ตอนที่ 273 มหาสงคราม 5
ตอนที่ 273 มหาสงคราม 5
“หยุดเถียงกันสักที!” สวี่เทียนอวี๋รู้สึกเวียนศีรษะเมื่อจ้องมองการประชุมที่ยุ่งเหยิง
“ทำอะไรกัน! ดูสิว่าพวกเจ้าแต่ละคนยังเป็นนายพลอาวุโสกันอยู่หรือเปล่า?! วุ่นวายกันเสียจริง ที่นี่ไม่ใช่ตลาดสดสักหน่อย!”
นายพลทั้งหลายปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง ขณะที่ยังจ้องมององค์หญิงสามด้วยสายตากระตือรือร้น
สวี่เทียนอวี๋จ้องมองลูกสาว “ลูกอยากจะไปที่สนามรบใช่ไหม?”
“แน่นอนเพคะ!” สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า “จะให้พวกทหารไปสู้รบอยู่แนวหน้าเพื่อลูก ในขณะที่ลูกหลบซ่อนตัวอย่างมีความสุขได้ยังไงเพคะ?”
“ในเมื่อพวกนั้นกล้าเข้ามา ลูกก็ทำให้คนพวกนั้นรู้ว่าการนองเลือดมันเป็นยังไง!”
“เยี่ยม!” จอมพลก็อดวินริเริ่มเป็นผู้นำในการปรบมือ “สมกับเป็นสายเลือดของราชวงศ์! องค์หญิงสามพูดได้ดีมาก! ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่ เหล่ากองทัพทหารของเราก็เต็มใจจะเข้าร่วมสนามรบด้วยความยินดี และพร้อมจะเสียเลือดสละชีพเพื่อท่าน!”
คนอื่นที่เหลือรีบทำตามและปรบมืออย่างว่องไว
สวี่เทียนอวี๋ทำอะไรไม่ถูก “ตกลง พ่อจะจัดกองทัพให้ลูก แต่ลูกต้องสัญญากับพ่อก่อนว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย!”
“ไม่ต้องกังวลเพคะ!” สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า และวางสาย
สวี่เทียนอวี๋วางสายลง และจ้องมองนายพลทั้งหลายในห้องประชุมด้วยความหงุดหงิด เจ้าคนสารเลวพวกนี้เต็มใจจะปล่อยให้ลูกสาวผู้แสนบอบบางของเราเข้าร่วมสนามรบได้อย่างไร?
นายพลทั้งหลายก้มหน้าอย่างละอายใจ องค์หญิงสามมีพรสวรรค์ในการต่อสู้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องสู้รบ เธอไม่เคยหวาดหวั่น ดังนั้นพวกเขาควรจะสนับสนุนองค์หญิงสามในอนาคต!
ถูกต้อง ตำแหน่งขององค์หญิงสามสำหรับนายพลทั้งหลายไม่ใช่องค์หญิงสามผู้แสนธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นถึงว่าที่องค์รัชทายาทที่ได้จะขึ้นครองบัลลังก์
ถึงแม้องค์ชายใหญ่จะมีความสามารถในการต่อสู้ที่เก่งกาจ แต่ดั่งที่จักรพรรดินีกล่าวไว้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไร้หัวใจ เขาอาจจะเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี แต่ในทางการเมือง ชายผู้นี้ยังคงเป็นมือใหม่ที่ถูกเกลี้ยกล่อมให้ทรยศได้ง่ายและช่วยเหลือผู้คนเพราะเงินเท่านั้น!
สำหรับองค์ชายรอง
หากไม่มีเรื่องดังกล่าว องค์ชายรองถือว่าเป็นทายาทที่เหมาะสมที่สุดในการขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิคนต่อไป อย่างน้อยชายผู้นี้ก็มีหัวใจแต่กลับยังเยอะเกินไป อีกทั้งยังเสแสร้งเก่ง
และตอนนี้ก็ได้กลายเป็นคนทรยศ! ด้วยเหตุนี้จะไม่หลงเหลือคุณสมบัติให้สืบทอดบัลลังก์อย่างแน่นอน!
ดังนั้นภาพลักษณ์ขององค์หญิงสามที่มีต่อผู้บังคับบัญชาทั้งหลายจึงได้เปรียบอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องพละกำลังไม่ต้องสงสัยเลย! และความว่องไวของสติปัญญาก็ไร้ที่ติ!
