ตอนที่ 301 การล้างแค้นของมหาสงคราม 8
ตอนที่ 301 การล้างแค้นของมหาสงคราม 8
หลี่จื้อผิงหวงแหนชีวิตของตนเองมาก อีกทั้งยังมีความมั่งคั่งมากมายที่เขาไม่เคยได้สัมผัส เพราะฉะนั้นเขาจะตายที่นี่ไม่ได้
“แต่ถ้าทหารพวกนั้นอยู่ต่อ พวกเขาจะตายนะครับ” ผู้ช่วยไม่อาจฝืนที่จะพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านจอมพล แต่ถ้าพวกเราเร่งความเร็วอีกหน่อย เราจะสลัดพวกนั้นออกได้แน่นอน พวกมันมีลูกกระสุนไม่พอหรอกครับ แค่เราออกตัวให้เร็วกว่านี้ พวกมันก็ตามเราไม่ทันแล้ว”
“แกมั่นใจไหมล่ะว่าพวกมันมีพลังสำรองไม่พอ? ถ้าอย่างงั้นทำไมพลังโจมตีของมันถึงได้ดุเดือดแบบนี้?” หลี่จื้อผิงจ้องเขม็งไปที่ผู้ช่วยอย่างเย็นชา “จอร์จ ในเมื่อแกรู้สึกผิดกับพวกมันมากนัก ก็ขับเครื่องบินรบตามพวกมันไปสิ”
สีหน้าของจอร์จเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ให้เขาออกไปสู้อย่างนั้นเหรอ? นั่นคือการส่งเขาไปตายไม่ใช่หรือไง? เขาไม่อยากออกไป
“ท่านจอมพล ผมเพิ่งบอกไปว่าอย่าจริงจังนักสิครับ” จอร์จรีบโบกมืออย่างว่องไว “ท่านพูดถูก ถ้าเราพาพวกเขากลับมาด้วย เราจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ๆ เพราะงั้นควรรักษาพลังเอาไว้นะครับ”
หลี่จื้อผิงจ้องมองเขาอย่างเหยียดหยาม “ในเมื่อแกกลัวตาย แล้วทำไมถึงได้เอาแต่พูดอะไรที่สูงส่งแบบนั้น?”
“พวกแกคนไหนที่อยากให้ทหารกลับมา ฉันจะให้โอกาสแกขับเครื่องบินรบออกไปต่อสู้กับพวกนั้นเอง และฉันจะไม่ห้ามอะไรทั้งนั้น”
ผู้ช่วยทั้งหลายก้มศีรษะลงเงียบ ๆ
สวี่หลิงอวิ๋นที่กำลังต่อสู้สังเกตเห็นว่ายานรบหมุนตัวกลับและแล่นจากเธอไป
“เชี่ย ใครเป็นผู้บัญชาการวะ? ทำไมถึงได้เลือดเย็นขนาดนี้? ฉันก็นึกว่าจะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ที่แท้ก็แค่สละลูกเรือทิ้ง” สวี่หลิงอวิ๋นเดาะลิ้น “มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับทหารพวกนั้น”
ไกอาค้นหาช่องส่งสัญญาณของทหารฝ่ายตรงข้าม” สวี่หลิงอวิ๋นพูดอย่างเกียจคร้าน “ถามพวกนั้นว่าในเมื่อถูกนายทิ้งแล้วจะยอมแพ้ไหม ถ้าเต็มใจจะยอมแพ้ เราจะไว้ชีวิตพวกเขา”
ไกอาพยักหน้า อย่างไรเสียมีคนจำนวนเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่
ขณะที่สวี่หลิงอวิ๋นเตรียมพร้อมตั้งท่าต่อสู้
“ไกอา แจ้งพี่ไคกีแล้วบอกให้เขาเตรียมเข้ามาคุมทหารพวกนี้ไปซะ ส่วนฉันจะไปตกปลาตัวใหญ่สักหน่อย”
“ฝ่าบาท จะไล่ตามมันยังไงพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่อาหรันเหลือบมองเธอ
“ฮิฮิ เราก็จะขับยานรบไล่ล่ามันน่ะสิ” สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองหลี่อาหรันที่ทำตัวประหนึ่งหญิงสาวที่กำลังต้องแยกจากแฟนหนุ่ม แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่อาหรันก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ มันก็เหมือนกับประโยคที่ว่าทำไมถึงเอาแต่ทำอะไรคนเดียวตลอด? ตอนนี้องค์หญิงทรงงานหนักยิ่งกว่าเหล่าทหารเสียอีก และนั่นทำให้ผู้ช่วยทั้งหลายรู้สึกทุกข์ทรมานใจ
