ตอนที่ 449 เผ่ามนุษย์ในต้นไม้แห่งชีวิต
ตอนที่ 449 เผ่ามนุษย์ในต้นไม้แห่งชีวิต
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ถามคำถามนี้ แม้แต่องค์ชายใหญ่กับองค์ชายสามที่ฟื้นขึ้นมาก็จ้องมองพระราชวังที่ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกับป่าดิบชื้นด้วยสายตาว่างเปล่า และยังคงตกอยู่ในความสับสน
“พี่ใหญ่ หยิกข้าที นี่ข้ากำลังฝันไปหรือเปล่า?” ชายสามพึมพำขณะจ้องมองไปที่องค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่มองดูสถานการณ์ และหยิกชายสามตามคำขอ หลังจากที่ได้ยินเสียงครวญครางของอีกฝ่าย เขาก็พูดขึ้นว่า “ดูเหมือนจะไม่ใช่ความฝัน!”
ทั้งสองลุกขึ้นยืนและมองดูซากศพของโจรสลัดที่นอนตายเกลื่อนอยู่ด้านนอก สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในระยะเวลาอันสั้น?
ทำไมถึงมีโจรสลัดมากมายอยู่ที่นี่?
“โย่ ฟื้นขึ้นมาเร็วจังนะ? ไหน ๆ ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว องค์ชายทั้งสองตามเรามาทีซิ!”
สวี่หลิงอวิ๋นกอดอกมองดูองค์ชายทั้งสองที่เดินออกมาจากห้องบรรทมของจักรพรรดิเฒ่าด้วยความสับสน ยกยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีอะไรต้องพูดแล้วนะ องค์ชายล่ะ?”
องค์ชายใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “พวกเจ้าเป็นคนของชายรองเหรอ?”
“ถูกต้อง!” สวี่หลิงอวิ๋นเอียงหัวและพูดต่อ “ถ้าพูดให้ถูกต้อง เราเป็นหุ้นส่วนกันน่ะ!”
องค์ชายสามจ้องมองไปทางสวี่หลิงอวิ๋นและพูดว่า “เจ้าคือเจ้าของร้านอาหารแสนอร่อยใช่ไหม?”
สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า “ฉลาดมาก คือฉันเอง”
องค์ชายสามเงียบและไม่พูดอะไรต่อ
สิ่งที่เขาอยากจะพูดก็คือตอนนี้มีใครไม่รู้จักหน้าสวี่หลิงอวิ๋นบ้าง?
ใครก็ตามที่อยากจะสร้างความสัมพันธ์อันดีงามย่อมต้องจำหน้าของสวี่หลิงอวิ๋นได้อยู่แล้ว ถูกต้องไหม?
ขณะเดียวกันโอคาซีดึงโมยาตที่หมดสติไปเข้ามาไว้ข้างเธอ “เอาล่ะ ไปได้แล้ว”
ขั้นตอนต่อไปคือการให้อวี้ซินกับซินหยาเข้ามาจัดการเรื่องวุ่นวายนี้ต่อ
เปลือกตาขององค์ชายใหญ่กับองค์ชายสามกระตุกอย่างแรงเมื่อมองดูชายรองที่ถูกลากไปมาอยู่บนพื้น!
เอลฟ์พวกนี้โหดเหี้ยมเกินไปหรือเปล่า? ทำไมถึงได้โหดร้ายต่อชายรองที่เป็นหุ้นส่วนกันถึงขนาดนี้? ต่อให้พวกเขาจะดูเหมือนคนไร้การศึกษา แต่ก็ไม่ควรลากไปมาบนพื้นหรือเปล่า?
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะถูกคลี่คลายอย่างสมบูรณ์ เพราะหลังจากที่จักรพรรดิเฒ่าฟื้นขึ้นมา เขาก็บอกตำแหน่งที่ซ่อนแผนการทางทหารให้กับซินหยา และลาจากโลกไป
องค์ชายใหญ่กับองค์ชายสามถูกคุมขัง กระบวนการการฆาตกรรมจักรพรรดิเฒ่าของทั้งสองอยู่ภายใต้การกล่าวหาของจักรพรรดิเฒ่า และความจริงก็ปรากฏ
เรื่องราวของโจรสลัดที่ทำลายล้างเมืองหลวงเคทเลอร์เป็นที่สะดุดตามาก!
