บทที่ 212 สำนักโอสถแปดสาขา
บทที่ 212 สำนักโอสถแปดสาขา
โจวอี้ไล่ตามอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว แต่กั๋วฉินเซิงที่แม้จะมีอายุมากแต่ความเร็วกลับไม่ช้าลงเลย
ในไม่ช้าชายชราก็หายไปในความมืด
ถ้าอยู่ในภูเขาและป่า โจวอี้มั่นใจว่าเขาจะสามารถตามจับกั๋วฉินเซิงและฆ่าอีกฝ่ายได้แน่นอน แต่ในเมืองที่พลุกพล่านแห่งนี้… เขาไม่อาจตามอีกฝ่ายได้ทัน
“กั๋วฉินเซิงหนีไปแล้ว ช่วยผมติดตามที่อยู่ของเขาที และแจ้งให้ผมทราบทันทีถ้ามีความคืบหน้า” โจวอี้คุุยกับปลายสาย
“ได้!”
อีกฝ่ายตอบรับง่าย ๆ แล้ววางสายทันที
ภายในตรอกมืด ห่างออกไปกว่าสิบกิโลเมตร
กั๋วฉินเซิงเอามือกุมคาง สีหน้าท่าทางโกรธแค้นของเขาเผยออกมาชัดเจน
แต่เขาก็ยังดีใจที่หนีมาได้
เขาไม่คิดเลยว่าโจวอี้ที่อายุน้อยขนาดนั้นจะแข็งแกร่งเช่นนี้ ขนาดเขาและกั๋วเสี่ยวลี่ร่วมมือกันก็ยังไม่อาจฆ่าโจวอี้ได้ แถมมันยังเป็นฝั่งของพวกเขาเองที่ได้รับบาดเจ็บและล้มตาย
“รอก่อนเถอะ! เมื่อไหร่ที่สมาชิกอันแข็งแกร่งขององค์กรนั้นมาถึง แกจะต้องตายแบบที่ไม่มีแม้แต่หลุมฝังศพ!” กั๋วฉินเซิงตะคอกด้วยความโกรธ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
ทว่ามีร่างหนึ่งพุ่งมาขวางทางเขาไว้
อีกฝ่ายเป็นหญิงชรารูปร่างโก่งงอ ผ้าสีดำที่มีความกว้างสองนิ้วปิดอยู่ที่ตาของเธอ กลิ่นอายของหญิงชราเผยความกดดันออกมาชัดเจน
“แม่งเอ๊ย… ฉันควรนึกออกว่าไอ้สารเลวนั้นเป็นทายาทของฉู่เทียนฮุ่ย คนสถานะแบบมันจะไม่มีคนที่แข็งแกร่งคอยปกป้องได้ยังไง?” กั๋วฉินเซิงคำรามด้วยความโกรธ และหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“อย่าว่าแต่ล่วงเกินเขาเลย แต่เจ้าไม่ควรกลับมาด้วยซ้ำ” เสียงแหบแห้งของหญิงชราดังขึ้น
“ตอนที่ฉันมีเรื่องกับไอ้สารเลวแซ่โจวนั่น ฉันก็ไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นศิษย์ของสำนักโอสถ!” กั๋วฉินเซิงตะโกนเถียง
“ถ้าจะโทษใครก็โทษตัวเองเถอะ”
หลังจากเสียงของหญิงชราจางหาย จู่ ๆ ร่างกายของเธอก็ราวกับว่ากลายเป็นควันดำ เธอพุ่งผ่านหน้ากั๋วฉินเซิงในทันที
วินาทีต่อมา หัวของกั๋วฉินเซิงก็ปลิวออกมา ก่อนจะถูกห่อด้วยผ้าไหมสีแดงกลางอากาศ
เช้าตรู่
โจวอี้กลับไปที่ ช็องเซลิเซ่ ลานติง วิลล่า
หลังจากค้นหาตลอดทั้งคืน ทั้งเขาและคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงก็ยังคงไม่พบกั๋วฉินเซิง
“พี่บาดเจ็บงั้นเหรอ?” ถงหู่กำลังฝึกศิลปะการต่อสู้ในสนาม เมื่อเห็นโจวอี้กลับมา เขาก็ชะงักไปทันที
“แผลเล็กน้อย ไม่เป็นไร!” โจวอี้ส่ายหัว “มีชายชราคนหนึ่งหนีจากฉันไปได้เมื่อคืนนี้ ช่วงนี้นายก็ตื่นตัวสักหน่อย คอยปกป้องเหมียวเหมี่ยวและเสี่ยวรุ่ยด้วย”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าเขากล้ามา ผมจะฆ่าเขาเอง” ถงหู่เย้ยหยัน
โจวอี้ตบไหล่ถงหู่และเดินเข้าไปในห้องโถงวิลล่า