องค์ชายไคกีเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง “อยากให้คุมตัวเชลยงั้นเหรอ? ก็ได้! เดี๋ยวเราจัดการเรื่องนี้เอง”
หลังจากทหารของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ได้ยินคำพูดเกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้จากจักรวรรดิชิงเหย้า พวกเขาก็ตอบตกลงโดยไม่ค้านอะไรทั้งนั้น
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาทั้งหมดก็จะไม่ตายใช่ไหม? แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่การยอมแพ้จะถูกแทนที่ด้วยโอกาสของชีวิต
ไม่ใช่ว่าพวกเขาโลภที่จะมีชีวิตอยู่ต่อและกลัวความตาย แต่จอมพลต่างหากที่ทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวัง…
ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเห็นแก่ชีวิตตัวเอง แต่กลับไม่จริงจังกับชีวิตของพวกเขา แล้วทำไมพวกเขาจะยอมแพ้ไม่ได้ล่ะ? เกียรติยศของจักรวรรดิมักไร้ค่าเสมอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความอยู่รอดของตัวเอง
สวี่หลิงอวิ๋นขึ้นยานรบและเริ่มไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง ทว่าน่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามหนีสุดชีวิต พวกสวี่หลิงอวิ๋นจึงไม่สามารถตามจับได้ง่ายนัก
สวี่หลิงอวิ๋นฉุนเฉียว!
คนสารเลวพวกนั้นติดเกือกม้าไว้ที่เท้าหรือไง? ทำไมถึงได้วิ่งเร็วขนาดนั้น?
แต่ไม่อยากให้คนเลวพวกนั้นหนีรอดไปได้ จะต้องทำยังไง?
สวี่หลิงอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเค้นพลังจิตทั้งหมดของตัวเองออกมา และเค้นพลังดวงดาวออกมาจนไม่หลงเหลืออะไร
หากใครมองดูด้านนอกยานรบของจักรวรรดิชิงเหย้า จะสามารถเห็นคันธนูและลูกธนูสีเหลืองขนาดมหึมา
คันธนูและลูกธนูสีเหลืองถูกห่อหุ้มด้วยลวดลายสีเงินเรียบง่าย ทันทีที่จิตของสวี่หลิงอวิ๋นบังคับให้ลูกธนูพุ่งออกไป สิ่งมีชีวิตลึกลับในส่วนลึกของห้วงจักรวาลก็เงยหน้าขึ้น
ราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สูดดมกลิ่น ลงตัวลงนอนด้วยความสับสนและผล็อยหลับไป
หลี่จื่อผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ขจัดกลุ่มคนบ้าจากจักรวรรดิชิงเหย้าได้สักที
“ไอ้สารเลวพวกนั้นคงคิดว่าจะตามเราทัน” หลี่จื้อผิงพูดจาอวดเก่งกับผู้ช่วยทั้งหลายที่อยู่รอบเขา “ยานรบลำนี้ติดตั้งระบบความเร็วแรงที่ทันสมัยที่สุดแล้ว”
“เว้นแต่มันจะเร็วกว่าความเร็วแสง ต่อให้ชาตินี้ยังไงพวกมันก็ตามจับเราไม่ทันหรอก”
