บทที่ 180 โทษประหารชีวิตสามารถได้รับการยกเว้น
บทที่ 180 โทษประหารชีวิตสามารถได้รับการยกเว้น
เส้นทางนี้เต็มไปด้วยต้นไม้สูงเรียงรายทำให้ดูเยือกเย็นยิ่งนักในฤดูหนาวเช่นนี้
ซีชิงอิ่งหยุดฝีเท้า แต่มือที่จับแขนของโจวอี้ไว้ยังคงไม่คลายออก เธอหันหลังไปมองและพบว่าห่างออกไปหลายสิบเมตรมีคนสองคนตามหลังมา
“เจิ้งเทียนเหอ”
ตอนนี้ซีชิงอิ่งเห็นชัดแล้วว่าใครเป็นคนที่ติดตามเธอมา
“คุณรู้จักพวกเขาเหรอ?” โจวอี้ถามด้วยความประหลาดใจ
“เขาเป็นลูกค้าประจำโรงน้ำชาของฉัน และมักจะมีลูกน้องคอยติดตามด้วย”
โจวอี้ตกตะลึงในทันใด
เขาคิดว่าคนที่ติดตามเขาเป็นพวกเศษเหลือของนิกายดอกบัวขาว ไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับเป็นแค่แขกของโรงน้ำชาปาซาน
“คุณเป็นแฟนของเขาใช่ไหม” โจวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่ชอบพวกเขา” ซีชิงอิ่งพบว่าโจวอี้กำลังมองเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เธอจึงรีบปฏิเสธทันที
“ถ้าคุณไม่ชอบเขา ผมจะกำจัดให้!”
เขาปล่อยให้ซีชิงอิ่งจับแขนของเขาและเดินไปหาคนทั้งสองที่อยู่ห่างออกไปราว ๆ สิบเมตร
เจิ้งเทียนเหออารมณ์ไม่ดี
ภาพนั้นทำให้เขารู้สึกโกรธ เขาไม่รู้จักโจวอี้หรือแม้แต่ตัวตนของโจวอี้ แต่เขารู้สึกว่าโจวอี้ไม่คู่ควรกับซีชิงอิ่ง
เขารู้สึกว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่คู่ควรกับคนงามอย่างซีชิงอิ่ง
“เจ้านาย พวกเขากำลังเดินมาหาเรา” บอดี้การ์ดหนุ่มพูดโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
“ฉันไม่ได้ตาบอด!”
เจิ้งเทียนเหอทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา และแทนที่จะหยุด เขากลับเดินเข้าไปหา
“ชิงอิ่ง บังเอิญจังเลยนะ” เจิ้งเทียนเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ใช่บังเอิญมาก คุณเจิ้งมาปีนเขางั้นเหรอ?” ซีชิงอิ่งถามด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ใช่ ปีนเขา” เจิ้งเทียนเหอหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ค่อย ๆ ปีนขึ้นไปก็แล้วกัน เรายังมีอะไรต้องทำ ไปก่อนนะ” ซีชิงอิ่งกล่าวพร้อมกับจับควงแขนโจวอี้ เธอต้องการที่จะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“เดี๋ยว!”
เจิ้งเทียนเหอชี้ไปที่โจวอี้แล้วถามว่า “ชิงอิ่ง นี่คือเพื่อนของคุณใช่ไหม เขาชื่ออะไร ทำงานอะไร”
“คุณ…”
ยังไม่ทันที่ซีชิงอิ่งจะตอบ เธอก็รู้สึกว่าโจวอี้ตบไหล่เธอ
โจวอี้มองไปที่เจิ้งเทียนเหอ จากนั้นเบนสายตาไปที่บอดี้การ์ดที่ทำหน้าเฉยเมยก่อนจะถามว่า “ทำเพื่อเงิน?”
“อะไร?”
“สมองของคุณมีปัญหารึไงถึงไม่เข้าใจคำถามแค่นี้? คุณติดตามไอ้คนคนนี้เพื่อเงินใช่ไหม?”
