ตอนที่ 377 กุ้ง?!
ตอนที่ 377 กุ้ง?!
เงือกทั้งหลายนอนเกยอยู่บนพื้นบริเวณทางเข้าลานขนาดเล็กที่กลุ่มสวี่หลิงอวิ๋นอยู่ สายตาก็เฝ้าดูแขนกลที่กำลังทอดชิ้นปลาขนาดใหญ่ในหม้ออย่างระมัดระวัง
พวกเขาพบปลาชนิดนี้ได้บ่อยครั้ง แม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่ แต่รสชาติของมันกลับไม่ได้เรื่อง!
ชาวเงือกชอบปลาขนาดเล็กที่มีรสชาติอร่อย ไม่ค่อยชอบกินปลาขนาดใหญ่เช่นนี้เพราะมันมีไขมันเยอะเกินไป! พวกเขาคิดว่ามันเลี่ยนเกินกว่าจะกินไหว!
ทว่ากลับไม่คาดคิดมาก่อนว่าปลาเช่นนี้จะอร่อยขึ้นเมื่อนำมาปรุงสุก?! อ๊ะ! ท้องร้องโครกครากแล้ว!
ชาวเงือกสมองใสที่ต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับมนุษย์รีบนำเอาอัญมณีและของตกแต่งบ้านทั้งหลายออกมา
แต่ไม่ได้ยินหรือไงว่ามนุษย์ไม่ชอบของไร้สาระเช่นนี้?!
ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที ชาวเงือกก็ห้อมล้อมลานขนาดเล็กของสวี่หลิงอวิ๋นเป็นวงกลมหนาสามชั้น!
แขนกลตักเนื้อปลาทอดวางลงจานขนาดใหญ่!
สวี่หลิงอวิ๋นผัดหัวหอม ขิง กระเทียม และเครื่องปรุงรสอื่น ๆ ก่อนจะใส่พริกไทยเสฉวนลงไป ชาวเงือกทั้งหลายสำลักทันทีที่ได้กลิ่นพริกโชยออกมา!
ทุกคนไอโขลก ๆ ราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง แต่กลับไม่มีเงือกตัวไหนปลีกตัวออกไป! ทั้งหมดยังคงจ้องมองอยู่!
สวี่หลิงอวิ๋นสั่งให้แขนกลเทเนื้อปลาลงไปในกระทกอีกครั้ง ก่อนจะลงมือผัดให้เข้ากับพริกไทย หลังจากเติมไวน์สำหรับปรุงอาหารและซอสลงไปแล้ว เนื้อปลาก็ถูกตักขึ้นมาวางไว้บนจานอีกครั้ง
“หื้ม หอมมาก!” ทันทีที่ชาวเงือกได้กลิ่นหอม น้ำลายของพวกเขาก็แทบจะไหลออกมา!
กลุ่มองครักษ์กล้ำกลืนน้ำลาย และพยายามจะแยกกลุ่มเงือกออกไป แต่ตอนนี้ใครจะอยากออกไปกัน!?
เดิมทีเงือกเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่สุขุมเรียบร้อย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเจ้าตัวปัญหา พวกเขากัดฟัน และแสดงกรงเล็บอันแหลมคม ราวกับพร้อมจะต่อสู้สุดชีวิต องครักษ์เงือกไม่สามารถทำอะไรได้ จึงปล่อยให้พวกเขาได้ดูต่อไป
องครักษ์เงือกกลายเป็นผู้ดูแลรักษาความสงบเป็นที่เรียบร้อย
ว่าแต่กลิ่นช่างหอมเหลือเกิน!
สวี่หลิงอวิ๋นมองดูชาวเงือกที่ห้อมล้อมอยู่ ชาวเงือกพวกนี้กินอาหารดิบมาตลอดชีวิต พวกเขาจะไม่รู้สึกคลั่งเลยหรือที่ได้กลิ่นอาหารปรุงสุกเป็นครั้งแรก!?
เธอถึงกับเริ่มคิดอย่างชั่วร้ายว่า เหตุผลที่องค์หญิงคนโตแห่งจักรวรรดิเงือกแต่งงานกับมนุษย์ เป็นเพราะอาหารของชาวเงือกไม่ถูกปากหรือไม่?