มีหัวเป็นนักธุรกิจ หึหึ ทุกครัวเรือนแทบจะกลายเป็นผู้ร่ำรวยในจักรวรรดิชิงเหย้า แล้วแบบนี้จะไม่น่าทึ่งได้อย่างไร?!
ส่วนเรื่องการเมืองน่ะเหรอ? สำหรับเรื่องการเมืองอาศัยบุคลิกภาพที่ไม่เข้มงวดเกินไปขององค์หญิงสามแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?!
ณ จักรวรรดิปีกพิสุทธ์ในเวลานี้
สวี่รุ่ยอวิ๋นพยายามหลบหนีจากการไล่ล่า มีเพียงหัวใจของเขาที่เย็นลงเรื่อย ๆ พ่อของเขากำลังไล่ตามฆ่า! ไม่สนใจไยดีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกบ้างเลยหรือไง?
ในเมื่อทำกันแบบนี้ก็ต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน!
จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์สังเกตเห็นบางอย่าง และในไม่ช้าก็พบเข้ากับอดีตองค์ชายรองผู้ขายขี้หน้าแห่งจักรวรรดิชิงเหย้า แล้วจึงพาตัวเขาไป
สวี่รุ่ยอวิ๋นจึงได้พบกับสเปนเซอร์
จักรพรรดิแห่งปีกพิสุทธิ์จ้องมององค์ชายหนุ่มผู้โง่เขลาด้วยสายตาดูถูก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ เฮอะ! เจ้าเด็กอกตัญญู! หากเด็กตรงหน้าเป็นลูกชายของเขา เขาคงจะลงมือฆ่าเองด้วยน้ำมือตัวเองอย่างแน่นอน!
ทว่านี่คือคนทรยศแห่งจักรวรรดิชิงเหย้า และค่อนข้างเป็นที่น่าสนใจสำหรับจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์
“ว่าไงองค์ชายรอง ไม่เจอกันนานเลยนะ” สเปนเซอร์จ้องมอง เดินเข้าไปหาเขาและช่วยให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ “ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันในสถานการณ์แบบนี้”
“ถวายความเคารพพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสเปนเซอร์” หัวใจของสวี่รุ่ยอวิ๋นอบอุ่นขึ้น จักรพรรดิมีท่าทางใจดีเป็นอย่างมาก ทว่ากลับสามารถเข้าใจได้ว่านั่นอาจเป็นเพราะเขามีระบบผังเมืองที่ควรค่าแก่การรับการปฏิบัติของอีกฝ่าย
“เฮ้อ พ่อของเจ้าจริงจังเกินไปแล้ว! ลูกสาวสำคัญ แล้วลูกชายไม่สำคัญหรือยังไง? นอกจากนี้เจ้าเองก็นึกถึงน้องสาวเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? ถึงเรื่องนี้จะยังไม่เรียบร้อยดี แต่ก็ไม่ควรขับไล่เจ้าออกมาหรือเปล่า!?”
สเปนเซอร์ทำให้เขารู้สึกมั่นใจโดยการประณามสวี่เทียนอวี๋อย่างขุ่นเคือง และขณะเดียวกันก็ลูบไหล่ของสวี่รุ่ยอวิ๋นไปด้วย “อาเห็นเจ้ามาตั้งแต่ยังน้อย เอาแต่เรียกเราว่าท่านอาอยู่ทุกวัน ตอนนี้เจ้าอยู่ในอาณาเขตของอาแล้ว เพราะงั้นพักผ่อนให้ใจเย็นลงเสียก่อน!”
“ลูกสาวของอาก็อายุเท่ากับเจ้านี่ล่ะ ให้เธอมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วกัน!”
สวี่รุ่ยอวิ๋นพยักหน้าและถอนหายใจ การที่อีกฝ่ายไม่ได้ถามเขาเกี่ยวกับระบบป้องกันผังเมืองนั้นทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย เขาก็คงไม่คิดจะหยิบไพ่ไม้ตายออกมา
เมื่อไหร่ก็ตามที่เอามันออกมา คุณค่าของตัวเขาจะลดลง และใครจะรู้ว่าเขาอาจจะต้องตายด้วยน้ำมือของคนอื่นหรือกลายเป็นหุ่นเชิด
สวี่รุ่ยอวิ๋นไม่ได้โง่ แต่เขากลับฉลาดกว่าที่คิด!
หญิงสาวแสนสวยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น องค์หญิงผู้นี้เป็นบุตรธิดาเพียงคนเดียวของสเปนเซอร์ และเป็นไข่มุกเม็ดงามแห่งจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์
“เหมยหมี่ นี่คือองค์ชายรองแห่งจักรวรรดิชิงเหย้า ช่วงนี้ลูกอยู่เป็นเพื่อนเขาหน่อยเถอะ!” สเปนเซอร์จ้องมองลูกสาวด้วยดวงที่เปล่งประกายด้วยความรัก และลูบศีรษะของเธอ
เหมยหมี่เป็นหญิงสาวที่ดูบอบบางยิ่งนัก เธอมีผิวขาวนวลสว่างและผอมบาง การเคลื่อนไหวของเธอนุ่มนวลราวกับต้นหลิวพลิ้วตามลม ดูน่ารักเป็นอย่างมาก
ดวงตาของสวี่รุ่ยอวิ๋นเบิกกว้าง! นี่คือผู้หญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ!
หากเขาได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิง บางทีจักรพรรดิสเปนเซอร์อาจจะช่วยให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ที่จักรวรรดิชิงเหย้าเพื่อเห็นแก่ลูกสาว!
“เพคะ เสด็จพ่อ” เหมยหมี่โค้งคำนับผู้เป็นพ่อขณะที่มือข้างหนึ่งยกประโปรงขึ้น เธอจ้องมองสวี่รุ่ยอวิ๋นด้วยดวงตาที่สดใสและอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเขินอาย “สวัสดีค่ะ องค์ชายรอง”
“ถวายความเคารพพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเหมยหมี่”
หัวใจของสวี่รุ่ยอวิ๋นเต้นระรัว และขอตัวออกไปหลังจากการแนะนำเสร็จสิ้น
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงปรากฏกายขึ้นที่ด้านข้างของสเปนเซอร์ “ฝ่าบาท ให้สวี่รุ่ยอวิ๋นอยู่เป็นเพื่อนกับองค์หญิง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
“แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นได้?” สเปนเซอร์เย้ยหยัน “เขาจะกล้าทำอะไรกับเหมยหมี่ เรามองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่กล้าทำอะไรหรอก!”
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงยังคงรู้สึกกังวลเล็กน้อย สุขภาพขององค์หญิงเหมยหมี่ไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าเกิด…
“ไม่ต้องห่วง เจ้าควรเชื่อใจเหมยหมี่” ไม่ใช่ว่าสเปนเซอร์ประเมินค่าลูกสาวของตนเองสูงเกินไป แต่เป็นความจริงที่ว่าลูกสาวของเขาฉลาดพอตัว
หากเหมยหมี่เป็นผู้ชาย เขาคงจะมอบบัลลังก์ให้ลูกสาวอย่างแน่นอน ไม่ใช่องค์ชายคนอื่น
“ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวในแนวหน้าบ้างไหม?” สเปนเซอร์เอ่ยถามผู้บังคับบัญชาระดับสูง
“ตอนนี้จักรวรรดิชิงเหย้าได้เพิ่มกองทัพทหารมายังแนวหน้า และผู้บังคับบัญชาที่เป็นหัวหน้าหน่วยคือพลเอกโอคาซีพ่ะย่ะค่ะ” ผู้บังคับบัญชาระดับสูงกล่าว
“โอคาซี? พ่อหนุ่มรูปหล่อนั่นน่ะเหรอ?” ถึงสเปนเซอร์จะไม่ได้ดูถูกใคร แต่เขาก็ไม่เคยพูดเกินจริง “ไอดอลของเหมยหมี่เหรอ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“คนหนุ่มสาวก้าวร้าวขึ้นเรื่อย ๆ สินะ” สเปนเซอร์ยิ้มเล็กน้อย “บอกนายพลทั้งหลายว่าถ้าไม่มีอะไรทำก็ไป ‘เรียนรู้กันและกัน’ กับนายพลคนนี้ซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“แล้วสวี่หลิงอวิ๋น องค์หญิงสามล่ะ?” สเปนเซอร์เอ่ยถามขณะนึกถึงองค์หญิงแห่งจักรวรรดิชิงเหย้า