ตอนที่ 453 ต้นไม้แห่งชีวิตกำลังจะตาย!
ตอนที่ 453 ต้นไม้แห่งชีวิตกำลังจะตาย!
“ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!”
พลังงานที่ต้นไม้แห่งชีวิตจำเป็นต้องมีนั้นมีจำนวนมหาศาลเกินไป ไม่สามารถพึ่งพาสวี่หลิงอวิ๋นเพียงคนเดียวได้!
เสี่ยวอ้ายมองดูสีหน้าของสวี่หลิงอวิ๋นที่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความวิตกกังวล
โอคาซีเองก็รีบป้อนพลังดวงดาวของเขาเข้าไปเช่นกัน พยายามจะบรรเทาความกดดันของสวี่หลิงอวิ๋น
ทว่าเท่านี้ยังไม่พอ!
ควรจะทำอย่างไรดี?
ต้นไม้แห่งชีวิตทั้งสองต้นรีบยื่นเถาวัลย์ออกมาพันเข้ากับร่างกายของมัน และเริ่มป้อนพลังงานเช่นกัน
เสี่ยวอ้ายรู้สึกร้อนรน ไม่รู้ว่าทำผิดอะไร?
ต้นไม้แห่งชีวิตทั้งสองต้นพบว่าการป้อนพลังงานอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะยังขาดแรงศรัทธา เพราะฉะนั้นพลังงานเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนปุ๋ยเคมีที่สามารถกระตุ้นได้เพียงภายนอกเท่านั้น ไม่อาจกระตุ้นจากภายในได้…
สวี่หลิงอวิ๋นรับรู้ปัญหาในตอนนี้เช่นกัน ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ห้วงดวงดาวซึ่งถูกต้นไม้แห่งชีวิตของเธอกับโอคาซีห่อหุ้มเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
ผู้คนที่นี่อาศัยอยู่อย่างสงบสุขและไร้ความกังวล วิกฤตครั้งใหญ่ของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับราชาเอเลี่ยนระดับสิบดาว การไม่มีความภูมิใจในตนเอง การเจ็บปวดกับความยากลำบาก ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณต้นไม้แห่งชีวิตที่กำลังจะตายลง
ต้นไม้แห่งชีวิตทุ่มเทให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในห้วงดวงดาวมากเกินไป! และถ้าตอนนี้มนุษย์ยังไม่รู้อีกว่าความสุขของพวกเขามาจากต้นไม้แห่งชีวิต สวี่หลิงอวิ๋นคงจะรู้สึกว่าเธอติดหนี้มันก้อนโต!
เธอจึงตั้งกล้องถ่ายทอดสด
องค์หญิงสามถ่ายทอดสดอีกครั้งจริงเหรอ?! สิ่งนี้ทำให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่เพิ่งเดินออกมาจากชั้นใต้ดินตกตะลึง!
แต่เนื่องจากองค์หญิงสามเริ่มถ่ายทอดสดในช่วงเวลาสำคัญ นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
เรื่องนี้จะต้องสนุกแน่!
พันล้านคน หมื่นล้านคน แสนล้านคน…ชายหญิงและเด็กน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาในห้องถ่ายทอดสดของสวี่หลิงอวิ๋น
ท่าทางการแสดงออกของสวี่หลิงอวิ๋นดูจริงจังมาก และพบเห็นได้ยากในสายตาของชาวเน็ต
โดยปกติแล้วสวี่หลิงอวิ๋นจะดูไม่ค่อยสนใจไยดีอะไรมากนัก ตอนนี้จึงเป็นเหมือนนักแสดงตลกที่ผันมาเล่นละครประวัติศาสตร์ ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
[องค์หญิงสาม เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรงั้นเหรอ?]
[มีผู้บุกรุกมาอีกแล้วใช่ไหม?!]
นั่นคือเหตุผลเดียวที่พวกเขาคิดได้! นอกเหนือไปจากเหตุผลนี้ พวกเขาไม่อาจคิดหาเหตุผลอื่นที่จะทำให้องค์หญิงผู้ไม่เกรงกลัวอะไรแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมาได้อีก
[หรือว่าไม่ใช่?! องค์หญิงสามท่านพูดออกมาเลย! ถ้าปล่อยให้พวกเราเดา คงเดากันไม่ถูกสักที!]
