ตอนที่ 479 เดินเล่นไปรอบ ๆ
ตอนที่ 479 เดินเล่นไปรอบ ๆ
“เพิ่งจับคลื่นสัญญาณได้ครับ อีกไม่นานยานอวกาศหลายลำจะมุ่งหน้ามาโจมตีเรา”
โอคาซีรายงานสถานการณ์ให้สวี่หลิงอวิ๋นรับรู้
“โอ้…จริงเหรอคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นหยักหน้า มองดูโอคาซีและพูดต่อ “ท่านคิดว่าพวกนั้นจะพากองกำลังมาอีกเท่าไหร่คะ?”
“ไม่มากก็น้อยครับ แต่อย่างน้อยพวกนั้นน่าจะมีศักยภาพสูง” โอคาซีพูด “พวกนั้นก็รู้ว่าเรามีอสุรกายสิบห้าดาวขึ้นไปมากกว่าห้าร้อยตัว แต่ก็ยังกล้าส่งกองทัพออกมา นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องมั่นใจพอสมควร ผมว่าครั้งนี้เราควรหลีกเลี่ยงนะครับ”
สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า “ท่านพูดถูกค่ะ พวกเราควรถอยออกมาเพื่อความปลอดภัย”
ขณะเดียวกันเสี่ยวอ้ายกับบอนาร์กำลังนั่งฟัง “โฮ่ง! พวกเราเรียกพวกอสุรกายมาเพิ่มให้ได้นะ!”
“เรียกได้เหรอ? ตอนนี้ก็มีเยอะแล้วนะ”
“เรียกได้สิ ยังมีอสุรกายอีกมากมายที่พวกท่านไม่รู้จัก”
“อีกอย่างพวกเราก็มีต้นไม้แห่งชีวิตแล้วไม่ใช่เหรอ? แค่พละกำลังของต้นไม้แห่งชีวิตก็พอจะช่วยเราจัดการได้แล้ว”
สวี่หลิงอวิ๋นโบกมือและพูดว่า “แต่ฉันไม่มีเมล็ดเถาวัลย์งูแล้ว หว่านมันทิ้งไว้จนถึงตรงนั้นหมดแล้ว”
“นายท่านไม่ต้องใช้เมล็ดเถาวัลย์งูหรอก พวกเราจัดการยานรบนั่นได้”
เมื่อเสี่ยวอวิ๋นกับเสี่ยวโอได้ยินว่าสวี่หลิงอวิ๋นไม่มีเมล็ดเถาวัลย์งู และรู้สึกราวกับพวกมันไม่สามารถทำหน้าที่ได้ พวกมันจึงรีบค้านขึ้นมาทันที
ต้นไม้แห่งชีวิตอย่างพวกมันคืออะไร? เจ้าแห่งจักรวาล! พอไม่มีเถาวัลย์งูที่คอยแอบอิงบารมันของมัน แล้วมันจะกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวหรือไง?
“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันไปบอกว่าพวกแกขี้ขลาดตอนไหน?” สวี่หลิงอวิ๋นโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า และรีบพูดอธิบายให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเข้าใจก่อนจะขุ่นเคืองกัน
“ฉันหมายความว่าในเมื่อพวกเรามาสนุกกัน งั้นก็มาสนุกให้สุด ๆ กันไปเลยเถอะ! พวกนั้นกำลังมาสกัดกั้นเรา เราจะรอให้มันมาสกัดกั้นหรือไง? เราก็ควรเล่นอะไรที่แตกต่างไปสิ!”
สวี่หลิงอวิ๋นดีดนิ้ว “มาเถอะ ออกเดินทางกันอีกครั้ง ไปเดินเล่นรอบจักรวรรดิพวกนั้นกัน ดูว่าไอ้สารเลวหน้าไหนจะเก่งกล้ามาสร้างปัญหาให้กับเผ่ามนุษย์อีก!”
“เยี่ยม! องค์หญิงสามพูดถูก!”
“องค์หญิงสามฉลาดมาก ก็แค่อยากจะทำให้พวกนั้นประหลาดใจสินะ!”
“วิธีนี้เจ๋งไปเลย พวกเราชอบมาก!”
