ตอนที่ 332 นี่คือการเจรจาข้อตกลง
ตอนที่ 332 นี่คือการเจรจาข้อตกลง
เธอมาหาว่าฉันไม่รักษาคำพูดได้อย่างไร? ในเมื่อเธอกล้าพูดก็กล้ารักษาคำพูดเหมือนกัน!
สวี่หลิงอวิ๋นมองดูสเปนเซอร์ที่อยู่ด้านหลังเหมยหมี่ “นี่ ฝ่าบาทสเปนเซอร์ ท่านมีอะไรจะพูดไหม! แล้วคนสวยคนนี้คือใคร!”
สเปนเซอร์พูดตอบ “นี่คือลูกสาวของเรา องค์หญิงเหมยหมี่”
“โอ้ว! ก็แค่นั่นแหละ! ในเมื่อท่านรักษาคำพูด เราก็มาเจรจากันต่อได้!” สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า “ดาวเคราะห์ที่พวกท่านจะยกให้ฉันเปลี่ยนจาก สิบเปอร์เซ็นต์เป็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วกันนะ!”
“ค่าตอบแทนนี้สูงไปหน่อยหรือเปล่า?!” เหมยหมี่พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ถ้าให้เป็นพืชพลังงานสิบชนิด เราก็ยังพอจะเอาดาวเคราะห์ให้เธอยี่สิบเปอร์เซ็นต์ได้!”
“เฮ้ เธอต่อรองไวไปไหม?!” สวี่หลิงอวิ๋นโพล่งออกมาอย่างไม่พอใจ “ถ้างั้น เธอเอา…”
“พืชพลังงานไม่ควรต่ำกว่าสามสิบชนิด!” โอคาซีปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังสวี่หลิงอวิ๋น และพูดต่อ “และควรมอบดาวเคราะห์ให้เราสิบสองจุดห้าเปอร์เซ็นต์”
เหมยหมี่มองดูชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม!
ผู้ชายคนนี้คือเทพบุตรที่เธอชื่นชมมาเสมอ ถึงแม้เธอจะรู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เธอก็ยังถูกฉากที่อยู่ตรงหน้าทิ่มแทงสายตา
มือของโอคาซีวางอยู่บนมือของสวี่หลิงอวิ๋น การเคลื่อนไหวของเขาดูเป็นธรรมชาติมาก ราวกับว่าเขาทำแบบนี้มาหลายพันครั้ง
ใช่ พวกเขาเป็นแฟนกัน
เหมยหมี่สูดลมหายใจเข้าลึก เก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้เบื้องหลัง ตอนนี้เธอต้องต่อสู้เพื่อสิ่งที่มากกว่า
แน่นอนว่าสิทธิ์ดังกล่าวขึ้นอยู่กับความอยู่รอดของราชวงศ์ทั้งหมด รวมถึงเมืองหลวง
เหมยหมี่ส่ายหัว “เรามอบดาวเคราะห์ให้พวกท่านมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว! เราให้มากสุดแค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
“ถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์จะย่อยยับลง แต่นั่นก็เป็นแค่เมืองหลวง ต่อให้ราชวงศ์ของเราจะพังพินาศก็ไม่สำคัญอะไร เพราะยังไงซะปีกพิสุทธิ์ก็ยังสืบทอดต่อไปได้อยู่ดี”
“แล้วเราจะหาเรื่องกลุ้มใจไปทำไม?”
เมื่อเหมยหมี่พูดเช่นนั้น ผู้คนที่รู้สึกไม่พึงพอใจเล็กน้อยก็ถูกฉุดกระชากกลับไปทันที
องค์หญิงเหมยหมี่พูดได้ดีมาก!
ถูกต้อง! การที่ราชวงศ์สิ้นสุดลง ใช่ว่าจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์จะถูกทำลายไปด้วยเสียหน่อย?!
สวี่หลิงอวิ๋นหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เธอกำลังล้อเล่นอะไรกับฉันอยู่? เธอคิดว่ามันเป็นสังคมศักดินาแบบในอดีตหรือไง?”
ฮะ? สังคมศักดินาคืออะไร?!
