ตอนที่ 429 ฟองเต้าหู้หม่าล่า
ตอนที่ 429 ฟองเต้าหู้หม่าล่า
“ข้อมูล?” เจียวหลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เธอทิ้งนามบัตรโรงแรมให้ด้วย เราน่าจะไปหาเธอได้?”
อวี้ซินพยักหน้า “โอเค เข้าใจแล้ว”
สวี่หลิงอวิ๋นพาแม่และเด็กทารกกลับมาที่เคทเลอร์ แทนที่จะพากลับไปยังที่พักของเธอ เธอมอบหน้ากากให้อีกฝ่าย เพื่อที่จะได้ปลอมตัวเป็นเอลฟ์
“เอ๊ะ?” หญิงสาวตกตะลึงเมื่อมองดูตัวเองในกระจก เธอหันกลับไปมองสวี่หลิงอวิ๋น “หน้าฉันเปลี่ยนไปได้ยังไงคะ?”
สวี่หลิงอวิ๋นยิ้ม “ฉันกำลังขาดพนักงานเสิร์ฟพอดี และคุณก็น่าจะเหมาะสม เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นผู้ฉลาด ฉันไม่อยากเห็นใครมารังแกคนอ่อนแอหรอกค่ะ!”
“ฉันเห็นว่าลูกของคุณหิว ก็เลยชงนมผงป้อนให้เขาไปแล้วค่ะ”
ชิงเย่นั่งยอง ๆ อยู่ที่หน้าประตูขณะกินโดยไม่พูดไม่จา เขาจะต้องหาทางกลับไปเอาแขนกลที่ตลาดมืดกลับมาให้ได้
แม้ว่ามันจะไม่ได้มีค่ามากนัก แต่ก็มีสูตรอาหารมากมายอยู่ข้างใน จะปล่อยให้คนขโมยไปไม่ได้ ถูกต้องไหม?!
เขากินฟองเต้าหู้หม่าล่าหมดไปคำใหญ่ ต้องบอกว่าฟองเต้าหู้หม่าล่านี่สุดยอดมาก!
แม้มันจะไม่ใช่อาหาร และเป็นเพียงขนมชิ้นเล็ก ๆ แต่ขนมนี้กลับเปลี่ยนปากอันเกียจคร้านของชิงเย่ไปตลอดกาล ยกเว้นเพียงตอนนอนเท่านั้น นอกจากนั้นปากของเขาแทบจะขยับเขยื้อนตลอดเวลา
ฟองเต้าหูหม่าล่าทำให้เขาติดใจมาก!
ไม่เพียงแต่ชิงเย่เท่านั้นที่ชอบ แม้แต่เสี่ยวอ้ายเองก็ยังชอบ!
เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่มากสติปัญญาของเขาค่อนข้างจะน่าเบื่อ และไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับขนม หากจะมีขนมสักอย่าง มันก็คงจะหนีไม่พ้นพวกขนมปังอบกรอบ ลูกกวาด อะไรทำนองนั้น
ไม่มีกลยุทธ์สูตรลับเอาเสียเลย
น่าเบื่อชะมัดยาก!
ชิงเย่คิดว่าสวี่หลิงอวิ๋นสามารถทำฟองเต้าหูหม่าล่านี้ขายได้!
ในขณะเดียวกัน นิตยสารด้านอาหารฉบับล่าสุดของแซกเกอร์ก็ถูกตีพิมพ์ออกมา
แฟนนิตยสารหรือนักกินผู้บ้าคลั่งที่เดินตามรอยเท้าของเขาเห็นว่าแซกเกอร์ได้ออกหนังสือมาอีกครั้ง พวกเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก!
“ไหนดูซิ! พระเจ้าช่วย! ไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?! ได้คะแนนเก้าจุดเก้าสิบเก้าเลยเหรอ?!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น นักอ่านผู้จงรักภักดีก็นึกว่าเขาตาฝาดไป!
นี่คือคะแนนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแซกเกอร์! คะแนนที่สูงที่สุดก่อนหน้านี้คือห้าคะแนนเท่านั้น!