ครัวเรือนจำนวนนับไม่ถ้วนถูกทำลาย หากต้นไม้ลึกลับเหล่านี้ไม่ได้ออกมาโจมตีพวกโจรสลัด บางทีทั่วทั้งเมืองหลวงเคทเลอร์อาจจะตกอยู่ในเทศกาลนองเลือด!
[ไอ้พวกโจรสลัดสารเลว ทำไมจักรวรรดิไม่ส่งกองกำลังไปจัดการโจรสลัดพวกนี้ให้สิ้นซากในคราวเดียวซะเลยล่ะ?]
นี่คือเสียงกรีดร้องจากจิตวิญญาณของผู้คนนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงเคทเลอร์!
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าโจรสลัดบนดาวโจรสลัดดีแต่พูด และเอาแต่แสดงความเห็นใจเมื่อสิ่งมีชีวิตชาญฉลาดเผ่าพันธุ์อื่นต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายของพวกโจรสลัด
แต่เมื่อความชั่วร้ายที่แท้จริงประจักษ์ต่อหน้า จนต้องเฝ้าดูญาติพี่น้องและผองเพื่อนถูกโจรสลัดฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ความเคืองโกรธในใจจะไม่ปะทุขึ้นมาได้อย่างไร?
[ใช่ โจรสลัดพวกนั้นต้องถูกฆ่าตายให้หมด แล้วเกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้กันแน่?]
ท่ามกลางเสียงสาปแช่งโจรสลัด พวกเขายังกล่าวขอบคุณต้นไม้ดอกไม้ที่โดยปกติพวกเขามักจะชอบเหยียบย่ำตามใจชอบ ถ้าไม่ใช่เพราะต้นไม้พวกนี้ บางทีพวกเขาอาจจะต้องตายกันหมด!
[ฉันได้ยินคำพูดว่าคนทำเป็นเอลฟ์ล่ะ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะ?!]
[ผมมีเพื่อนเป็นองครักษ์ในวัง ว่ากันว่ามีแสงส่องแวววาวจากมือของเอลฟ์ทั้งสองตัวนั้น แล้วพวกต้นไม้ก็เริ่มโจมตีโจรสลัด]
[มีความเป็นไปได้ พวกคุณลองคิดดูสิว่าพวกเอลฟ์เกิดมาจากต้นไม้แห่งชีวิต พวกเขาอาจจะมีความสามารถในการควบคุมต้นไม้!]
ชาวเน็ตต่างคาดเดากันอย่างเมามัน แต่เอลฟ์ทั้งหลายที่อยู่ในจักรวรรดิเอลฟ์กำลังมึนงง พวกเขามีความสามารถที่ทรงพลังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
หากเอลฟ์อย่างพวกเขามีความสามรถที่ทรงพลังขนาดนี้ พวกเขาจะออกไปรับจ้างกันทำไม? แค่ใช้ต้นไม้ดักจับอสุรกายก็พอที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นมหาเศรษฐีได้แล้ว!
ทว่าเอลฟ์ทั้งหลายกำลังแสดงความคิดเห็นหักล้างในตอนท้าย!
[เอลฟ์เราไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้ จะต้องเป็นฝีมือของคนอื่น!]
เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ภูมิใจในตัวเอง พวกเขาจะไม่แบกรับความดีความชอบของคนอื่น!
เอลฟ์ตัวหนึ่งแสดงความคิดเห็น แต่ชาวเน็ตกลับคิดว่าพวกเขาเจียมเนื้อเจียมตัว
แต่แล้วเอลฟ์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ออกมาพูดแบบเดียวกัน ชาวเน็ตจึงตกอยู่ในความงุนงง!
ใครเป็นคนช่วยเหลือพวกเขา?
[ฉันรู้ ต้องเป็นพวกมนุษย์!] คอมเมนต์ดังกล่าวดึงดูดความสนใจของชาวเคทเลอร์จำนวนนับไม่ถ้วน!
