ตอนที่ 381 ทำธุรกิจ
ตอนที่ 381 ทำธุรกิจ
“ได้สิ ท่านเลือกตำแหน่งที่ตั้งได้เลย หากเลือกได้แล้วก็มาบอกพวกเรา เราจะได้ให้องครักษ์ไปสร้างที่พักให้ท่าน”
คำพูดของจักรพรรดิเงือกได้รับความชื่นชมจากชาวเงือกทั้งหลายที่อยู่ด้านหลัง! ในไม่ช้า ทั่วทั้งท้องถนนก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างสำราญ และเสียงของชาวเงือกที่ส่งเสียงให้กำลังใจ
“จักรพรรดิจงเจริญ จักรพรรดินีจงเจริญ!”
“พวกเราจะได้กินของอร่อยกันแล้ว! ฉันอยากจะกินของอร่อยแบบนี้ทุกวันเลย! ฮิฮิ! มีแรงบันดาลใจในการล่าสัตว์เพิ่มขึ้นแล้วสิ!”
“ใช่แล้ว พอคิดว่าจะได้กินของอร่อยพวกนี้แล้ว ฉันก็มีแรงต่อสู้กับฉลามเงินเชียวล่ะ ฉันกล้านะ!”
“นายมันขี้โม้ พอฉลามเงินเข้ามานายก็ตายแล้ว จะกล้าไปสู้กับฉลามเงินหรือไง? ตลกเป็นบ้า!”
“แล้วทำไมนายถึงจริงจังนักล่ะ? ฉันก็แค่พูดเปรียบเทียบ!”
หลังจากพูดคุยกับชาวเงือกระยะหนึ่ง สวี่หลิงอวิ๋นก็กลับไปที่พระราชวังพร้อมกับจักรพรรดิและจักรพรรดินีเงือก
นักวิจัยจากทางสถาบันเข้ามาหาสวี่หลิงอวิ๋นพร้อมกับน้ำพริกไข่ปู พวกเขารู้สึกตื่นเต้นขณะมองดูสวี่หลิงอวิ๋น จึงพูดขึ้นว่า “ท่านแขกผู้มีเกียรติ ผมอยากจะรู้ว่าน้ำพริกไข่ปูนี้ทำมาจากอะไรครับ?”
“หากเดาไม่ผิด วัตถุดิบในน้ำพริกไข่ปูนี้น่าจะเป็นอาหารที่บรรพบุรุษของเราเน้นยำถึง เพียงแค่กินมันเข้าไป พละกำลังของเงือกอย่างพวกเราก็จะไม่ถดถอยลง”
“ขอบคุณที่ท่านค้นพบมันและมอบให้กับฝ่าบาทของเรา”
แม้เงือกอาวุโสเหล่านี้จะดูมีอายุ แต่พวกเขาก็ยังเป็นคุณลุงสุดหล่อ กับคุณน้าแสนสวยอยู่ดี
สวี่หลิงอวิ๋นเกาหัวด้วยท่าทีเขินอาย และพูดว่า “อันที่จริงมันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ดีที่เราสามารถช่วยพวกท่านได้”
จักรพรรดินีกับจักรพรรดิเงือกยืนอยู่ด้านบน มีเพียงจักรพรรดิเงือกที่ส่งเสียงเยาะเย้ยในใจ!
มนุษย์ผู้นี้ก็แค่เสแสร้งทำ ทีเมื่อครู่นี้ยังกวนประสาทเราอย่างหน้าด้านหน้าทนอยู่เลย
“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกิบสันบ้าง เรายังไม่ได้เจอเขาเลย! ได้ยินมาว่าเขาวิวัฒนาการเสร็จแล้วเหรอ?”