“พิมพ์ผิดหรือเปล่า ทำไมคะแนนถึงสูงลิ่วขนาดนี้?” นักอ่านทั้งหลายรู้สึกไม่เชื่อสายตา พวกเขารีบส่งข้อความไปหาสำนักพิมพ์เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง
“เรื่องจริงครับ พวกเราตรวจสอบแล้ว พวกเราถึงกับไปถามคุณแซกเกอร์มาเป็นการส่วนตัว และเขาให้คะแนนเก้าจุดเก้าสิบเก้าครับ” บรรณาธิการของนิตยสารพูดต่อ “อันที่จริงคุณแซกเกอร์คิดจะให้คะแนนสิบคะแนนด้วยครับ แต่ถ้าเราไม่ห้ามเขาไว้ ตอนนี้พวกคุณคงจะได้เห็นคะแนนสิบคะแนนแล้วล่ะครับ”
นักอ่านถึงกับสติเลื่อนลอย พวกเขาอ่านนิตยสารเล่มนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับมองดูรูปภาพที่สวยงามตระการตา
พวกเขาไม่เคยเห็นอาหารพวกนี้มาก่อน
ไก่ย่างสีแดงเนื้ออมน้ำมันถูกจัดวางอยู่บนจานเดี่ยว ๆ ไม่จำเป็นต้องให้แซกเกอร์เขียนบรรยายด้วยซ้ำ เพราะแค่นี้ก็กระตุ้นความอยากอาหารของพวกเขามากแล้ว
ยังมีลูกชิ้นก้อนกลมโต และซุปพระกระโดดกำแพงที่ทำให้ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย อาหารพวกนี้ดูน่าอร่อยมาก!
อีกทั้งยังมีซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน และของอย่างอื่นอีก…มีอาหารหลายประเภทจนเต็มโต๊ะไปหมด และไม่ซ้ำกันแม้แต่เมนูเดียว
“…อย่างที่ทุกท่านรู้กัน ผมเดินทางท่องเที่ยวมาหลายที่แล้ว และได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมืองอันแสนวิเศษมามากมาย แต่กลับไม่มีอาหารจานไหนที่ทำให้ผมประทับใจเท่านี้มาก่อน”
“แต่สิ่งที่น่าพิลึกที่สุดคือไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้นที่ทำให้ผมตกใจ”
“สำหรับอาหารพวกนี้มีรสชาติเป็นยังไง ผมคงอธิบายพวกคุณมากไม่ได้หรอกครับ บอกได้แค่ว่าผมไม่เคยกินอาหารที่อร่อยแบบนี้มาก่อนในชีวิต ถ้าจะถามผมว่ารสชาติเป็นยังไง ผมขอแนะนำให้พวกคุณมาชิมเองดีกว่าครับ”
นักอ่านทั้งหลายถึงกับตกตะลึง อาหารแบบไหนที่ทำให้แซกเกอร์บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ รสชาติของมันจะเป็นอย่างไร? นักอ่านนับไม่ถ้วนวางนิตยสารลง ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงิน และเดินทางไปที่โรงแรมไห่เว่ย
สามารถเดินทางไปที่นั่นด้วยรถประจำทางหรือขับเหาะไป
ก้าวข้ามกาแล็กซีที่ทอดยาวออกไป ทะลุผ่านทางเชื่อมมิติ และมุ่งหน้าไปยังเคทเลอร์
บางทีสวี่หลิงอวิ๋นอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแซกเกอร์มีความสามารถในการประชาสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม เดิมทีร้านอาหารของเธอก็แทบจะรองรับแขกที่อยู่ภายในโรงแรมไห่เว่ยไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ยังมีลูกค้าจากกาแล็กซีอื่นอีก
และในที่สุด ‘ร้านอาหารแสนอร่อย’ ก็กลายเป็นจุดสนใจของทั่วทั้งเขตดาว
นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ดาราดังเท่านั้น แต่ยังมีพิธีกรจากรายการโทรทัศน์เดินทางมาชิมอีกด้วย
จอมพลเอเดนรู้สึกค่อนข้างปวดหัว
เดิมทีกิจการโรงแรมไห่เว่ยไม่ค่อยดีนัก แต่ตอนนี้กำลังอัดแน่นไปด้วยฝูงชน ความจริงต้องพูดว่ากิจการ ‘ร้านอาหารแสนอร่อย’ ของสวี่หลิงอวิ๋นค่อนข้างดีต่างหาก เพราะมีลูกค้าจำนวนมากมาย ในขณะที่ร้านอาหารอื่นกลับไม่ได้รับความสนใจสักนิด
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ปล่อยร้านอาหารอื่นไปเถอะค่ะ” คุณนายชาช่าพูดขึ้น “กิจการร้านอาหารแสนอร่อยกำลังเฟื่องฟู และถือว่าเป็นผลดีกับเราเหมือนกัน”
ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะได้รับคะแนนเสียงจากจอมพลทั้งห้าคนเพียงเพราะแลกกับโต๊ะอาหารตลอดหนึ่งเดือน?
