและนอนเท่านั้น!
อ้วนแล้วไง! อ้วนแปลว่ามันสุขภาพดีต่างหาก!
ถั่วชมพูไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย แต่กลับภูมิใจมากกว่า
นักวิจัยที่นำดินกลับมาตรวจสอบพบว่าไม่มีความผิดปกติอะไร ที่ผิดปกติคือคุณภาพของน้ำ!
สสารแปลกประหลาดบางอย่างผสมอยู่ในน้ำ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่พลังงาน แต่เมื่อสิ่งแปลกปลอมนี้ทำปฏิกิริยากับการดูดซึมของต้นอ้อย สสารบางอย่างในต้นอ้อยก็แปรสภาพเป็นพลังงาน
“เป็นปฏิกิริยาที่แปลกเหลือเกิน!” นักวิจัยอุทาน
“น้ำที่นี่เป็นยังไงกันแน่?”
“แล้วสารปนเปื้อนในน้ำมาจากไหน?” นักวิจัยไม่สามารถเข้าใจได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงเริ่มการค้นหาในวงกว้างเท่านั้น
ภายในโรงงานแปรรูปตั๊กแตน แขนกลทั้งหลายยังคงของเหลวจากข้อต่อขาของตั๊กแตนลงไปในถังขนาดใหญ่ และเมื่อบรรจุของเหลวจนเต็มถัง รถเหาะที่ถูกออกแบบมาอย่างเฉพาะด้านจะมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่เป็นขุดนำทิ้ง
นักวิจัยทั้งหลายตรวจสอบข้อมูลมาเป็นเวลานาน และพวกเขาได้ค้นหาแหล่งต้นน้ำของที่นี่ ทว่าแหล่งต้นน้ำกลับไม่มีอะไรผิดปกติ
การปนเปื้อนโดยบังเอิญสามารถเกิดขึ้นได้กับกระบวนการไหลเวียนน้ำเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นที่ปล่อยน้ำเสียใช่ไหม?” นักวิจัยทั้งหลายมองดูรถเหาะที่กำลังเทถังบรรจุของเหลวลงสู่ลำธารที่ใกล้เคียง จากนั้นพวกเขาจึงขึ้นไปตรวจสอบ
คนขับรถเหาะส่งยิ้มและกล่าวทักทายเมื่อเห็นนักวิจัย “สวัสดีครับทุกท่าน มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”
“ไม่มีครับ ว่าแต่พวกคุณเทอะไรลงไปในแม่น้ำนี้งั้นเหรอ?” นักวิจัยเชื่อว่าของเหลวนี้ไม่น่าจะกลายเป็นสิ่งปนเปื้อน
ความจริงแล้ว หลังจากห้วงดวงดาวถูกพัฒนามาหลายปี ที่แห่งนี้ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามลพิษอีกต่อไป…
ของเสียและน้ำเน่าทุกชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อธรรมชาติจะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสารที่ปล่อยออกมาจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
“อ๋อ นี่เป็นของเหลวจากต้นขาของตั๊กแตนครับ” คนขับรถเหาะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม และหยิบเนื้อไก่กระป๋องที่ทำจากเนื้อต้นขาของเอเลี่ยนตั๊กแตนขึ้นมา “อยากลองชิมดูไหมครับ ถึงจะไม่เผ็ดเท่าเอเลี่ยนปลาหมึก แต่ก็อร่อยมากเหมือนกัน!”
นักวิจัยทั้งหลายรับมาแต่โดยดี พวกเขาทำงานกันเหนื่อยมาอย่างยาวนาน จึงต้องการกินบางอย่างเพื่อกลับไปทำงานต่อ
หลังจากพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็เดินจากมา
“เอาของเหลวของตั๊กแตนไปตรวจสอบดีไหม?” ผู้คนที่ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นจากอาหารกระป๋องได้กล่าวขึ้น
เนื้อส่วนน่องขาของตั๊กแตนเป็นที่โปรดปรานของทุกคนบนโต๊ะอาหาร รวมถึงนักวิจัยทั้งหลายก็กินมันเช่นกัน
พอได้กินแบบนี้ รสชาติก็อร่อยไปอีกแบบ
“ถ้าอยากเอาไปตรวจสอบก็ได้แหละ” ทว่าพวกเขาไม่เคยค้นหาอะไรเจอเลย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักครั้ง
หลังจากค้นหาตลอดช่วงบ่ายจนถึงค่ำก็ยังไม่มีใครค้นพบแหล่งที่มาของสิ่งลึกลับดังกล่าว
“น่ารำคาญชะมัด!!!” นักวิจัยเกาหัวจนหัวแทบจะโล้น และกรีดร้องออกมา
นักวิจัยทั้งหลายต่างตกตะลึง
นี่คือเสน่ห์ของการวิจัย การระบุถึงปัญหา ค้นหาแหล่งที่มาของสาเหตุ และแก้ไขปัญหาในคราวเดียว
มันเป็นเหมือนกับการไขคดีที่ต้องใช้สมองอย่างหนัก
สวี่หลิงอวิ๋นอารมณ์ดีขึ้นหลังจากเล่นกับเจ้าถั่วชมพูในช่วงบ่ายอีกวันหนึ่ง ทว่าโอคาซีกลับถูกกองทัพทหารเรียกตัวอีกครั้ง เมื่อครั้นที่เขากลับมาถึง ก็พบว่าแฟนสาวไม่ได้หันมามองเขาแม้แต่นิดเดียว เอาแต่สนใจอสุรกายขนยาว และสัมผัสขนของมันด้วยสายตาเปล่งประกาย
เธอหยิบหวี ยางรัดผม และสิ่งของที่ชอบมาแต่งตัวอสุรกายขนยาวตัวนี้ ยุ่งยากอยู่กับมันทั้งวัน
และปล่อยให้ท่านพลเอกผู้ยิ่งใหญ่อิจฉาตาร้อน!
ระหว่างนั้น สวี่หลิงอวิ๋นส่งยิ้มให้โอคาซีที่ทำหน้าบูดบึ้ง
และในกลางดึก สวี่หลิงอวิ๋นแอบมาเคาะประตูห้องของโอคาซี
ขณะที่พลเอกกำลังจ้องมองตนเองอยู่ในกระจก
เขาได้แต่สงสัยว่าตัวเองเป็นคนขี้เหร่หรือเปล่า? เสน่ห์ของเขาลดลงหรือไม่? ทำไมสวี่หลิงอวิ๋นถึงไม่มองมาที่เขาบ้าง?!
เมื่อจ้องมองตนเองในกระจก อืม…ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมานักนิ?
เหตุผลที่เขารู้สึกสงสัย นั่นเป็นเพราะเขาไม่ค่อยส่องกระจก
โอคาซีเดินไปเปิดประตูหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตู และสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ก็พุ่งเข้ามาหาจนเขาแทบล้มลงกับพื้น!
“ฮิฮิ! ที่รักขา ฉันมาหาแล้ว!” ผมยุ่งเหยิงของสวี่หลิงอวิ๋นถูเข้ากับใบหน้าของโอคาซี จนรู้สึกจั๊กจี้
จั๊กจี้ไปถึงหัวใจ
โอคาซีโอบกอดอีกฝ่าย และใช้เท้ายันปิดประตู ก่อนจะพาหญิงสาวในอ้อมแขนไปนั่งลงบนเก้าอี้
“ทำไมท่านไม่ไปเล่นกับเจ้าถั่วชมพูนั่นล่ะ?”