สวี่หลิงอวิ๋นถามต่อ “แล้วคาชาเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
จักรพรรดินีเงือกตอบกลับด้วยถ้อยคำสุภาพว่า “กิบสันกำลังปรับตัวอยู่ คาชาก็เช่นกัน”
“พวกเขาวิวัฒนาการกันได้ดีมาก โดยเฉพาะคาชาที่มีวิวัฒนาการเหมือนกับบรรพบุรุษตั้งแต่ยังเด็ก หากเขาได้กินน้ำพริกไข่ปูตลอดเวลา บางทีเขาอาจจะกลายเป็นเหมือนบรรพบุรุษ”
หัวข้อบทสนทนาเป็นไปตามคาด สวี่หลิงอวิ๋นรู้ดีว่าชาวเงือกต้องการที่จะรู้ว่าน้ำพริกไข่ปูทำมาจากอะไร
“มันทำมาจากรังไข่และอวัยวะสืบพันธุ์ของอสุรกายเขี้ยวยักษ์” สวี่หลิงอวิ๋นพูดขณะมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเหล่าเงือกภายในห้องโถง ก่อนจะยักไหล่ด้วยความเขินอาย “ถึงมันจะทำมาจากรังไข่กับอวัยวะสืบพันธุ์ แต่มันก็อร่อยจริง ๆ นะ เราชอบกินมากเชียวล่ะ”
จักรพรรดิและจักรพรรดินีเงือกกระแอมเบา ๆ พวกเขาไม่สามารถปรับตัวได้ง่ายเท่ากับพวกมนุษย์ นั่นคือสาเหตุที่สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าสิ่งลึกลับดังกล่าวจะเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของอสุรกายเขี้ยวยักษ์
ดาวสมุทรยังคงถูกเอเลี่ยนรุกรานอยู่ รวมถึงอสุรกายเขี้ยวยักษ์ก็เช่นกัน แต่พวกเขาไม่เคยกินเจ้าพวกน่าเกลียดพวกนั้น เพียงแต่โยนพวกมันทิ้งลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างในจักรวาล
หากพวกเขารู้ว่าอสุรกายเขี้ยวยักษ์จะมีประโยชน์กับพวกเขาเช่นนี้ บางทีพวกเขาอาจจะขังพวกมันเอาไว้ในกรง
แต่คำถามในตอนนี้คือ จะไปนำอสุรกายเขี้ยวยักษ์มาจากไหน? ดาวสมุทรของพวกเขาไม่เหมาะแก่การเพาะพันธุ์อสุรกายเขี้ยวยักษ์
ตอนนี้สวี่หลิงอวิ๋นไม่หวั่นเกรงอีกต่อไป ไม่ว่าชาวเงือกจะเต็มใจกินมันหรือไม่ น้ำพริกไข่ปูก็จะช่วยให้พวกเขาวิวัฒนาการอยู่ดี และน้ำพริกไข่ปูจะกลายเป็นอาหารบนโต๊ะอาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้พวกท่านรู้กันแล้ว พวกเราจะกลับกันได้หรือยัง?” สวี่หลิงอวิ๋นมองดูจักรพรรดิเงือกด้วยรอยยิ้มมุมปาก “พวกเราอยู่ที่นี่มานานเกินพอแล้ว ท่านพ่อคงจะคิดถึงเราแล้วล่ะ”
จักรพรรดิได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องรีบนักหรอกแขกผู้มีเกียรติ เจ้าบอกว่าอยากจะเปิดร้านอาหารบนดาวสมุทรของเราไม่ใช่เหรอ? เราพูดคุยเรื่องเปิดร้านอาหารกันได้นะ รวมถึงพูดคุยเรื่องอสุรกายเขี้ยวยักษ์ด้วย”
“เปิดร้าน? หากต้องเปิดร้าน เราจะให้องครักษ์มาที่นี่และเปิดร้านอาหารแทน” สวี่หลิงอวิ๋นพูด “ส่วนอสุรกายเขี้ยวยักษ์น่ะเหรอ? มันก็แค่เอเลี่ยน! ถึงชาวชิงเหย้าของเราจะมีนิสัยชอบเก็บอสุรกายเขี้ยวยักษ์ไว้ในกรงเพื่อนำมาทำน้ำพริกไข่ปู แต่ท่านรู้หรือไม่ว่ามนุษย์อย่างพวกเราอ่อนแอมากนะเพคะ มีพละกำลังค่อนข้างต่ำ หึหึ เพราะงั้นผลิตภัณฑ์น้ำพริกไข่ปูอาจจะไม่ราบรื่นนัก!”
“อ๋อใช่ ชาวชิงเหย้าค่อนข้างจะยุ่งกันเสียด้วยสิ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ดูแลเพื่อนฝูงอย่างอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิเลยเพคะ ไม่รู้ว่าท่านจะยังเห็นด้วยหรือไม่?!”
