ตอนที่ 296 การล้างแค้นของมหาสงคราม 3
ตอนที่ 296 การล้างแค้นของมหาสงคราม 3
“ออกไปซะ” มาการ์ไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง
ผู้ช่วยคนอื่นถึงกับหัวเราะเยาะ บางคนขมวดคิ้ว และบางคนแสดงท่าทีวิตกกังวล
“ท่านพลเอก ว่ากันว่าองค์ชายรัชทายาทแลนเซล็อตได้เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย” ผู้ช่วยคนหนึ่งพูดขึ้น “นอกจากนี้ผมยังได้ยินมาว่าองค์ชายแลนเซล็อตมีประสบการณ์ด้านการต่อสู้อยู่มาก”
“มากเหรอ?” มาการ์หัวเราะเยาะเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เขาอาจจะมีประสบการณ์มากในการต่อสู้กับเอเลี่ยน และถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับ 9 ดาว แต่เขายังอ่อนหัดนักถ้าต้องนำกองทัพออกไปทำสงคราม”
“การนำกองทัพมาออกมาทำสงครามแตกต่างกับการออกไปต่อสู้กับเอเลี่ยน การต่อสู้กับเอเลี่ยนไม่จำเป็นต้องใช้สมอง ใช้แค่ความแข็งแกร่งก็พอ แต่การทำสงครามจำเป็นต้องใช้สมอง!” มาการ์พูดด้วยถ้อยคำดูถูก “สมองเป็นสิ่งจำเป็น”
“และฉันไม่เชื่อหรอกว่าองค์ชายจะมีรอยหยักอยู่ในสมอง”
ผู้ช่วยมองดูท่าทางที่ดูถูกเย้ยหยันของพลเอกมาการ์ และกลืนคำพูดที่ต้องการเกลี้ยกล่อมลงไปในลำคอเงียบ ๆ
ถึงผู้ช่วยทั้งหลายมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับ 8 ดาว มากไปด้วยประสบการณ์ด้านการต่อสู้ และมีกลอุบายที่หลากหลาย แต่ผู้บังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยมและมีความสามารถคนนี้กลับมักจะมีปัญหาอยู่เสมอ เช่น การเอาแต่ใจตนเองจนไม่ยอมรับฟังความเห็นของคนอื่น
ผู้ช่วยเหล่านี้จึงเป็นเพียงไม้ประดับที่ไม่มีอำนาจใด ๆ พวกเขาได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่งของพลเอกมาการ์
อันที่จริงผู้ช่วยทั้งหลายค่อนข้างรู้สึกวิตกกังวล เพราะว่าองค์หญิงสามไม่ใช่คนธรรมดา เธอสามารถทำลายล้างการโจมตีได้ถึงสองครั้ง!
นี่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ?
“เอาล่ะ ทุกคนไปเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับสงครามซะ” มาการ์ออกคำสั่ง “ก่อนอื่นจะต้องรับประกันเกราะป้องกันก่อน ทหารถึงจะออกไปต่อสู้ได้”
ผู้ช่วยทั้งหลายพยักหน้า
“ฉันคิดว่าพวกเขาจะใจร้อนและรีบพุ่งเป้าไปที่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง” มาการ์ยิ้มเบา ๆ “เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกนั้นโจมตีดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์อีกสองดวงจะถูกปิดล้อมทันที”
“และถึงพวกเขาจะแยกกันโจมตีดาวเคราะห์แต่ละดวงก็ไม่เป็นไร พวกเราแค่เฝ้าระวังสงครามให้ดี และรอจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง จากนั้นเราจะปิดล้อมพวกเขาทันที”
“ด้วยการโจมตีปิดล้อมแบบขนาบข้าง ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะโดดเด่นแค่ไหนก็จะต้องล้มลงอยู่ดี”
มาการ์พูด “ที่นี่ พวกนายช่วยบอกฉันทีว่าถ้าเราจับตัวองค์ชายและองค์หญิงทั้งสามคนในสงครามครั้งนี้มาได้ จักรวรรดิทั้งสามจะยอมจำนนต่อเราหรือไม่?”
