ตอนที่ 298 การล้างแค้นของมหาสงคราม 5
ตอนที่ 298 การล้างแค้นของมหาสงคราม 5
“คุณหมายความว่ายังไง? คุณกำลังตั้งคำถามกับการตัดสินใจของผมอยู่หรือไง?” หลี่จื้อผิงจ้องมองมาที่มาการ์ด้วยสายตาเย็นชา พูดกันตามตรงเขาไม่รู้สึกไม่ปลื้มพลเอกคนใหม่นี้มากนัก
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น! จอมพลหลี่กำลังเข้าใจผิด ผมก็แค่กังวลเท่านั้น” มาการ์อธิบาย “ตอนนี้พวกเรากำลังขาดกระสุน และเริ่มจะรับมือไม่ไหวแล้ว ท่านจอมพลพอจะมีวิธีไหมครับ หรือช่วยเร่งความเร็วหน่อยได้ไหมครับ?”
“ขอโทษนะ ไม่ได้หรอก” หลี่จื้อผิงตอบกลับอย่างเกียจคร้าน “ฉันไม่อยากจะสอนนายนักหรอกนะพ่อพลเอกหนุ่ม! แต่พวกนายไม่สนใจคลังกระสุนกับเสบียงอาหารเลย นายไม่ได้ตรวจสอบเสบียงอาหารก่อนจะเริ่มทำสงครามด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้จะเอาชีวิตรอดจากสงครามได้ยังไง?”
“และถ้าสงครามในครั้งนี้แพ้ขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะบอกว่ามันเป็นเพราะนาย และไม่เกี่ยวอะไรกับฉันทั้งนั้น!”
มาการ์รู้สึกโกรธจัดขึ้นจนไม่สามารถแม้แต่จะระงับความโกรธของตนเองได้ ก่อนจะก่นด่าออกมา “แกจงใจใช่ไหมไอ้แก่? ระวังไว้เถอะ ฉันจะรายงานเรื่องนี้กับท่านจักรพรรดิ”
“รายงาน? งั้นนายก็รายงานเลยสิ! ลูกกระสุนมีไม่พอ เพราะนายที่เป็นพลเอกไม่คิดคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? อีกอย่างฉันก็เร่งความเร็วสุดกำลังที่มีแล้ว” หลี่จื้อผิงพูดและยิ้มเยาะ
“เอาล่ะไอ้หนู ฉันไม่สนใจหรอกนะว่านี่เป็นการทำผิดพลาดครั้งแรกของนายหรือเปล่า แต่อย่ามาหาว่าฉันหยาบคายใส่ทั้งที่นายทำตัวน่าหงุดหงิดแบบนี้แล้วกัน”
สายสนทนาถูกตัดจบ
มาการ์ทุบโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าด้วยความโกรธจัด แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้
“ไอ้สารเลว ไอ้แก่บ้าน้ำลาย” มาการ์รู้สึกโกรธจัดที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องดังกล่าวได้
“ท่านพลเอก แล้วตอนนี้เราจะทำยังไงกันดีครับ?” ผู้ช่วยเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
“ถามฉัน? แล้วฉันจะไปถามใครล่ะ?” มาการ์เตะผู้ช่วยจนกระเด็นออกไปนอกประตู
จอมพลหลี่จื้อผิงที่อยู่อีกฟากพูดกับผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างอย่างโอหังว่า “คอยดู มาการ์ต้องเป็นบ้าแน่ ๆ”
“ตอนนี้เขาคงกำลังสับสนน่าดู ท่านจอมพลเก่งมากครับ แค่ใช้คำพูดสามถึงห้าประโยคก็ละลายพฤติกรรมของเขาได้”
“ยังไงซะก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ถึงจะมีความสามารถ แต่ไม่มีประสบการณ์ก็ไร้ประโยชน์” จอมพลหลี่จื้อผิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฝ่าบาทก็เอาแต่คุยโม้ว่าโลกอนาคตอยู่ในมือคนหนุ่มสาว แล้วพวกแก่ ๆ อย่างเราล่ะ?”
