บทที่ 169 สร้างโรงเรียน
บทที่ 169 สร้างโรงเรียน
“ว้าว! พ่อกำลังกอดแม่อยู่!”
เสียงของเหมียวเหมี่ยวดังขึ้นจากหน้าประตู ดวงตาที่สดใสของเด็กน้อยเบิกกว้าง จากนั้นก็อ้าแขนออกและกระโดดไปหาคนทั้งสอง “เหมี่ยวเหมี่ยวกอดด้วยสิ ไม่ควรลำเอียงนะ!”
ถังหว่านเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอแดงจนเป็นสีกุหลาบที่งดงาม เธอผลักโจวอี้ไปด้านข้าง และก้มลงไปอุ้มลูกสาวของเธอไว้
โจวอี้เดินเข้าไปหาอีกครั้ง และกอดทั้งแม่และลูกสาวไว้ในอ้อมแขนของเขา
“ลูกสาวที่รัก จุ๊บ ๆ พ่อกับแม่หน่อยสิลูก” โจวอี้หัวเราะ
“อื้ม อื้ม!”
ถังเหมียวเหมี่ยวจูบแก้มของโจวอี้และถังหว่าน จากนั้นก็ยิ้มร่าและพูดว่า “หนูเคยเห็นจางหลงหลงจูบพ่อแม่ของเขาแบบนี้ด้วย ตอนนั้นหนูอิจฉาเขาจริง ๆ นะ แต่ตอนนี้หนูไม่อิจฉาเขาแล้ว เพราะหนูมีพ่อแม่ให้จูบแล้ว!”
ถังหว่านต้องการผลักโจวอี้ออกไป แต่เมื่อเธอได้ยินคำพูดของลูกสาว เธอก็ทิ้งความคิดนั้นไปทันที
รอยยิ้มบนใบหน้าของโจวอี้แข็งค้าง
คำพูดที่ไร้เดียงสาของลูกสาวนั้นทำร้ายหัวใจของเขาอย่างรุนแรง มันทำให้เขารู้สึกผิดจนแทบบ้า
โจวอี้ลอบถอนหายใจ หลังจากคลายกอดถังหว่านแล้ว เขาก็พาลูกสาวออกไปและถามด้วยรอยยิ้มว่า “เหมียวเหมี่ยว ถ้าพ่อแม่อยากรับเลี้ยงถังเสี่ยวถังและถังเสี่ยวรุ่ย ลูกยินดีจะให้พวกเขาอยู่กับเราไหม”
“เย้! ดีเลย! จะมีคนเล่นกับเหมียวเหมี่ยวเพิ่มแล้ว!” ถังเหมียวเหมี่ยวกล่าวอย่างมีความสุข
แต่ทันใดนั้น!
ดูเหมือนเด็กน้อยจะนึกอะไรบางอย่างออก จึงถามด้วยความสงสัย “พ่อ แล้วพี่ชายเสี่ยวถังกับพี่สาวเสี่ยวรุ่ย พวกเขาไม่ต้องไปโรงเรียนเหรอ?”
ไปโรงเรียน?
โจวอี้ตกตะลึง และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ หายไป
เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย!
เสี่ยวถังอายุสิบขวบและไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน ส่วนสภาพร่างกายของถังเสี่ยวรุ่ยก็ดูไม่เหมาะสำหรับการไปโรงเรียนในเวลานี้
แต่จะให้พวกเขาอยู่บ้านตลอดเวลาเลยงั้นเหรอ?
“คุณคิดอะไรอยู่?” ถังหว่านถาม
“ผมคิดว่าพวกเขาควรได้เรียนหนังสือ แต่พวกเขาไม่ควรไปโรงเรียนทั่วไป”
ถังหว่านได้ยินคำพูดนั้นก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
เธอเห็นด้วยกับโจวอี้
ถังเสี่ยวถังแก่เกินไปที่จะไปโรงเรียนอนุบาล ส่วนถังเสี่ยวรุ่ยขี้อายและดูไม่กล้าเข้าสังคม เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ไม่เคยพูดคุยกับใครมาก่อน และปัญหาทางจิตใจของเธอนั้นร้ายแรงมาก เธอไม่เหมาะที่จะไปโรงเรียนอนุบาล
“ทำไมไม่จ้างติวเตอร์ให้พวกเขาล่ะ?” ถังหว่านแนะนำ
“ให้ครูมาสอนที่บ้านน่ะเหรอ”
“อืม!”
“ผมจะลองคิดดู!”