หัวใจของมาการ์วูบวาบทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ หากเป็นเช่นนั้น เขาจะกลายเป็นทหารอัจฉริยะผู้โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ และจะได้รับเหรียญเกียรติยศอันสูงส่ง
หากเขาได้รับเหรียญเกียรติยศนี้แล้ว บางทีเขาอาจจะสามารถแต่งงานกับองค์หญิงหรือลูกสาวของขุนนางชนชั้นสูงได้ด้วยความสามารถของเขาเอง
มาการ์นึกถึงองค์หญิงเหมยหมี่ ไข่มุกแห่งจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์
องค์หญิงทั้งงดงามและอ่อนโยน อีกทั้งยังเป็นภรรยาในอุดมคติของเขา
แต่เมื่อพิจารณาดูตอนนี้เขาก็อายุสามสิบปีแล้ว ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะฉลาดรอบคอบ แต่ก็คงจะไม่อนุญาตให้องค์หญิงแต่งงานมาเป็นภรรยาของเขาแน่นอน
น่าเสียดายเหลือเกิน
ช่างเถอะ ว่ากันว่าลูกสาวคนโตที่อายุราว ๆ ยี่สิบสามหรือยี่สิบสี่ปีของตระกูลออร์จะไม่แต่งงาน อีกทั้งเธอยังเป็นคนสวย บางทีเขาอาจจะร้องขอให้ฝ่าบาทช่วยจัดงานแต่งให้
ผู้ช่วยทั้งหลายส่ายหัวขณะจ้องมองมาการ์ที่กำลังคิดเพ้อเจ้อ ไม่รู้ว่าผู้บังคับบัญชากำลังวาดฝันอะไรอยู่ในหัว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้พวกเขารู้สึกทนดูไม่ไหวอีกต่อไป
“มายืนทำซากอะไรกันตรงนี้ ยังไม่รีบไปอีก?” ทันทีที่มาการ์ได้สติคืนมา และเห็นว่าผู้ช่วยทั้งหลายยืนอยู่ด้านหน้าตัวเอง เขาก็ขมวดคิ้วและโบกมือไล่ผู้ช่วยออกไปอย่างไร้ความอดทน
“อา แล้วพวกเชลยจากจักรวรรดิชิงเหย้าล่ะ?” มาการ์พูดถึงเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิชิงเหย้าที่เดิมทีประจำการอยู่ที่นี่
“พวกเขายังอยู่ในห้องลับกันครับท่านผู้บัญชาการ ท่านต้องการพบพวกเขาไหมครับ?”
“ไม่เป็นไร แต่ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่หนีไปได้ก็พอ” มาการ์พูด
ผู้ช่วยทั้งหลายถอยออกไปเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่ามาการ์ไม่ได้มอบหมายคำสั่งอื่น
ขณะนี้เหลือเวลาน้อยกว่าสิบนาทีกว่าสวี่หลิงอวิ๋นจะมาถึงดาวเคราะห์ทั้งสามดวงนี้
“เอาล่ะ ที่รักทั้งหลาย เรามาเริ่มปาร์ตี้กันเถอะ” สวี่หลิงอวิ๋นยิ้มและหันไปพูดกับพวกผู้ช่วยทั้งหลายของเธอ
มือข้างหนึ่งของสวี่หลิงอวิ๋นถืออุปกรณ์สนทนา ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารกับทหารทุกคนได้
“ทหารทั้งหลายได้ยินที่ฉันพูดไหม? ถ้าได้ยิน ไม่ต้องพูดอะไร แต่ถ้าไม่ได้ยินให้ตอบว่าเยี่ยม ๆๆ”
ช่องตอบรับเงียบสนิท
“ดีมาก ดูเหมือนว่าทุกคนจะได้ยินฉัน” สวี่หลิงอวิ๋นหัวเราะ และพูดต่อ “เอาล่ะ ฉันแค่ล้อเล่น ถ้าได้ยินเสียงฉันให้ตอบกลับว่าลิ่วลิ่วลิ่ว*[1]”
ทันทีที่เสียงของสวี่หลิงอวิ๋นสิ้นสุดลง เธอก็ได้ยินทหารตอบกลับมาอย่างงุ่มง่ามว่าลิ่วลิ่วลิ่ว
อันที่จริงเหล่าทหารยังคงสงสัยว่าสงครามยังไม่ทันเริ่มสู้ แต่ทำไมถึงบอกให้พวกเขาพูดว่า ‘ลิ่วลิ่วลิ่ว*[2]’ มันคือการบอกให้พวกเขาหนีหากสู้ไม่ได้หรือไม่?