“แล้วดูสงครามที่แพ้ลงทั้งสองครั้งนั่นสิ ทั้งสองคนนั้นก็เป็นพลเอกหนุ่มที่มีความสามารถไม่ใช่หรือไง?” จอมพลหลี่จื้อผิงพูดออกมาด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ที่นี่ก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วไม่ใช่เหรอว่าพลเอกหนุ่มพวกนั้นไม่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่สักแต่จะให้คนแก่เฒ่าอย่างพวกเราถอยออกไป”
“เอาล่ะ เร่งความเร็วซะ ฉันไม่อยากให้แพ้สงครามนักหรอก เพราะฝ่าบาทสเปนเซอร์อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”
“ดีมาก เดินหน้าเต็มกำลัง! ยึดมั่นเอาไว้ อีกสิบนาทีเราจะคุมสนามรบได้แล้ว” แลนเซล็อตพูดด้วยความพึงพอใจ
คาร์ลพยักหน้า “ต้องบอกว่าพลังการยิงดีมากครับ อย่างน้อยการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ถึงอกถึงใจ”
“นายก็พูดง่าย จักรวรรดิไหนจะมามีลูกกระสุนเยอะแบบนี้ล่ะ? โชคดีที่จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ไม่มีส่วนสำรองเพียงพอ”
แลนเซล็อตพูดต่อ “แต่ต้องบอกว่าพลเอกมาการ์ค่อนข้างมีความสามารถ”
หากไม่ใช่เพราะขาดแคลนกระสุน พวกเขาคงจะตอบโต้รุนแรงกว่านี้
“มาการ์จะแข็งแกร่งสักแค่ไหนเชียวครับ” คาร์ลพูดและยิ้มออกมา “จะมาเทียบกับท่านได้ยังไง? ท่านคำนวณทุกย่างก้าวของเขาได้อย่างแม่นยำขนาดนี้”
“พอแล้ว หยุดพูดเถอะ! อยู่กับองค์หญิงสามมานานจนพูดกะล่อนไปเรื่อยสินะ” แลนเซล็อตมองดูผู้ช่วยของเขาอย่างเหลืออด “ไปตรวจสอบดูว่าอีกนานแค่ไหนกว่ากองกำลังเสริมจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์จะมาถึง”
“ครับ” คาร์ลตอบรับ และรีบวิ่งออกไปดู
ขณะเดียวกัน ดาวเคราะห์เอบีสามที่สวี่หลิงอวิ๋นกำลังโจมตีอยู่ยึดครองกลับมาอีกครั้ง
ส่วนเหล่าทหารกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดเสบียง พร้อมกับช่วยเหลือทหารจากจักรวรรดิชิงเหย้าที่ถูกจับตัวไป
“พี่น้องทั้งหลายที่กำลังทุกข์ทรมาน เรามาช่วยพวกคุณแล้ว” พลทหารของสวี่หลิงอวิ๋นมองดูเหล่าทหารที่เคยประจำการอยู่ที่นี่ถูกทารุณอย่างไร้มนุษยธรรม
“ขอบคุณที่มาช่วยชีวิตพวกเรา ขอบคุณจริง ๆ” หัวหน้าทหารคือแดเนียล เป็นผู้ช่วยของพลเอกไอโม่ที่เคยประจำการอยู่ที่นี่
“ยินดีครับพี่ชาย ยังไงซะทหารของจักรวรรดิชิงเหย้าของเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน”
หลังจากพูดทักทายเรียบง่าย เขาก็ถามขึ้นว่า “พลเอกไอโม่อยู่ไหนครับ?”