…
ผู้ใต้บัญชาทั้งหลายของสวี่หลิงอวิ๋นปรบมือ และร้องตะโกนเสียงดัง ราวกับเธอได้สร้างเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้หญิงคนนี้กำลังแบกรับประโยคที่ว่า ‘พวกคุณตาถึงมาก’
โอคาซีชอบการแสดงออกที่สุดแสนจะน่ารักของเธอ และอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปสัมผัสเรือนผมนุ่ม
สวี่หลิงอวิ๋นยิ้มออกมา ในเมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ไปกันเถอะ
ยานรบอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้เดินทางมาถึงพิกัดของสวี่หลิงอวิ๋น ขณะที่เธอสะบัดก้นหนีไปพร้อมกับอสุรกายกว่าห้าร้อยตัว
ในไม่ช้ายานรบพวกนี้ก็ได้รับคลื่นสัญญาณความทุกข์จากจักรวรรดิอีกครั้ง
จักรพรรดิแห่งจักวรรดิจื่อจินกำลังโกรธแทบบ้า ตอนนี้เขาได้แสดงบารมีอันยิ่งใหญ่ด้วยการออกคำสั่งให้จัดการเผ่ามนุษย์ของสวี่หลิงอวิ๋น และทุบตีให้เจ็บหนัก
ทุกคนเดินทางมาถึงพร้อมกับอสุรกาย
ทว่าคราวนี้พวกเธอไม่ได้บุกเข้าไปโจมตีที่เมืองหลวง เพราะว่าเมืองหลวงถูกรังควานมากพอแล้ว พวกเธอมุ่งหน้าไปที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีความเจริญรุ่งเรือง ก่อนจะสร้างความหายนะและจากไป
ประชากรในจักรวรรดิจื่อจินรู้สึกทุกข์ทรมาน ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา
ได้แต่มองดูผู้หญิงคนนั้นปรากฏกายขึ้นมาบนวิดีโอของพวกเขาอีกครั้ง ส่งเสียงเอะอะโวยวายอย่างอวดดี
“โย่ ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอพวกคุณเร็วขนาดนี้!” หญิงสาวในวิดีโอนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างโอหัง ดวงตาแสดงถึงความยั่วยุ “ได้ความมาว่าจักรพรรดิของพวกคุณออกคำสั่งให้กำจัดเผ่ามนุษย์ และสั่งสอนบทเรียนให้กับพวกมนุษย์งั้นเหรอ?”
เธอปรบมือและพูดอย่างชื่นชมว่า “เป็นพระกรุณาจังที่ได้รับความสำคัญจากจักรวรรดิของพวกคุณ ต้องขอบคุณท่านจักรพรรดิด้วยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งการของเขา ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องมานั่งเสียดายที่ไม่ได้มาหาหรือเปล่า ส่วนตอนนี้ถึงเวลานึกถึงพระกรุณาของท่านจักรพรรดิของพวกคุณแล้วล่ะ!”
“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าจักรวรรดิของพวกคุณจะถูกเราทำลายเกือบหมดแล้ว เราคงต้องไปที่อื่นบ้างแล้วล่ะ!” หญิงสาวโบกมือลาและกำลังจะปิดวิดีโอไป แต่จู่ ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างออก
“อ๊ะ ใช่แล้ว พวกเรายินดีให้พวกคุณยั่วโมโหเราอีกนะ พูดตรง ๆ เลยแล้วกัน เพราะเมื่อไหร่ที่คุณยั่วโมโหพวกเราอีก เราก็จะมาเล่นเกมกระชับมิตรที่นี่อีก!”
คำพูดดังกล่าวเปรียบดังมีดแหลมคม
ก่อนหน้านี้นักธุรกิจทั้งหลายในจักรวรรดิจื่อจินกังวลว่าพวกเขาจะไม่มีที่ให้ระบายความสูญเสีย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าจักรพรรดิคือผู้ยั่วยุให้เกิดความวุ่นวาย และเขาจะต้องรับผิดชอบ
ถ้าไม่ไปยั่วโมโหพวกมนุษย์ คนพวกนั้นคงไม่สนใจอะไร
และตอนนี้สงครามกลางเมืองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
[จักรพรรดิต้องชดใช้ความเสียหายให้พวกเรา! ถ้าท่านไม่ไปยั่วโมโหมนุษย์ เราจะได้รับความเสียหายแบบนี้เหรอ?]