“ไม่ใช่” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบอย่างเย็นชา
“น่าเสียดาย!” โจวอี้ส่ายหัว จากนั้นก็หันกลับมามองเจิ้งเทียนเหอแล้วถามว่า “คุณคือคนที่ตามจีบซีชิงอิ่งใช่ไหม”
“ใช่” เจิ้งเทียนเหอขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้ซ่อนความจริงนี้
“คุณเจิ้ง นามสกุลของฉันคือซี ฉันไม่ชอบให้คนนอกเรียกฉันว่าชิงอิ่งห้วน ๆ” ซีชิงอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “นอกจากนี้ ฉันไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ให้คุณ ฉันหวังว่าคุณจะไม่ไปที่โรงน้ำชาปาซานอีก”
“ชิงอิ่… เอ่อ คุณซี ผมชอบคุณนะ แต่การไปโรงน้ำชาปาซานก็ไม่ใช่ว่าไปตามจีบคุณ ผมชอบพิธีชงชา บรรยากาศของโรงน้ำชาปาซานเหมาะสำหรับการชิมชามาก” เจิ้งเทียนเหอโกรธ แต่ยังคงข่มอารมณ์พูดอย่างสุภาพ
“คุณไม่เข้าใจภาษาคนรึไง เธอบอกว่าเธอไม่ต้องการให้คุณไปที่โรงน้ำชาปาซานอีก เพราะงั้นคุณก็ควรจะเลิกไปได้แล้ว” พูดจบ โจวอี้ก็โอบไหล่ของซีชิงอิ่ง เขารู้สึกว่าร่างกายของซีชิงอิ่งพลันแข็งค้างอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะผ่อนคลายลง โจวอี้จึงพูดต่ออีกว่า “เธอเป็นเพื่อนของผม และผมไม่ต้องการให้ใครที่เธอไม่ชอบมารบกวนเธอ”
“คุณเป็นใคร?” สีหน้าของเจิ้งเทียนเหอดูมืดมน
“คุณไม่มีสิทธิ์รู้ แต่ถ้าหากกล้าส่งคนไปสืบเรื่องของผม ผมก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าคุณ”
“แกเป็นคนบ้าหรืออะไร? ก็ดี! หลังจากนี้ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าแกยังบ้าได้อีกไหม!” เจิ้งเทียนเหอเลิกวางมาดสุภาพ เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวและสั่งลูกน้องของตัวเองอย่างเย็นชา “ห้ามทำร้ายคุณซี!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น บอดี้การ์ดหนุ่มก็ก้าวมาข้างหน้าทันทีและออกหมัดแบบง่าย ๆ แต่ความรุนแรงของมันนั้นก่อให้เกิดลมแรงพุ่งเข้าหาโจวอี้ในทันใด
โจวอี้แสดงสีหน้าเย้ยหยันเล็กน้อยและต่อยสวนอีกฝ่าย
กร๊อบ…
“อ๊ากกกก…”
บอดี้การ์ดหนุ่มรู้สึกว่ากำปั้นของคู่ต่อสู้แข็งยิ่งกว่าแผ่นเหล็ก กระดูกแขนของเขาหักทันทีจากการปะทะที่รุนแรง ความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาทำให้เขาไม่สามารถต้านทานการกรีดร้องได้ และร่างกายของเขาก็เซถอยกลับไปด้านหลังทันที
“มีความแข็งแกร่งเท่าหางอึ่งแต่กลับกล้าที่จะโจมตีฉันเหรอ?” โจวอี้เริ่มโกรธ มือใหญ่ราวกับเหล็กของเขาคว้าคออีกฝ่ายแล้วยกขึ้น
“แกจะขอโทษไหม?” โจวอี้ถาม
ใบหน้าของบอดี้การ์ดหนุ่มค่อย ๆ แดงขึ้น เขาสำลักและหายใจแทบไม่ออก
“อ้อ ฉันลืมไป แกคงหายใจไม่ออก แน่นอนว่าสภาพแบบนี้แกคงตอบคำถามของฉันไม่ได้” โจวอี้พูดเช่นนั้น ทว่าถัดจากนั้นเขาก็ชกอีกฝ่ายที่หน้าอก ทำลายขั้วหัวใจของอีกฝ่าย จากนั้นบิดคอของอีกฝ่ายแล้วโยนร่างทิ้งต่อหน้าเจิ้งเทียนเหอซึ่งซวนเซไปมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“กล้าดียังไง…” เจิ้งเทียนเหอรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่คาดคิดเลยว่าชายหนุ่มข้างซีชิงอิ่งไม่เพียงแต่จะมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัว แต่ยังโหดร้ายและไร้ความปรานีอีกด้วย!