สวี่หลิงอวิ๋นมองดูคอมเมนต์ที่ลอยเข้ามาราวกับก้อนเมฆสีดำ จากนั้นจึงแพลนกล้องไปที่ต้นไม้แห่งชีวิตที่กำลังเหี่ยวเฉาอยู่บนฝ่ามือของเธอ
“เห็นต้นกล้าจิ๋วกันไหม?!” สวี่หลิงอวิ๋นถามขึ้น
[เห็น! ก็แค่ต้นกล้าธรรมดาไม่ใช่เหรอ? มันน่าแปลกตรงไหน?]
[เป็นพันธุ์หายากหรือเปล่า? องค์หญิงสาม ทักษะการปลูกต้นไม้ของท่านไม่ค่อยดีนะพ่ะย่ะค่ะ!]
[นักพฤกษาศาสตร์คนไหนเข้ามาดูที องค์หญิงสามกำลังเป็นห่วงต้นไม้!]
ชาวเน็ตไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร พวกเขายังคงพูดหยอกล้อ ช่วงเวลาวิกฤตที่เพิ่งคลี่คลายลง มันคงยากที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง พวกเขาต้องการเวลาผ่อนคลาย!
[หุบปากเดี๋ยวนี้! องค์หญิงสามคงอยากจะพูดอะไรบางอย่างแน่! ฮึ่ม! องค์หญิงสามของเราเป็นคนโง่ที่ไหน จะมาถามเรื่องวิธีปลูกต้นไม้กับพวกคุณไปทำไม?!]
[ใช่ ๆ! หัวหน้าของพวกเราฉลาดมาก เป็นทั้งนักเรียนเกษตรกรรม แถมยังปลูกต้นกล้าจิ๋วด้วยไม่ใช่เหรอ? แล้วจะปลูกต้นไม้ไม่เป็นได้ยังไง? จะต้องมีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดแน่!]
…
ทุกคนยังคงคาดเดา ขณะที่สวี่หลิงอวิ๋นปิดกล่องแสดงความคิดเห็น จากนั้นเธอก็ยกต้นขึ้นเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็น “พวกคุณเดาซิว่านี่คืออะไร?”
[คืออะไร? ก็แค่ต้นกล้าธรรมดาทั่วไปไม่ใช่เหรอ?]
นี่คือคำถามที่ทุกคนเอ่ยถาม มีอะไรน่าประหลาดใจนักหนา!
สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว “นี่ไม่ใช่ต้นกล้าธรรมดา มันคือต้นไม้แห่งชีวิต ต้นไม้แห่งชีวิตที่คอยคุ้มครองพวกเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
[อะไรนะ?! ต้นไม้แห่งชีวิต?! ไม่น่าใช่นะ!]
มันดูเหี่ยวเฉามากจนไม่สามารถบอกได้ว่าต้นกล้าจิ๋วนี้คือต้นไม้แห่งชีวิต!
ทุกคนก็รู้ว่าต้นไม้แห่งชีวิตครอบคลุมห้วงดวงดาวของพวกเขาเอาไว้ทั้งหมด มันควรจะมีขนาดใหญ่มาก แต่ทำไมถึงมีขนาดเล็กกระจิริดขนาดนี้?!
[ผมคิดว่าองค์หญิงสามคงทำอะไรผิดพลาดไปใช่ไหม?]