นักประวัติศาสตร์โบราณหลายคนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำนี้! โอ้ ดูเหมือนว่าองค์หญิงสามจะค่อนข้างเชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์นะเนี่ย?! รู้เกี่ยวกับระบบศักดินาด้วยเหรอ?!
หากสวี่หลิงอวิ๋นรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายคิดเช่นนี้ เธออาจจะลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วก็ได้ และเธอยังสามารถอ่านบทกลอนได้อีกด้วย!
ห่านเอ๋ยห่าน หน้าเตียงแสงจันทร์กระจ่าง อาทิตย์ส่องกระถางธูปหมอกหลากสี…เธอท่องได้หมด!
“จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์สืบทอดต่อไป? ฮ่า ๆ! เธอทำให้ฉันหัวเราะแทบตาย!” สวี่หลิงอวิ๋นตบต้นขา “เธอเชื่อไหมว่าราชวงศ์ที่อยู่เคียงข้างเธอจะถูกทำลาย จักรวรรดิจำนวนนับไม่ถ้วนจะพกพาอาวุธไปเก็บเกี่ยวดาวเคราะห์ของพวกเธอกันหมดไม่เหลือซาก?”
“มันคงจะดีกว่า ถ้ากองกำลังของพวกเธออยู่ที่นั่น และพลทหารร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ว่า!” สวี่หลิงอวิ๋นหัวเราะเยาะ “ดูพวกทหารของเธอสิ กองพลทั้งหมดต่างกำลังเหนื่อยล้า แค่นั้นพวกเขาก็ไม่มีแรงจะเดินกันแล้ว อีกทั้งยังขาดความสามัคคี ถ้าพวกเธอพังพินาศลง ยังไงซะพวกเขาก็จะต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์กันแน่นอน”
“จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ของพวกเธอจะตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง!” สวี่หลิงอวิ๋นยังคงวิเคราะห์ต่อ “บอกฉันทีจักรวรรดิที่ตกอยู่ในสงครามกลางเมืองแบบนั้น ใครบ้างจะไม่ฉวยโอกาสแบ่งเค้กหาผลประโยชน์กัน?”
ใบหน้าของผู้คนในจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์เริ่มซีดเซียว!
องค์หญิงสามพูดถูก! หากเป็นเช่นนั้น คนธรรมดาทั่วไปจะไม่ตกอยู่ในเปลวไฟสงครามกลางเมืองหรอกเหรอ?!
ต้องไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!
เหมยหมี่ใจเย็นมาก “เธออย่าทำให้ผู้คนตื่นตระหนกได้ไหม! สงครามกลางเมืองอะไรนั่น คิดมากไปหรือเปล่า?!”
แต่เธอก็แอบรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของสวี่หลิงอวิ๋น
แน่นอนว่าสเปนเซอร์คิดเกี่ยวกับปัญหานี้มานานมากแล้ว ดังนั้นเขายินดีจะทำตามคำขอร้องดังกล่าว เพราะไม่ต้องการให้จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์พังพินาศลงด้วยน้ำมือของเขา
“โอเค ฉันหวังว่าฉันจะคิดมากไปเองแล้วกัน!” สวี่หลิงอวิ๋นยกยิ้มและนั่งลงบนเก้าอี้ ซบศีรษะลงบนไหล่ของโอคาซี และมองไปที่เหมยหมี่อย่างมีชัย “ยังไงซะพวกเธอก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ฉันต้องการ ถ้าเห็นด้วย ฉันก็จะไปคิดหาวิธีการ”
“แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร ฉันก็จะถอยกลับไป!” สวี่หลิงอวิ๋นคิดในใจ ฉันไม่อยากให้เธอเห็นด้วยเท่าไรนักหรอก!
เพราะเธอไม่สามารถจัดการอสูรกายที่ทรงพลังเช่นนั้นได้
อสูรกายยักษ์ระดับ10 ดาวเชียวนะ! สวี่หลิงอวิ๋นกำหมัดแน่น เธอเป็นแค่ระดับ 9 ดาวเท่านั้น!
ว่ากันว่าความแตกต่างระหว่างระดับ 9 ดาว กับระดับ 10 ดาวก็เป็นเหมือนกับสวรรค์และโลก!
สวี่หลิงอวิ๋นไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น!