สวี่หลิงอวิ๋นที่ไม่รู้ถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าทหาร ยังคงพูดต่อ “สำหรับสงครามในครั้งนี้ ฉันมีกฎแค่สองข้อเท่านั้น”
“กฎข้อแรกคือปลดปล่อยอาวุธให้เต็มที่ อย่ากักลูกกระสุน เรามีลูกกระสุนเพียงพอ”
“กฎข้อสอง หากใครก็ตามไม่สามารถบุกทะลวงเข้าไปได้ ให้ถอยกลับมาหาฉัน” สวี่หลิงอวิ๋นพูด “โดยเฉพาะกฎข้อที่สอง ขอให้ทุกคนจำให้ขึ้นใจ แน่นอนว่าชัยชนะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ชีวิตของทุกคนก็สำคัญที่สุด”
“ไม่ว่าผู้คนจะอยู่ที่ไหน ความแข็งแกร่งจะอยู่ที่นั่น”
“ไม่ต้องเอาศักดิ์ศรีจอมปลอมกลับมาให้ฉัน ศักดิ์ศรีจะมีประโยชน์อะไร? ศักดิ์ศรีแลกกับชีวิตได้ไหม?” สวี่หลิงอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เพราะงั้นการวิ่งหนีเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในสงครามเช่นกัน”
เหล่าทหารพยักหน้าเงียบ ๆ คำพูดดังกล่าวทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ถึงแม้ว่าสิ่งที่องค์หญิงสามพูดจะแตกต่างจากทฤษฎีที่พวกเขาเรียนมาในสถาบัน แต่พวกเขากลับสามารถรับรู้ได้ว่าองค์หญิงสามดีต่อพวกเขามาก และทำให้พวกเขารู้ว่าชีวิตของพวกเขาสำคัญ
ช่างเป็นพรวิเศษนักที่พวกเขาได้มาร่วมรบกับผู้บังคับบัญชาเช่นนี้
“โอเค ใกล้จะถึงสนามรบแล้ว ฉันเดาว่าพวกเขาคงจะเปิดเกราะป้องกันเหมือนกับเรา ไม่สำคัญว่าก่อนหน้านี้พวกเขาโจมตีเรายังไง เอาเป็นว่าเราจะไปเอาคืนให้สาสม” สวี่หลิงอวิ๋นยิ้ม และพูดต่อ “พวกนั้นมีผังป้องกันเมือง แต่ว่าเราไม่มีใช่ไหม? ก่อนหน้านี้พวกนั้นโจมตีจุดอ่อนของเรา เพราะงั้นครั้งนี้เราจะโจมตีตรงจุดนั้นเหมือนกัน”
“ฉันไม่คิดว่าเกราะป้องกันพลังงานที่ผ่านการโจมตีอย่างรุนแรงจะสามารถต้านทานการต่อสู้ของเราได้”
ผู้ช่วยทั้งหลายพยักหน้า ขณะที่สงครามใกล้เข้ามา สิ่งต่อไปคือการแสดงศักยภาพของพวกเขา
ทหารทั้งหลายเตรียมความพร้อม สวมใส่ชุดเกราะขณะนั่งอยู่บนเครื่องบินรบ และนับถอยหลังเบา ๆ “สิบ เก้า แปด เจ็ด…สาม สอง หนึ่ง ไป!”
เกราะป้องกันพลังงานถูกเปิดใช้งานตามที่สวี่หลิงอวิ๋นคาดการณ์ไว้
เกราะป้องกันพลังงานบางเบากั้นกลางระหว่างสองฝั่งที่กำลังทำสงครามอย่างดุเดือด
“พวกจักรวรรดิชิงเหย้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? กระสุนนี้ต้องใช้เงินซื้อไม่ใช่เหรอ?” ผู้ช่วยจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ด่าทอ “ฉันว่าแล้ว พวกนั้นต้องยึดอาวุธของเนี่ยหานกับเฮ้าส์เดลมาแน่ ๆ!”
[1] คำว่าลิ่วที่องค์หญิงสามสื่อ คือคำพ้องเสียงที่มาจากคำว่าเยี่ยมยอด
[2] แต่คำว่าลิ่วที่เหล่าทหารเข้าใจ คือคำพ้องเสียงที่มาจากคำว่าหนีไป