บทที่ 132 การลักพาตัวอย่างโจ่งแจ้ง
บทที่ 132 การลักพาตัวอย่างโจ่งแจ้ง
วันนี้อาหารเช้าบนโต๊ะมีมากมาย ทั้งจานเนื้อสองจาน จานผักสองจาน แต่สิ่งที่ทำให้ถังหว่านประหลาดใจที่สุดคือเค้กอีกสองจานซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ
จานเค้กแต่ละจานมีเค้กอยู่หกก้อน รวมเป็นสิบสองก้อน ซึ่งเค้กเหล่านี้มีลักษณะของนักษัตรจีน
“ว้าว สวยจังเลย!”
ถังเหมียวเหมี่ยวมองดูหนู วัว เสือ กระต่าย มังกร งู ม้า แกะ ลิง ไก่ สุนัข และหมูบนจาน ก่อนจะปรบมืออย่างตื่นเต้นและอุทานออกมา
เค้กนักษัตรจีนเหล่านี้มีสีแตกต่างกัน พวกมันดูมีสีสันที่สวยงามมาก
โจวอี้เดินเข้าไปในห้องอาหาร ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เค้กเหล่านี้ไม่เพียงแต่สวยงามนะ แต่ยังอร่อยอีกด้วย เหมียวเหมี่ยวชอบสัตว์ตัวเล็ก ๆ ตัวไหนก็ลองชิมพวกมันเลย!”
“หนูชอบกระต่าย” เมื่อถังเหมียวเหมี่ยวพูดจบ ใบหน้าที่บอบบางและน่ารักของเธอก็แสดงอาการยุ่งเหยิงและลังเล “แต่กระต่ายน้อยน่ารักมาก เหมียวเหมี่ยวไม่อยากกินมัน!”
“…”
โจวอี้จึงพ่ายแพ้ด้วยเหตุนี้
7:30 น. รถตู้จอดอยู่นอกลานวิลล่า
เหลียงเสี่ยวปู้และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสามคนรีบเดินเข้ามาในวิลล่า พวกเขาทักทายถังหว่าน จากนั้นภายใต้คำสั่งของโจวอี้ พวกเขาก็ช่วยย้ายกล่องเก็บอุหณภูมิเข้าไปในรถตู้ทีละกล่อง
โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเหิงปางซื่อ
เฉินซานจินเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงเรียนอนุบาลนี้ และเนื่องจากเขาเคยอยู่ในหน่วยรบพิเศษมาก่อน เขาจึงรับตำแหน่งรองกัปตันทีมรักษาความปลอดภัย
วันนี้เขาอารมณ์ดีเพราะเขาได้พบกับครูสาวสวยในโรงเรียนเมื่อเขาไปนัดบอด และอีกฝ่ายก็พอใจเขามากด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้มันช่างสวยงามเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม
เมื่อรถตู้จอดที่ประตู ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา รอยยิ้มของเขาค่อย ๆ จางลง และการแสดงออกของเขาก็ถึงกับแข็งค้าง
คนคนนี้อีกแล้ว!
ทุกครั้งที่เฉินซานจินคิดถึงการพบกันครั้งแรกของเขากับโจวอี้ รอยยิ้มอันน่าสยดสยองและความสามารถแปลก ๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งก็ทำให้เขารู้สึกกลัว
คนคนนี้มักจะยิ้มเหมือนแกะที่อบอุ่น แต่แท้จริงแล้วคือหมาป่าที่ห่มหนังแกะ!
“อ้าว เข้าเวรอีกแล้วเหรอ” โจวอี้ยิ้มทักทายก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาแล้วยื่นให้เขา “สักมวนไหม?”
“อ…อ่า ไม่ ไม่ ผมไม่ ขอบคุณ คุณโจว” เฉินซานจินหัวเราะแห้ง ๆ
“ช่างเถอะ เปิดประตูให้เราหน่อย ในรถมีบางอย่างที่ต้องเอาเข้าไปส่งในโรงเรียน” โจวอี้กล่าว
“มันคืออะไร?” เฉินซานจินระแวง
“มันคือ…”
โจวอี้ยังพูดไม่ทันจบ เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาข้างหลังก็ดึงดูดความสนใจของเขาไปทันที
“ช่วยด้วย! อย่าพาลูกฉันไป…”
โจวอี้หันกลับไปมองข้างทางแล้วก็พบว่ามีชายหนุ่มสองคนสวมโค้ทหนังสีดำกำลังคว้าตัวเด็กออกมาจากแขนของหญิงสาว ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถตู้ที่อยู่ไม่ไกล โดยมีเด็กชายอายุราวสี่ห้าขวบอยู่ในอ้อมแขน
ลักพาตัวเด็ก?
กลางวันแสก ๆ ใครมันกล้าได้กล้าเสียขนาดนี้
โจวอี้รีบวิ่งไปที่รถตู้ เมื่อผ่านเหลียงเสี่ยวปู้ไป เขาก็ตะโกนขึ้นว่า “เสี่ยวปู้ ส่งเหมียวเหมี่ยวเข้าไปในโรงเรียนให้ครูใหญ่ได้เลย”
“ได้!”