เสี่ยวอ้ายกับนากาเฝ้าดูเงือกทั้งหลายอย่างระมัดระวัง พวกมันปกป้องอาหารของตนเองสุดชีวิต ในที่สุดพวกมันก็ได้กินอาหารปรุงสุกสักที พวกมันจะไม่ยอมให้พวกเงือกพรากอาหารไปเด็ดขาด
เงือกผู้กล้าหาญก้าวเข้าไปด้านหน้าและร้องตะโกนว่า “องค์หญิงมนุษย์แลกเปลี่ยนอาหารกับเราได้ไหม? เรามีไข่มุกรัตติกาลเม็ดงาม!”
“ส่วนฉันมีอัญมณีที่ดีที่สุด รับประกันได้ว่าท่านจะต้องชอบมันแน่ มันยังอยู่ในสภาพดีและดูดีมาก!”
“ฉันมีไข่มุกรัตติกาลที่มีค่ามหาศาล!”
สวี่หลิงอวิ๋นต้องการจะแลกเปลี่ยนกับพวกเขา ทว่าเสี่ยวอ้ายกลับไม่ยอม
พวกมันจ้องมองสวี่หลิงอวิ๋นด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น และพูดว่า “นายท่าน! เสี่ยวอ้ายไม่ได้กินอาหารของท่านมานานแล้วนะ! ฮือ ๆๆ! จะเอาไปให้พวกเขาไม่ได้นะ!”
สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น!
“ไม่ต้องห่วงนะเสี่ยวอ้าย! ฉันจะเอาอาหารของพวกแกไปแลกเปลี่ยนกับพวกเขาได้ยังไง?” สวี่หลิงอวิ๋นพูดรับรอง “ในใจของฉัน พวกแกมีค่ามากกว่าสิ่งของพวกนั้นอีก!”
พวกเงือกหรืออะไรนั้นออกไปให้ไกลกว่านี้หน่อยสิ!
พวกเธอควรอยู่ให้ไกลกับเสี่ยวอ้าย พวกสร้อยคอไข่มุกไพลินทับทิบก็อยู่ให้ไกลกว่านี้หน่อย!
ชาวเงือกต่างรู้ดีว่าอาหารอันแสนอร่อยพวกนี้มีไว้สำหรับสัตว์เลี้ยงของเธอ!
ก็ได้! แต่คิดว่าพวกเขาจะยอมแพ้หรือ?! ไม่มีวัน!
พวกเขานำปลาทุกชนิดที่พวกเขาไม่อยากกินออกมาจากบ้าน และขอให้สวี่หลิงอวิ๋นปรุงรสให้พวกเขา
“ทำปลาของฉันด้วยน้า!” ชาวเงือกร้องขออย่างกระตือรือร้น “ขอให้ฉันลองชิมสักคำก็ได้!”
เมื่อมองดูความเจียมเนื้อเจียมตัวแล้ว! หากสวี่หลิงอวิ๋นไม่ยอมทำ อีกฝ่ายก็จะไม่ยกตะกร้าอัญมณีให้ใช่ไหม?!
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำ!
สวี่หลิงอวิ๋นค้นหาส่วนผสมที่ชาวเงือกนำมาให้ นอกจากนี้ยังมีเงือกอีกมากมายที่เห็นว่ามนุษย์คนนี้เต็มใจจะใช้วัตถุดิบของพวกเขามาปรุงอาหาร ชาวเงือกที่มาโดยมือเปล่าก็รีบแหวกว่ายออกจากเมืองไปล่าสัตว์ทะเลทันที!
ทิศทางเชิงบวกทำให้เงือกทั้งหลายรีบแหวกว่ายออกไปที่ชานเมือง!
สวี่หลิงอวิ๋นหันกลับมา ลองเดาดูสิว่าเธอพบอะไร? มันคือกุ้งนั่นเอง!
กุ้ง!
นี่คือวัตถุดิบที่นักกินทั้งหลายควรมี!
ดูสิ มีจำนวนค่อนข้างเยอะทีเดียว! จะต้องเก็บไว้เป็นความลับ!
กุ้ง คือวัตถุดิบที่ง่ายที่สุดในการทำเมนูกุ้งอบน้ำมัน และเป็นวัตถุดิบขั้นพื้นฐานในการทำอาหารแสนอร่อย!
หากในชาติที่แล้ว หากสวี่หลิงอวิ๋นเลือกจะกินกุ้ง เมนูกุ้งอบน้ำมันจะเป็นเมนูที่เธอโปรดปรานมากที่สุด
แน่นอนว่ายังมีเมนูกุ้งต้มหรือเมนูอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน สวี่หลิงอวิ๋นจึงตัดสินใจเลือกเมนูที่ทำง่ายและรวดเร็วที่สุด!