โจวอี้ส่งลูกสาวให้ถังหว่านและหันไปทางหน้าต่าง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หันกลับมาถามว่า “คุณคิดยังไงถ้าเราจะเปิดโรงเรียนของเราเอง”
“เปิดโรงเรียน?” ถังหว่านตกตะลึง เธอรู้สึกว่าเธอไม่สามารถตามทันความคิดของโจวอี้ได้เลย
“ใช่! เปิดโรงเรียนเพื่อรับเด็กเร่ร่อนอย่างถังเสี่ยวถัง ไม่เพียงแต่จะให้วิชาความรู้พวกเขาเท่านั้น แต่ยังสร้างพวกเขาให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ”
“คุณคิดง่ายเกินไปแล้ว ถ้าคุณอยากจะเปิดโรงเรียน มันไม่ใช่แค่มีเงินมากพอก็จบ แต่ยังต้องยื่นเรื่องขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐด้วย มันไม่ง่ายเลยนะ” เธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง สายตาก็จ้องมองไปที่โจวอี้ “และถึงแม้ว่ารัฐบาลจะอนุมัติการจัดตั้งโรงเรียน แต่การจ้างครูและคนที่ดูแลพวกเด็ก ๆ ก็ต้องใช้เงินมหาศาล มันมากเกินไป เราทำไม่ได้หรอก”
“เราทำได้! ตราบใดที่เงินแก้ปัญหาได้ มันก็ไม่ใช่ปัญหา!” โจวอี้รู้เพียงว่าเขาต้องหาเงินให้มากกว่านี้
“คุณจะหาเงินยังไง หาได้เท่าไหร่? ถังหว่านขมวดคิ้วถามกลับ
“ผมมีวิธี เชื่อผมสิ” โจวอี้พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ทำหน้าที่ของคุณให้ดี ดูแลลูกสาวของคุณ ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ให้เป็นหน้าที่ผม!”
“…”
ถังหว่านพูดไม่ออก
โจวอี้ตบไหล่ถังหว่านและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คอยดูนะ! ผมจะสร้างโรงเรียน เราจะให้สองพี่น้องนั่นอยู่ในบ้านของเรา และหลังจากที่โรงเรียนสร้างเสร็จ พวกเขาจะได้เรียนรู้และใช้ชีวิตในโรงเรียน”
“ถ้างั้นก็เอาตามที่คุณต้องการแล้วกัน!”
ถังหว่านไม่อยากจะหักหาญความตั้งใจของโจวอี้
“ไปกันเถอะ! ไปที่ห้องนั่งเล่นกันก่อน ผมจะรักษาขาซ้ายของเสี่ยวรุ่ย”
“คุณรักษาให้หายได้งั้นเหรอ?”
“ขาซ้ายของเด็กคนนั้นไม่ใช่ความพิการแต่กำเนิด แต่เกิดจากบาดแผล แม้ว่าอาการบาดเจ็บนี้จะถูกปล่อยทิ้งไว้มานานแล้ว และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั่วไปคงไม่สามารถรักษาได้ แต่ผมทำได้ ไม่ต้องห่วง!” โจวอี้ยิ้มอย่างมั่นใจ
พวกเขากลับไปที่ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่ชั้นสอง
โจวอี้เดินเข้าไปหาถังเสี่ยวรุ่ยและมองดูสีหน้าซีดเซียวของเด็กน้อย เขายิ้มพลางย่อตัวลงต่อหน้าเด็กน้อย
กางเกงของถังเสี่ยวรุ่ยถูกถอดออกด้วยความช่วยเหลือของถังหว่าน
กล้ามเนื้อขาซ้ายของถังเสี่ยวรุ่ยนั้นฝ่ออย่างรุนแรง และเส้นประสาทที่ขาก็มีปัญหา แม้แต่กระดูกขาก็ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม และตอนนี้มันก็ดูผิดรูปไปบางส่วน
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงของโจวอี้สักเท่าไหร่
เขาหยิบกล่องไม้มาเปิดออกแล้วดึงเข็มเงินออกมา
“อาจารย์ คุณจะทำอะไร?” ถังเสี่ยวถังถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ถังเสี่ยวถัง นายรู้ไหมว่าอาชีพของฉันคืออะไร ก่อนที่นายจะเรียกฉันว่าอาจารย์น่ะ” โจวอี้ถาม
“ผมไม่รู้!” ถังเสี่ยวถังส่ายหัว
“ถ้างั้นฉันจะบอกให้และจงจำให้ดี ฉันเป็นหมอที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง ฉันเป็นหมอจีน ฉันสามารถรักษาขาของเสี่ยวรุ่ยได้!” โจวอี้กล่าวอย่างจริงจัง
“จริงเหรอครับ?”