เหลียงเสี่ยวปู้เองก็เห็นเหตุการณ์เช่นกัน แต่เมื่อเขาได้ยินคำสั่งของโจวอี้ เขาก็ไม่ได้ไล่ตามพวกโจรไป
เวลานี้โจวอี้ไม่เพียงไล่ตามรถตู้ที่วิ่งอยู่เท่านั้น แต่ยังมีผู้ปกครองที่เป็นผู้ชายหลายคนที่มาส่งลูกเข้าโรงเรียนช่วยกันไล่ตามอีกด้วย และแม้แต่เฉินซานจินและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนก็ไล่ตามรถตู้มา
“ช่วยลูกชายฉันด้วย ช่วยพาลูกชายของฉันกลับมาด้วย! ฮือฮือ…” แม่ของเด็กที่ถูกอุ้มไปไล่ตามไปข้างหน้าได้ไม่นานก็ล้มลงกับพื้นเพราะสวมรองเท้าส้นสูงที่ไม่มั่นคง
โจวอี้เร็วมาก เขาเร็วจนเกือบทำลายสถิติความเร็วของนักกีฬาเหรียญทองแล้ว แต่รถตู้นั้นย่อมเร็วกว่า และเมื่อเห็นว่าระยะห่างระหว่างเขากับรถไกลออกจากกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงตัดสินใจพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วที่แท้จริง
ทว่าอึดใจถัดมา เขาก็พบว่ารถตู้ที่อยู่ข้างหน้าเลี้ยวขวาที่สี่แยก และข้างหน้าเขาอีกสิบเมตรมีซอยเล็ก ๆ ที่เลี้ยวไปทางขวา
วินาทีต่อมา โจวอี้ก็เข้าไปในตรอกได้แล้ว
ในตรอกนี้มีซอกซอยเล็ก ๆ ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง และเส้นทางก็ค่อนข้างซิกแซกคดเคี้ยว
โจวอี้ไม่ได้วิ่งลัดเลาะไปตามเส้นทางของตรอก แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา เขาได้ปีนข้ามกำแพง เหยียบขึ้นไปบนหลังคา และขนาบข้างไปทางขวาในแนวทแยง
“นั่น!”
เมื่อโจวอี้มาถึงถนนสายหลัก เขาก็บังเอิญเห็นรถตู้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น เขาก็คว้าอิฐสีแดงครึ่งก้อนมาระหว่างทาง ก่อนจะพุ่งเข้าประชิดรถตู้และทุบที่กระจกฝั่งผู้โดยสารจนแตกกระจาย
“หยุด!”
ชายหนุ่มคำรามด้วยความโกรธ เขาจับขอบหน้าต่างด้วยมือของเขา ภายใต้พละกำลังอันมหาศาล เขาบังคับดึงรถตู้ให้ออกจากทิศทางการขับขี่และชนเข้ากับเสาข้างถนนโดยตรง
โจวอี้ปล่อยมือของเขาออกเมื่อรถตู้ชนเสา และรีบกระชากประตูข้างรถตู้ให้เปิดออก ก่อนจะเห็นชายสองคนล้มลง จากนั้นเขาก็คว้าตัวเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้มาไว้ในอ้อมแขนทันที
“ไอ้บ้าเอ๊ย แกทำอะไร!” ชายผู้ที่เคยอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนเปิดประตูอีกฝั่งด้วยเท้าของเขาแล้วออกมาจากรถ พลางชี้ที่โจวอี้อย่างโกรธเคือง
“ปัง…”
โจวอี้ขี้เกียจเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระกับอีกฝ่าย เขาถีบชายคนนั้นออกไปให้พ้นทาง
อีกสามคนก็รีบออกมาจากรถ สองในสามคนเหล่านั้นมีหน้าผากบวมแดงและมีรอยเลือด
“ไปเอาเด็กคืนมา” ชายผู้ถูกถีบล้มลงกับพื้นลุกขึ้นมาพร้อมกับคำรามด้วยความโกรธ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายทั้งสามก็พุ่งเข้าหาโจวอี้ทันที
ตุบ ตุบ ตุบ….
โจวอี้อุ้มเด็กที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนและยังคงโจมตีออกไป ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที โจวอี้ก็เตะทั้งสามคนล้มลงอย่างง่ายดายและพวกเขาก็สลบไป
“แกนี่มันสมควรตายจริง ๆ กล้าดียังไงถึงลักพาตัวเด็กที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล” โจวอี้พุ่งเข้าไปด้านหน้าของชายที่กำลังลุกขึ้น เขาอุ้มเด็กไปไว้อีกด้านหนึ่ง ก่อนที่กำปั้นขวาของเขาจะชกเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่ายจนหมดสติไป
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาตกตะลึงกับฉากนี้
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครสามารถดึงรถที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ให้เปลี่ยนทิศทางได้ด้วยตัวเอง และไม่เคยคิดว่าจะมีใครสามารถทุบตีชายสี่คนได้อย่างง่ายดายทั้ง ๆ มีเด็กน้อยในอ้อมแขน
ป้าคนหนึ่งที่หยุดดูอยู่ถึงกับหยิกเอวตัวเองเพื่อทดสอบว่าเธอไม่ได้ฝัน
“เด็กน้อย ไม่ต้องกลัว อาไม่ใช่คนเลว อาจะอุ้มเรากลับไปไปหาแม่ ตกลงไหม” โจวอี้รู้สึกว่าเด็กในอ้อมแขนของเขาตัวสั่นและร้องไห้ดังขึ้น
โจวอี้ตรวจสอบร่างของเด็กชายตัวเล็ก ๆ และพบว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เห็นได้ชัดว่าชายที่อุ้มไว้ในรถได้ปกป้องเด็กน้อยเป็นอย่างดี
อย่างน้อยก็มีมนุษยธรรมอยู่บ้าง
โจวอี้เหลือบมองชายผู้ถูกเขาชกจนหมดสติ จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมเด็กน้อยต่อไป
“เด็กน้อย หยุดร้องไห้ อาปราบคนร้ายได้แล้ว ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะ” โจวอี้กล่าวอย่างอ่อนโยน
“ฮือ ฮือ เขาคือพ่อของผม…” เด็กน้อยชี้ไปยังชายที่ถูกชกจนหมดสติ
“พ่อ?”
โจวอี้ถึงกับตกตะลึง