“ท่านจอมพล เป็นเพราะท่านเตรียมการไว้ล่วงหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน เราจะหนีกันได้เร็วแบบนี้เหรอครับ?” ผู้ช่วยชมเชย
“ท่านจอมพลแก่แต่แกร่งจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงต้องคอยอธิบายทุกอย่างอยู่ที่นี่”
“ท่านจอมพล ท่านน่าทึ่งมากครับ…”
ผู้ช่วยทั้งหลายประจบสอพลอหลี่จื้อผิงด้วยความชมเชย แต่ในใจกลับดูหมิ่นหลายครั้ง
หากเขามีทัศนคติการต่อสู้ที่ถูกต้องตั้งแต่แรก และรีบไปยังดาวเคราะห์เอบีสามด้วยความเร็วสูงสุด บางทีพวกเขาอาจจะได้จัดการคนจากจักรวรรดิชิงเหย้าด้วยกลยุทธ์การโจมตีแบบขนาบข้าง
ผู้ช่วยทั้งหลายต่างชื่นชม และเหยียดหยามในใจ
ขณะที่ผู้คนในห้องโดยสารกำลังรื่นเริงใจ ยานรบก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
คันธนูและลูกธนูสีสลัวขนาดมหึมาพุ่งตรงดิ่งมาที่ใจกลางของยานรบ
เกราะป้องกันพลังงานหายวับไปกับตา ขณะที่ศูนย์ควบคุมส่วนกลางถูกทำลายลง
ความเร็วของยานรบอลดลงอย่างกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น?” หลี่จื้อผิงตกตะลึง ขาทั้งสองขายืนหยัดไม่มั่นคงนัก ความมืดมิดปกคลุมอยู่ด้านหน้า
“ศัตรูบุกรุกเข้ามาในยานรบของเราหรือเปล่า?”
ผู่ชวยทั้งหลายส่งเสียงโห่ร้อง ค้นหาปัญหาราวกับแมลงวันหัวขาด
หลังจากนั้นประมาณห้านาที ระบบพลังงานสำรองของยานรบก็ถูกเปิดใช้งาน ก่อนที่แหล่งจ่ายไฟจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“ตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น มีศัตรูบุกรุกเข้ามาหรือเปล่า?” หลี่จื้อผิงใช้ดวงตาแหลมคมจ้องมองบริเวณโดยรอบ หวาดกลัวว่าจะมีใครพุ่งออกมาแทงเขา
“ครับ ท่านจอมพล” ผู้ช่วยทั้งหลายมองดูบริเวณรอบ ๆ ด้วยความหวาดกลัว ขณะที่ช่างเทคนิครีบวิ่งเข้ามา
“ระบบส่วนกลางถูกทำลายแล้วครับ และตอนนี้เราเปิดใช้ระบบความเร็วแสงไม่ได้ ใช้ได้เฉพาะระบบสำรองพลังงานเท่านั้น” ใบหน้าของช่างเทคนิคเริ่มตึงเครียด
“ระบบสำรองพลังงานหมายความว่าไง? มันจะเร็วได้สักแค่ไหน? เทียบกับยานรบธรรมดาได้ไหม?” หลี่จื้อผิงรู้สึกกังวลว่าตัวเองจะสามารถหลบหนีได้สำเร็จหรือไม่
“ถ้าเปรียบเทียบกับยานรบทั่วไป มันจะช้ากว่าหน่อยครับ” ช่างเทคนิคตอบ “แต่โชคดีที่ผมสืบค้นแล้วไม่เจอกับยานรบของศัตรูครับ”
“แกโง่หรือเปล่า?” หลี่จื้อผิงมองดูช่างเทคนิคด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้แกบอกว่าพวกมันมีอุปกรณ์พิเศษที่ระบบสแกนของเราค้นหาไม่ได้ไม่ใช่หรือไง? ทีตอนนี้มาบอกว่าตรวจสอบการไล่ล่าของพวกมันไม่เจอ แกไปตรวจสอบจากอะไรมา?”
ช่างเทคนิคตอบรับ ขณะที่สีหน้าเปลี่ยนไป…
“นายเป็นช่างเทคนิคภาษาอะไร? ทำไมถึงไม่เข้าใจเรื่องอะไรเลย?” ผู้ช่วยจ้องมองมาที่เขา “หัวหน้าของนายอยู่ไหน?”
ช่างเทคนิคที่ยืนอยู่ตรงหน้าก้มศีรษะลงเงียบ ๆ “หัวหน้าทีมถูกคันธนูกับลูกธนูยิงตายไปแล้วครับ!”