และตอนนี้จอมพลพวกนั้นที่ได้กินอาหารก็กำลังโอ้อวดคนอื่นอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนจอมพลคนอื่นเริ่มนั่งไม่ติด
แม้แต่ในแวดวงการเมืองก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่แตกพรรคแตกพวกออกไป เพียงเพราะต้องการโต๊ะเพิ่มอีกสองสามโต๊ะ
“นี่เป็นสิ่งที่ต้องมีไว้นะคะ”
คุณนายชาช่าพูดทุกอย่างออกมา จอมพลเอเดนย่อมเห็นด้วยเป็นธรรมดา เขาลุกขึ้นและตัดสินใจไปหารือข้อตกลงกับสวี่หลิงอวิ๋น
พูดกันตามตรงว่าตอนนี้สวี่หลิงอวิ๋นไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโรงแรมไห่เว่ยก็ได้ เธอสามารถเปิดร้านอาหารได้ทุกที่
แขนกลจำนวนนับไม่ถ้วนทำงานอยู่หลังครัวอย่างขันแข็ง ชิงเย่ดั้นด้นไปค้นหาแขนกลที่ตลาดมืดกลับมาพร้อมกับความสิ้นหวัง
สวี่หลิงอวิ๋นไม่ได้โกรธเขา แต่กลับพูดให้เขารู้สึกโล่งใจแทน “ไม่เป็นไรหรอก ถึงพวกเขาจะได้แขนกลไปแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะเครื่องปรุงรสอยู่ที่ฉัน แต่คนอื่นไม่มี”
จิตวิญญาณของการทำอาหารคืออะไร? แน่นอนว่านอกจากวัตถุดิบแล้วยังมีเครื่องปรุงรสอีกด้วย…
นอกจากนี้ แขนกลที่ถูกทิ้งเอาไว้ยังไม่ได้มีข้อมูลลับอะไร นอกจากวิธีการทำบาร์บีคิว
และสิ่งสำคัญของบาร์บีคิวคืออะไร? แน่นอนว่าจะต้องเป็นเครื่องปรุงรส!
ชิงเย่รู้สึกโล่งใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร คำพูดถัดมาของสวี่หลิงอวิ๋นกลับทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะหยุดหายใจ!
“นายคิดว่าฟองเต้าหู้หม่าล่าอร่อยหรือเปล่า? พวกเรามาขายฟองเต้าหู้หม่าล่ากันดีไหม? ถ้านายคิดว่ามันขายได้ นายก็ไปเปิดโรงงานแล้วขายมันซะ และเอาส่วนแบ่งมาให้ฉันแปดสิบเปอร์เซ็นต์!”
ข้อเสนอนี้ดูเหมือนว่าสวี่หลิงอวิ๋นจะได้ส่วนแบ่งจำนวนมาก แต่อันที่จริงสวี่หลิงอวิ๋นเป็นคนจ่ายค่าตั้งโรงงานทั้งหมด สำหรับส่วนที่เหลือ ชิงเย่ก็แค่ลงมือทำต่อเท่านั้นเอง
และด้วยสถานะปัจจุบันของ ‘ร้านอาหารแสนอร่อย’ แค่เพียงเธออ้าปาก ร้านสะดวกซื้อจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะเข้ามาแย่งชิงเพื่อเป็นตัวแทนขายขนมของเธอแล้ว เช่นนั้นจะต้องพึ่งชิงเย่ไปทำไม?