“จริง!”
ถังเสี่ยวถังประมวลคำพูดของโจวอี้อย่างรวดเร็ว และจู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าโจวอี้ โขกหัวกับพื้นไปสามครั้งแล้วพูดว่า “อาจารย์ ถ้าคุณรักษาน้องสาวของผมได้ ผมจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ แม้จะตายผมก็ไม่เกี่ยง!”
“ลุกขึ้น และต่อไปนี้อย่ากราบไหว้ฉันแบบนี้อีกถ้าฉันไม่ได้สั่ง”
“ครับ!” ถังเสี่ยวถังลุกขึ้นทันทีและยกมือเช็ดน้ำตาป้อย ๆ
ในขณะที่ถังเสี่ยวรุ่ยมองไปที่เข็มเงิน ร่างกายของเธอสั่นเทาเพราะความกลัว
หลังจากที่โจวอี้แทงเข็มเงินเข็มแรกเข้าที่ขาซ้ายของเธอ เธอก็หลับตาทันทีและพร้อมที่จะรับความเจ็บปวดจากการถูกแทง
ทว่าหลังจากนั้น เธอกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ จากนั้นเธอก็ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และจ้องไปที่เข็มเงินบนขาของเธอ
เสร็จเรียบร้อย?
ทำไมไม่เจ็บ?
ถังเสี่ยวรุ่ยลืมตาและมองไปที่โจวอี้อย่างอยากรู้อยากเห็น
โจวอี้ยกมือขึ้นและลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเธอเบา ๆ เขายิ้มและอธิบายว่า “ฉันเป็นหมอจีนที่เก่งมาก ดังนั้นฉันจะฝังเข็มเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ขา เธอจะไม่รู้สึกเจ็บ”
ถังเสี่ยวรุ่ยกะพริบตาด้วยความสับสนเล็กน้อย
ในเมื่อมันไม่เจ็บ… เช่นนั้นเธอก็มีความสุข
โจวอี้ยิ้มและรอเวลาสักครู่ จากนั้นเขาก็ดึงเข็มเงินที่ขาซ้ายของถังเสี่ยวรุ่ยออกมา และนวดขาของเธอด้วยเทคนิคพิเศษ
พลังปราณครอบคลุมฝ่ามือของเขาและค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อขาที่ลีบฝ่อของถังเสี่ยวรุ่ย
ถังเสี่ยวรุ่ยเริ่มรู้สึกว่าขาซ้ายของเธออุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อโจวอี้นวดให้ เธอก็รู้สึกว่ามือของโจวอี้นั้นเย็น ดังนั้นขาของเธอจึงรู้สึกเย็นขึ้นมา
สบายมาก เธอไม่เคยสบายขนาดนี้มาก่อน!
โจวอี้นวดขาของเธอนานกว่าสิบนาที จากนั้นก็ฝังเข็มให้เธออีกครั้ง
ทำซ้ำอยู่ราว ๆ สามครั้ง
จากนั้นโจวอี้ก็เก็บเข็มเงินแล้วสวมใส่กางเกงของถังเสี่ยวรุ่ยให้เรียบร้อย และถามด้วยรอยยิ้มว่า “ความรู้สึกที่ขาซ้ายตอนนี้ มันดีขึ้นกว่าเดิมมากไหม”
ถังเสี่ยวรุ่ยลองขยับขาซ้ายของเธอ จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “หนูสบายมาก”
“นั่นถูกต้องแล้วที่จะรู้สึกสบาย ฉันจะรักษาเธอทุก ๆ สามวัน เธอจะสามารถเดินได้ภายในสองเดือน และเธอจะสามารถกลับไปวิ่งเหยาะ ๆ ได้อย่างช้าที่สุดก็สามเดือน และสุดท้ายเธอจะกลับมาเดินหรือวิ่งเต็มที่เหมือนอย่างเด็กทั่วไปก็ประมาณหกเดือน” โจวอี้ยิ้ม
“จริง ๆ เหรอ?”
“จริงสิ เชื่อฉันนะ” โจวอี้ลูบหัวเล็ก ๆ ของเธออีกครั้ง
จากนั้นถังเหมียวเหมี่ยวก็เข้ามาหาโจวอี้และวางหัวเล็ก ๆ ไว้ข้างหน้าโจวอี้ ดวงตากลมโตของเธอกะพริบถี่ ๆ ด้วยความคาดหวัง
“ฮ่า…” โจวอี้เข้าใจความหมายของลูกสาวแล้ว เขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ๆ ของถังเหมียวเหมี่ยวด้วย