เมนูกุ้งอบน้ำมันทำง่ายมาก ขั้นตอนแรกต้องทำความสะอาด จากนั้นจึงจะผ่าเอาเส้นที่หลังกุ้งออก
ตั้งอุณหภูมิน้ำมันที่เหมาะสม ผัดหัวหอมใหญ่ ขิง และกระเทียมจนส่งกลิ่นหอม ส่วนขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือขั้นตอนนี้! เทกุ้งลงไป ห้ามกลับด้านก่อน ต้องรอให้เนื้อด้านล่างเปลี่ยนสีแล้วจึงพลิกกลับอีกด้านได้
จากนั้นจึงเอามาผัดให้คลุกเคล้ากันอีกที
รอจนกลับเนื้อกุ้งจนสุกได้ที่ แล้วจึงราดซอสที่เตรียมไว้ลงไป เยี่ยมมาก! สมบูรณ์แบบ!
สวี่หลิงอวิ๋นดมกลิ่น เมื่อคลุกเคล้าจนซอสแทรกซึมเข้าไปในเนื้อแล้ว เธอจึงปิดไฟและตักมาวางลงบนจาน!
ชาวเงือกทั้งหลายรู้สึกว่าเวลาช่างเดินช้าเหลือเกิน! เหตุใดจึงชักช้าเช่นนี้?!
ทั้งที่พวกเขาอดทนรอไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าการรอคอยมันยาวนานเป็นศตวรรษ!
เมื่อมองดูวัตถุดิบเรียบง่ายสุดแสนจะธรรมดา ก็เห็นได้ชัดว่ามีแต่คนยากจนเท่านั้นที่จะกินมัน แต่ตอนนี้มันกลับกลายมาเป็นอาหารอันโอชะที่พวกเขาคว้ามาไม่ได้
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งพวกเขาจะต้องเอาเครื่องประดับชิ้นโปรดมาแลกกับกุ้งตัวนี้
สวี่หลิงอวิ๋นเป็นคนขี้เหนียวมากเช่นกัน!
เธอเอากุ้งมาแลกเปลี่ยนเป็นอัญมณีของเหล่าเงือก ทว่าเงือกทั้งหลายกลับคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี!
เงือกที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนนั้นจับกุ้งอย่างระมัดระวัง และก้มกัดหัวกุ้งภายในคำเดียว สวี่หลิงอวิ๋นอยากจะพูดเตือนทุกคนว่าไม่ควรกินหัวกุ้งแบบนั้น…
แต่พวกเขากลับไม่สนใจ!
บริเวณหัวกุ้งมีรสชาติซอสที่เข้มข้น! อา! นี่สิความสุขทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง!
พวกเสี่ยวอ้ายกินเนื้อปลาจนหมดเกลี้ยงแล้ว!
เมื่อมองดูกุ้ง พวกมันทั้งสองก็ชิมกุ้งคนละตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อื้ม! กลิ่นหอมมาก!
ต้องกินเพิ่มอีกสักหน่อย!
แต่เมื่อมองดูวัตถุดิบที่เหลือเพียงน้อยนิด และเห็นว่านายท่านเก็บเกี่ยวของได้เยอะแล้ว เสี่ยวอ้ายกับนากาก็ครุ่นคิดบางอย่างและออกไปล่าสัตว์!
สวี่หลิงอวิ๋นมองดูกลุ่มเงือกที่เขยิบเข้ามาห้อมล้อมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ หน้าที่การงานของเธอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่องครักษ์ก็กำลังยุ่งวุ่นวายเช่นกัน!
สาวใช้ดอลลี่กลับมาแล้ว!
เธอขมวดคิ้ว ปริปากเล็กน้อย และทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นไหวด้วยแรงสั่นสะเทือนที่มองไม่เห็น เงือกทั้งหลายสงบลงก่อนจะหันไปมองดอลลี่
ดอลลี่มองดูสวี่หลิงอวิ๋น และพูดทักทาย “สวัสดี องค์หญิงมนุษย์”
สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองเธอ “มีอะไรรึเปล่า?”
อย่ามาขัดขวางการทำเงินกันสิ!
ดอลลี่พูดว่า “สถาบันวิจัยได้ข้อสรุปแล้วว่า น้ำพริกไข่ปูของท่านทำให้ฝ่าบาทของเรากับคาชาวิวัฒนาการ”