เมื่อพูดเช่นนั้น องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังสวี่หลิงอวิ๋นก็ถึงกับอายเล็กน้อย คงไม่ต้องบอกเลยว่าจักรพรรดิกับจักรพรรดินีเงือกผู้สูงส่งทั้งสองจะรู้สึกเช่นไร?
ผู้อาวุโสจากสถาบันการวิจัยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ไม่นึกเลยว่าท่านจะเป็นหญิงสาวมนุษย์ที่มีจิตใจอบอุ่น! หากท่านติดขัดตรงไหนก็แค่บอกมา! อย่างไรพวกเราก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน!”
สวี่หลิงอวิ๋นหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว “ถึงอสุรกายเขี้ยวยักษ์จะมีจำนวนมาก แต่การจับพวกมันไม่ง่ายเลย เพราะงั้นราคาอาจจะค่อนข้างสูง…”
แต่ก่อนที่จักรพรรดิเงือกจะได้พูดอะไร ผู้อาวุโสจากสถาบันการวิจัยก็โพล่งขึ้นว่า “ราคาเท่าไหร่? แต่ว่าไม่สำคัญหรอก จักรพรรดิของเรามีเงินอยู่แล้ว!”
เยี่ยมไปเลย! ขายฝ่าบาทของตัวเองอย่างนี้ก็ได้เหรอ?!
ได้สิ! ได้อยู่แล้ว! ใครจะไม่รู้บ้างว่าจักรพรรดิเงือกมีทรัพย์สมบัติมหาศาล! หากเขายากจน เงือกตัวอื่นคงไม่มีวันรวย!
จักรพรรดิเงือกพยายามอดทนต่อ ‘เจ้าพวกสารเลวทั้งหลาย’ ที่ปากพล่อยพูดออกไป
แต่ช่างเถอะ! คิดเสียว่าทำเพื่อชาวเงือก!
เขาจะทำอะไรได้!? แน่นอนว่าทำได้เพียงฝืนยิ้มและอดกลั้น!
“ใช่ องค์หญิงสาม ได้โปรดเสนอราคามาเถิด” รอยยิ้มของจักรพรรดิบิดเบี้ยวราวกับต้องการร้องไห้ “ยังไงเสียเราก็เป็นพันธมิตรกัน ท่านน่าจะเมตตากันบ้าง”
สวี่หลิงอวิ๋นยิ้มและพูดว่า “ก็เพราะว่าเราเป็นพันธมิตรกัน เราจึงได้บอกพวกท่านว่ามันคืออะไร แต่หากพวกท่านไม่อยากทำธุรกิจกับเรา ท่านจะไปทำธุรกิจกับจักรวรรดิอื่นก็ได้นะ อย่างเช่นจักรวรรดิไอเดน”
ถูกต้อง จักรวรรดิไอเดนกับเผ่าเงือกมีความเกี่ยวข้องปรองดองกัน เพราะฉะนั้นพวกเขาควรขอความช่วยเหลือจากจักรวรรดิไอเดน
ทว่าความจริงไม่ง่ายเช่นนั้น
ทันทีที่จักรพรรดิเงือกนึกถึงลูกสาวคนโตที่ถูกหลอกลวง เขาก็ลังเลที่จะพูดถึงจักรวรรดิไอเดนมากนัก นอกจากนี้ จักรวรรดิไอเดนก็ไม่ได้กักตุนอสุรกายเขี้ยวยักษ์ไว้เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจกับสวี่หลิงอวิ๋นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
หรือควรทำธุรกิจร่วมกับทั้งสองจักรวรรดิ?
เหตุผลที่สวี่หลิงอวิ๋นพูดถึงจักรวรรดิไอเดน เพราะเธอรู้ว่าจักรพรรดิเงือกและคนอื่น ๆ มีตัวเลือกมากมาย ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจักรวรรดิชิงเหย้าเพียงที่เดียว
แทนที่จะรอให้จักรวรรดิอื่นมาแย่งชิงธุรกิจ สู้พูดออกไปโดยตรงจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้จักรวรรดิอื่นและจักรพรรดิเงือกมาตามรังควานทีหลัง