[คราวนี้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึงหนึ่งร้อยล้านเหรียญทองคำอินทนิล ท่านต้องออกมาจัดการ!]
[ญาติพี่น้อง รวมถึงเพื่อนฝูงของฉันต้องมาตายลงในครั้งนี้ ท่านจักรพรรดิจะออกมาพูดหรือยังว่าจะแก้ไขยังไง?]
[จักรพรรดิลงมาซะ! ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราจื่อจินจะต้องทุกข์ทรมานกับการสูญเสียแบบนี้เหรอ!]
[ลงมา! ลงมา! ลงมา!]
…
จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อจินยังคงนั่งอยู่ในพระราชวัง หากให้พูดตามตรง ตอนนี้เขานั่งอยู่ในเต็นท์ขนาดเล็กบนซากปรักหักพัง
แน่นอนว่าเขาเห็นโพสต์แสดงความคิดเห็นของชาวเน็ต และรู้สึกโกรธมาก
“ไอ้พวกสารเลว! ทีตอนไปจับมนุษย์ไม่เห็นพวกมันเป็นแบบนี้เลย ตอนนี้จะมาคิดบัญชีกับข้าเนี่ยนะ ตลกเป็นบ้า!”
สวี่หลงอวิ๋นไม่สนใจว่าพวกเขาจะพบกับเหตุการณ์ร้ายแรงแบบไหน พวกเธอมุ่งหน้าไปจักรวรรดิอื่นและสร้างความหายนะต่อไป
ยานรบทั้งหลายได้มุ่งหน้ามาถึงเหนือน่านฟ้าของจักรวรรดิจื่อจินอีกครั้ง ในขณะที่สวี่หลิงอวิ๋นหนีไปแล้ว ทำให้พวกเขาต้องไล่ตามอย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง
“บัดซบ! ปล่อยให้พวกมันหนีไปได้อีกแล้ว พวกมันมีตาทิพย์หูทิพย์หรือไง? ทำไมหนีไปเร็วขนาดนี้? ทุกครั้งที่เรามาถึง มันจะหนีไปก่อนตลอด!”
“น่าจะมีคนทรยศอยู่ในกลุ่มพวกเรา!”
ผู้คนจากจักรวรรดิเซียร์มองดูคนจากจักรวรรดิจื่อจิน และพูดว่า
“ท่านหมายความว่ายังไง? คิดว่าเราเป็นคนปล่อยข่าวงั้นเหรอ? อย่าลืมสิว่าจักรวรรดิจื่อจินประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ ถ้าจะให้พูดถึงสายลับ ผมคิดว่าท่านคงเหมาะสมที่สุด!” ผู้คนจากจักรวรรดิจื่อจินโมโหสุดขีดเมื่อเห็นสายตาของผู้บัญชาการจากจักรวรรดิเซียร์
“จักรวรรดิเซียร์ของพวกท่านมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี อาจจะส่งสัญญาณออกไปในตอนที่เราไม่ได้สนใจก็ได้!”
“มีใครไม่รู้บ้างว่าจักรวรรดิจื่อจินรักเงิน บางทีอาจจะมีคนเอาเงินมาให้ พวกคุณเลยคิดทรยศต่อประเทศชาติก็ได้ ไม่น่าใช่เรื่องแปลกในจักรวรรดิจื่อจินหนิ!”
ทั้งสองจักรวรรดิเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง
ในขณะที่อวี้ซินเดินทางออกมาจากจักรวรรดิดวงดาว เตรียมขับยานไปที่เมืองหลวงเคทเลอร์
เนื่องจากมีสหายร่วมรบอยู่กับเขาหลายคน นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์
ตอนนี้พวกเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องทำงานหนักอีกต่อไป พวกเขาสามารถออกจากสถานที่อันตรายและกลับมายังบ้านหลังใหม่ของพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