“กลัว?” โจวอี้หัวเราะเยาะ
“…”
เจิ้งเทียนเหอไม่พูดอะไร เพราะเขากลัวจริง ๆ
แม้ว่าสถานะทางสังคมของเขาจะสูงส่ง แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ต่อให้เขามีเงินและอำนาจมากมาย แต่ในเวลานี้สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถรับประกันชีวิตของเขาได้เลย
“นามสกุลของแกคือเจิ้งใช่ไหม? ฉันจะให้โอกาสแกรอดชีวิต บอกตัวตนของแกมา ถ้าแกใหญ่จริง ฉันอาจคิดทบทวนอีกรอบและไม่ฆ่าแกเพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหา” โจวอี้กล่าวอย่างใจเย็น
“ฉันเป็นประธานใหญ่ของเทียนเหอกรุ๊ป เป็นผู้ถือหางเสือของบริษัทรักษาความปลอดภัยจินตุนและเป็นผู้ถือหุ้นของสโมสรยิงปืนทองคำ” เจิ้งเทียนเหอพูดพร้อมกับกัดฟันแน่น
“ยังใหญ่ไม่พอ” โจวอี้ส่ายหัว
“ภรรยาของฉันเป็นลูกสาวคนโตของผู้นำตระกูลหวงฟู่ ซึ่งเป็นสามตระกูลผู้ฝึกยุทธ์โบราณในเซี่ยงไฮ้”
“ตระกูลหวงฟู่…ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน!” โจวอี้ดึงเข็มเงินสองเล่มออกมาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “แต่ฉันกลัวปัญหาที่จะตามมาว่ะ ถ้าแกไม่มีคนหนุนหลัง ฉันอาจจะไว้ชีวิตแกก็ได้ แต่พอฟัง ๆ ดูแล้วแกมีคนหนุนหลังไม่น้อยเลย ฉันคงเก็บแกไว้ไม่ได้ ขืนปล่อยให้แกรอดตายไป อนาคตฉันคงจะต้องฆ่าคนอีกเยอะแน่”
“แกไม่รักษาคำพูด!” เจิ้งเทียนเหอร้องลั่น
“โจวอี้…” ซีชิงอิ่งเอื้อมไปจับข้อมือของโจวอี้อย่างลังเล
“คุณอยากขอร้องแทนเขาเหรอ?” โจวอี้ถาม
“ฉันแค่ไม่อยากให้คุณฆ่าคนมากเกินไป ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับกฎของโลกผู้ฝึกยุทธ์ แต่เขาไม่ใช่คนของโลกผู้ฝึกยุทธ์ ถ้าคุณทำได้ก็ไว้ชีวิตเขาเถอะ” ซีชิงอิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเบี้ยว
“คุณนี่เป็นคนจิตใจดีจริง ๆ” โจวอี้ส่ายหัว ก่อนจะมองไปที่เจิ้งเทียนเหออีกครั้ง “ในเมื่อชิงอิ่งขอชีวิตแกแบบนี้ งั้นฉันจะไว้ชีวิตแกนะ”
ทว่าหลังจากพูดจบ โจวอี้ก็ยิงเข็มเงินสองเล่มเข้าไปในร่างของเจิ้งเทียนเหอ
เข็มเงินทั้งสองนี้จะไม่พรากชีวิตเจิ้งเทียนเหอ แต่จะทำให้กลไกพลังปราณภายในของเขาปั่นป่วน และร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เว้นแต่จะมีปรมาจารย์คอยเติมพลังปราณให้เขา ไม่เช่นนั้นร่างกายของเขาจะป่วยและทรมานจากความเจ็บป่วยในอีกไม่กี่เดือน
เสียงโทรศัพท์มือถือดังออกมาจากร่างของบอดี้การ์ดหนุ่ม
เจิ้งเทียนเหอดูเหมือนจะไม่ได้ยิน เขามองไปที่เข็มเงินสองเล่มที่เสียบเข้าไปในร่างกายของเขาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ผ่านไปพักใหญ่
เมื่อโจวอี้และซีชิงอิ่งพากันจากไป เจิ้งเทียนเหอก็ละสายตาและมองไปยังทิศทางที่โทรศัพท์มือถือดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เขารับสายทันที “ฉันเอง ว่าไง!”
และเมื่อได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูด ใบหน้าของเขาก็ยิ่งซีดลง