เหมยหมี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสเปนเซอร์กลับพยักหน้า “ตกลง! ดาวเคราะห์สิบสองจุดห้าเปอร์เซ็นต์!”
“แต่ต้องสัญญาก่อนว่าท่านจะช่วยเหลือเราออกไปอย่างไร้รอยขีดข่วน!”
“ไร้รอยขีดข่วน?!” สวี่หลิงอวิ๋นโบกมือ “ท่านกำลังล้อเล่นหรือไง? ไร้รอยขีดข่วน? โทษทีฉันทำไม่ได้หรอก!”
“ถึงจะเป็นการช่วยเหลือแต่อาจจะมีปัญหาหลายอย่าง อย่างเดียวที่ฉันรับประกันได้คือ อสูรกายยักษ์และเอเลี่ยนทั้งหลายจะออกไปจากอาณาเขตของท่าน!” สวี่หลิงอวิ๋นกอดอก “ส่วนที่เหลือฉันไม่รับประกัน!”
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจากจักรวรรดิชิงเหย้าหลั่งไหลกันเข้ามาแสดงความคิดเห็น
[ใช่แล้ว! องค์หญิงสามอย่าไปสัญญากับพวกเขาเลย! ไร้รอยขีดข่วนงั้นเหรอ? ถ้าพวกคุณคนใดคนหนึ่งออกมาแล้วผมขาดไปสองเส้น พวกคุณจะไม่จ่ายค่าตอบแทนเลยหรือไง?!]
“นั่นดิ! ไร้รอยขีดข่วน ยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น!”
[ใครทำได้ก็เชิญไปทำเถอะ! จะมาขอความช่วยองค์หญิงสามของเราทำไม?!]
[เธอจะรับค่าตอบแทนก้อนโต แต่ไม่ยอมรับประกันงั้นเหรอ?!]
เกรียนคีย์บอร์ดจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ทนไม่ไหวจึงออกมาปกป้องจักรพรรดิกับองค์หญิงของพวกเขา
[ใช่! ได้รับค่าตอบแทนแล้วก็ทำตามผู้ว่าจ้างสิ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ารับไปตั้งแต่แรก!]
[เป็นผู้หญิงภาษาอะไร อ่า! ต้มตุ๋นทั้งนั้นสินะ!]
[ใช่ ๆ! ทำอย่างกับเป็นเก่งมาก! แล้วเป็นยังไงล่ะ? สุดท้ายก็ทำให้คนผิดหวัง!]
…
[บัดซบ ทำไมฉันต้องมานั่งทนดูเจ้าพวกโง่ปีกพิสุทธิ์ด้วยนะ? องค์หญิงของเราบอกว่าไม่รับปากก็คือไม่รับปากสิ ไม่เห็นจะสำคัญตรงไหน! ทำอย่างกับองค์หญิงต้องรับงานนี้งั้นแหละ!]
[ไปให้พ้น! ช่วยไม่ได้! ใครทำได้ก็ไปทำเองสิ!]
[องค์หญิงอุตส่าห์ลดตัวลงไปช่วยพวกคุณไม่ใช่เหรอ? เลวร้ายที่สุดก็แค่นั่งดูจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ของพวกคุณล่มสลายลงและตกอยู่ในสงครามกลางเมือง! ยังไงซะพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว!]
[สงครามกลางเมืองนี่เยี่ยมไปเลย! ฮ่า ๆ! ถึงตอนนั้นฉันจะเข้าร่วมกองทัพ ถ้าจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ได้รับส่วนแบ่งอะไรอย่าลืมเรียกฉันด้วยล่ะ!]
…
เกรียนคีย์บอร์ดของทั้งสองจักรวรรดิไม่มีใครยอมใคร ทุกคนต่างมีเป้าหมายเอาชีวิตของอีกฝ่าย
ทำให้ผู้คนที่อยู่ในจักรวรรดิอื่นเฝ้าดูอย่างสนุกสนาน
ทำไมถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้คนจากทั้งสองจักรวรรดิจะเป็นคนตลกเช่นนี้? ดูเหมือนว่ากระทู้แบบนี้จะมีให้อ่านน้อยเกินไป!
สเปนเซอร์กำหมัดแน่น “ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเรา ท่านจะได้ค่าตอบแทนได้ยังไง?!”