“ท่านพลเอก…ยอมเสียสละตัวเอง” แดเนียลตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนที่คนจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์เข้ามาโจมตี เกราะป้องกันพลังงานของเราก็พังลงทันที”
“จากนั้นท่านพลเอกก็ออกไปตรวจสอบสถานการณ์และไม่กลับเข้ามาอีก พวกเราเลยออกไปดู และพบว่าท่านพลเอกเสียชีวิตแล้ว”
เมื่อทหารของสวี่หลิงอวิ๋นได้ยินคำพูดของแดเนียล เขาก็ตระหนักได้ถึงความจริงจังของเรื่องนี้
“เรื่องที่คุณพูดถึงมันเป็นเรื่องใหญ่มาก เราต้องรายงานเรื่องนี้กับองค์หญิงสามทันที”
ไม่แปลกใจที่ดาวเคราะห์ทั้งสามดวง ซึ่งได้แก่ ดาวเคราะห์เอบีสาม ดาวเคราะห์เอบีสี่ และดาวเคราะห์เอบีห้าจะถูกเข้ายึดครองได้ง่ายดายเช่นนี้?
และแน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนทรยศใช่หรือไม่?
“ต้องมีหนอนบ่อนไส้แน่นอน”
สวี่หลิงอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นายชื่อแดเนียลใช่ไหม?” สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองแดเนียล “ร่างของพลเอกไอโม่อยู่ไหน?”
“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างสงครามพวกกระหม่อมเอาร่างของท่านพลเอกไอโม่ใส่ไว้ในห้อง แต่จนตอนนี้พวกกระหม่อมยังหาไม่เจอเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเอาตัวพลเอกของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์มา” สวี่หลิงอวิ๋นพูดขึ้น ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้
“ครับ! ท่านผู้บัญชาการ!”
ช่างเทคนิคทั้งหลายเฝ้าดูผู้ช่วยทั้งหมดที่ถูกนำตัวไปให้สวี่หลิงอวิ๋น
“ร่างของพลเอกไอโม่อยู่ไหน?” สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองผู้ช่วยจากจักรวรรดิของศัตรูด้วยสายตาเย็นชา “แล้วใครคือสายลับ?”
ผู้ช่วยของมาการ์จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าและส่ายหัว “ไม่รู้ มีแค่พลเอกมาการ์เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้”
“ปากแข็งนักนะ” สวี่หลิงอวิ๋นไม่เชื่อว่าผู้ช่วยคนนี้จะไม่รู้ว่าใครคือหนอนบ่อนไส้
“ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง ถ้ายังไม่ยอมพูดอะไรอีก ฉันจะส่งแกไปหาพระเจ้า ดีไหม?” สวี่หลิงอวิ๋นพูดอย่างเย็นชา
“ต่อให้เธอส่งฉันไปหาพระเจ้า ฉันก็ไม่รู้อยู่ดี” หลิวป๋อหยางยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าฉันรู้อะไรบ้าง บางทีการต่อสู้คงจะไม่เป็นแบบนี้”
“แกหมายความว่ายังไง?” สวี่หลิงอวิ๋นมองดูเขา
“หมายความว่ายังไงน่ะเหรอ?” หลินป๋อหยางส่ายหัวและพูดว่า “ฉันเป็นผู้ช่วยแค่ในนามเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วฉันไม่ได้แตกต่างจากทหารธรรมดาทั่วไปเลย หรือแม้แต่ทหารทั่วไปยังดีกว่าด้วยซ้ำ”
“เพราะงั้นพวกเราจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นความลับทุกอย่าง มีแค่พลเอกมาการ์คนเดียวที่รู้”
“พวกแกเป็นผู้ช่วยที่น่าเวทนาเหลือเกิน”
สวี่หลิงอวิ๋นไม่คิดว่าคนตรงหน้าเธอจะพูดความจริง แต่กลับไม่คิดว่าเขาจะต้องโกหก ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือเท็จ ท้ายที่สุดแล้วหากจัดตัวมาการ์มาได้ ความจริงทุกอย่างจะปรากฏขึ้น
“องค์หญิงสาม องค์ชายรัชทายาทแลนเซล็อตโทรเข้ามาทางวิดีโอครับ”