นี่คือคำถามจากทุกคน
สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว “นี่คือต้นไม้แห่งชีวิต สาเหตุที่มันเหี่ยวเฉาก็เพราะว่ามันคอยปกป้องมนุษย์เรามายาวนาน สูญเสียสติปัญญา และสูญเสียแหล่งพลังงาน มันค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงทุกวันจนบาเรียเริ่มพังลง และในตอนนั้นแหละที่อสุรกายร้ายบุกรุกเข้ามา”
“อันที่จริงฉันคิดมาตลอดว่าหนึ่งพันปีมานี้ ศักยภาพของต้นไม้แห่งชีวิตคงจะอ่อนล้ามาก พวกเอเลี่ยนถึงได้ค้นพบช่องโหว่และบุกเข้ามาที่นี่”
สวี่หลิงอวิ๋นถอนหายใจและมองดูชาวเน็ตทั้งหลายอย่างใจเย็น “พวกคุณคงสงสัยว่าทำไมฉันกับโอคาซีถึงหายไปนาน? ที่จริงเราไปเขตดาวต่างแดนมา และได้เห็นอารยธรรมที่แตกต่าง”
“รู้ไหมว่าทำไมบรรพบุรุษของพวกเราถึงล้อมเราเอาไว้ในต้นไม้แห่งชีวิต?” สวี่หลิงอวิ๋นพูด “คิดไม่ออกใช่ไหม? พวกคุณคงคิดว่าเราเป็นเจ้าแห่งจักรวาล แต่ที่เขตดาวข้างนอกนั่น พวกเราเป็นแค่หมาจรจัดที่ต้องหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ข้างในนี้ พวกเราซ่อนตัวอยู่ในบ้านอันแสนสุขภายในต้นไม้แห่งชีวิต”
“รู้ไหมว่าเผ่ามนุษย์ในเขตดาวต่างแดนอาศัยอยู่กันยังไง?” สวี่หลิงอวิ๋นถาม
ชาวเน็ตนั่งฟังคำพูดที่จริงจังของสวี่หลิงอวิ๋น พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมนุษย์ในเวลานี้ แต่จากที่ฟังดูแล้วมนุษย์ข้างนอกนั่นดูท่าไม่ดีนัก คงจะเป็นช่วงเวลาที่สังเวชน่าดู
[เป็นทาสเหรอ?]
[เป็นข้ารับใช้ที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ?]
[เป็นคนขุดแร่หรือเปล่า?]
…
นี่คือชีวิตที่สังเวชมากที่สุดเท่าที่ชาวเน็ตจะคิดได้ พวกเขาพิมพ์ข้อความลงบนหน้าจออย่างระมัดระวัง
สวี่หลิงอวิ๋นเปิดอ่านคอมเมนต์ เธอมองดูคำตอบต่าง ๆ และส่ายหัว
“ไม่ใช่! พวกคุณเดาผิดกันหมด!”
“คุณค่าของเผ่ามนุษย์นั้นสูงมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่เราถูกสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาประเภทอื่นจับตัวไป เราจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องดื่มอีก คนที่ถูกจับกุมถึงกับพูดออกมาเองว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเสื้อผ้าและอาหารอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีที่ให้อยู่อาศัย”
ชาวเน็ตทั้งหลายตกตะลึง
สภาพแบบนั้นจะเรียกว่าชีวิตที่น่าสังเวชได้อย่างไร? แต่คำว่า ‘จับ’ หมายความว่าอย่างไรกันแน่?!
ชาวเน็ตต่างพากันคาดเดา ครุ่นคิดเหตุผลหลายประการ แต่กลับไม่มีใครพิมพ์ข้อความออกมา
สวี่หลิงอวิ๋นถอนหายใจ “พวกเราเป็นสัตว์เลี้ยงก็เลยไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้ากับอาหาร!”
[อะไรนะ?! หูฝาดไปหรือเปล่า! สัตว์เลี้ยงคือยังไง?!]
[ฉันก็ด้วย ไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม? ได้ยินไม่ชัดเลย เหมือนจะมีอะไรผิดไปรึเปล่า!]
[จะไปเป็นสัตว์เลี้ยงได้ยังไง? มนุษย์เราเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ไหน?! พวกเราเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาไม่ใช่เหรอ?!]
[บ้าฉิบ! ถ้าไอ้สารเลวตัวไหนจับผมไปเป็นสัตว์เลี้ยง ผมจะทุบพวกมันให้หมด!]
[สัตว์เลี้ยงที่พูดถึงคือความหมายเดียวกันกับที่ฉันเข้าใจใช่ไหม?!]