[มนุษย์? ล้อกันเล่นเหรอ! คนอ่อนแอพวกนั้นจะช่วยเหลือเราได้ยังไง? โจรสลัดมีเยอะตั้งขนาดนี้!]
ไม่ได้มีเพียงชาวเน็ตคนเดียวที่ไม่เชื่อ แต่ชาวเน็ตทั่วทั้งโลกอินเทอร์เน็ตต่างไม่เห็นด้วยกับคอมเมนต์ดังกล่าว พวกเขาหัวเราะเยาะคนที่โพสต์ข้อความ และกล่าวว่าทำไปเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพวกเขา
ถึงแม้ว่าเคทเลอร์จะประกาศใช้กฎหมายยกระดับมนุษย์ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ทว่าการรับรู้ตลอดหลายปีผ่านมายังคงฝังแน่น ภาพสะท้อนจากเผ่าพันธุ์ชาญฉลาดที่มีต่อภาพลักษณ์ของเผ่ามนุษย์ดูเหมือนจะเป็นผู้ที่พิการทางจิตหรือผู้ที่อ่อนแออยู่เสมอ
[ผมไม่ได้พูดมั่วนะ เอาไว้หลังจากนี้พวกคุณจะได้รู้ความจริงกันเอง พวกมนุษย์ไม่ได้พิการทางสมอง เหตุผลที่พวกคุณคิดว่ามนุษย์พิการทางสมองเพราะมนุษย์ที่พวกคุณเห็นกันส่วนใหญ่จะถูกชนชั้นสูงกักกันสติปัญญาเอาไว้ ส่วนสติปัญญาที่แท้จริงของมนุษย์น่ะพวกคุณจะนึกไม่ถึงเลยเชียวล่ะ!]
อวี้ซินกับซินหยาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายจนหมดสิ้น
“หลังจากนี้นายจะต้องกลายเป็นจักรพรรดิของเคทเลอร์ นายจะต้องระวังให้มากกว่านี้ ระวังตัวให้ดี!” อวี้ซินพูดเตือน “แล้วถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อฉันมาได้ตลอด”
“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงไปครับ!” ซินหยาพูด แต่แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน “แต่ผมกำลังรู้สึกถึงหายนะของดาวโจรสลัด ลองคิดดูว่าถ้าโมยาตเป็นลูกชายขององค์หญิงแห่งดาวโจรสลัด และตอนนี้ผมได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิของเคทเลอร์แล้ว องค์หญิงคนนั้นจะย่องมาหาเงียบ ๆ หรือเปล่า?”
“เป็นไปได้ เราจะต้องง้างปากโมยาตให้สารภาพออกมาให้ได้!” อวี้ซินพูด “อีกอย่าง ทีหลังอย่าติดต่อฉันมาอีกล่ะ ถ้ามีอะไรก็บอกผ่านหุ่นยนต์นาโน”
“รับทราบครับ! วางใจได้!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ของโมยาตก็ดังขึ้น ซินหยาขโมยคอมพิวเตอร์เครื่องนี้มาจากโมยาต
ทำไมจู่ ๆ ก็ส่งเสียงดัง?!
มองดูตัวเลขที่อยู่บนหน้าจอ ดูแปลกมากเลยแฮะ!
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่อวี้ซินจะทำมือให้เขารับสาย
ซินหยาตอบรับสายสนทนาทางวิดีโอ
หญิงสาวที่ดูมีอายุมากกว่าห้าสิบปีปรากฏขึ้นต่อหน้าซินหยา
“โมยาต แกทำให้ฉันผิดหวังมากนะ!” หญิงสาวพูด “ไหนแกบอกว่าพอได้เป็นจักรพรรดิแห่งเคทเลอร์แล้ว แกจะเปิดการค้าขายระหว่างเคทเลอร์กับดาวโจรสลัดไง จะกลับคำพูดงั้นเรอะ?!”
“ถ้างั้น แกจะไม่มีวันได้รู้ตำแหน่งที่ตั้งของเผ่ามนุษย์ในต้นไม้แห่งชีวิตในตำนาน!”