เขาต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่ลูกสาวจะตื่น เพื่อไม่ให้เด็กน้อยเห็นบาดแผลที่ไหล่
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
โจวอี้ก็รักษาบาดแผลด้วยตัวเอง เขาล้างและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะกลับไปที่สนาม
ในเวลานี้นอกจากถงหู่แล้วยังมีใครอีกคนอยู่ในสนาม
เธอคือหญิงชราที่ปิดตาด้วยผ้าสีดำและมีห่อผ้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดวางอยู่ข้างเท้า
กริ๊ง…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันที
โจวอี้มองหญิงชราคนนั้นก่อนจะรับโทรศัพท์มือถือ
คณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงโทรมาบอกโจวอี้ว่าพวกเขาพบศพที่ไร้หัวของกั๋วฉินเซิง
หลังจากโจวอี้วางสาย เขาก็มองไปที่ห่อผ้าโชกเลือดตรงเท้าของหญิงชราคนนั้น ก่อนจะส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และเดินไปหาอีกฝ่าย
เขาค่อย ๆ อ้าแขนออกและกอดหญิงชราคนนั้น จากนั้นก็พูดอย่างหมดหนทางว่า “คุณย่าโจว ย่าเบื่อสานตะกร้าไม้ไผ่ในหมู่บ้านโจวเมี่ยวแล้วก็เลยมาหาผมที่จินหลิงสินะ อยากให้ผมดูแลช่วงบั้นปลายชีวิตจนหมดอายุขัยใช่ไหมล่ะ?”
“อีกนานน่ะกว่าที่ฉันจะตาย” ใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราเผยรอยยิ้ม “แล้วถ้าฉันมาให้ดูแลจริง ๆ เจ้าจะดูแลย่าเฒ่าคนนี้ไหม?”
“แน่นอน ตราบใดที่ย่าเต็มใจที่จะอยู่กับผม ผมจะดูแลย่าเป็นอย่างดีเลย” โจวอี้ยิ้ม
“ฮึฮึ ช่วงนี้ฉันจะอยู่ที่นี่ไปก่อน รอเมื่อไหร่ที่ชีวิตของเจ้าสงบสุข ฉันถึงจะกลับไปที่หมู่บ้านโจวเมี่ยว” หญิงชราหัวเราะ จากนั้นก็เคาะห่อผ้าชุ่มเลือดด้วยไม้เท้าในมือแล้วพูดว่า “ฉันเอาหัวของกั๋วฉินเซิงกลับมาฝาก ส่วนจะจัดการมันยังไงต่อ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน!”
“ครับ!”
โจวอี้ พยักหน้าและถามต่อไปทันทีว่า “ย่าโจว ว่าแต่ย่าทะลวงผ่านระดับปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เกือบ 50 ปีแล้วมั้ง จำเวลาที่แน่นอนไม่ได้หรอก มันนานเกินไป” หญิงชราส่ายหัวและถอนหายใจ
เกือบห้าสิบปี?
คุณย่าโจวอายุเท่าไหร่?
ตอนนี้โจวอี้มั่นใจ 100% ว่าหมู่บ้านโจวเมี่ยวในภูเขาชางหลางเป็นสถานที่ที่เสือหมอบมังกรซ่อนจริง ๆ ชาวบ้านที่ภายนอกดูธรรมดาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง
“อีกหนึ่งคำถาม ย่าเป็นผู้อาวุโสของสำนักโอสถใช่ไหม?”
“โฮ่โฮ่…”
หญิงชราหัวเราะออกมาแต่ไม่ตอบ เธอเดินไปที่ประตูห้องโถงของวิลล่าและนั่งลง
“ย่าหัวเราะอะไรเนี่ย ผมถามผิดตรงไหน?”
“มีชาวบ้านในหมู่บ้านโจวเมี่ยวคนไหนบ้างที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสำนักโอสถ? สำนักโอสถน่ะเคยมีอยู่ด้วยกันแปดสาขา หนึ่งล่มสลาย หนึ่งเป็นกบฏ และอีกสามกำลังถดถอย แม้ว่าอีกสามสาขาที่เหลือยังคงสนับสนุนอยู่ แต่ก็ห่างไกลจากความเฟื่องฟูที่เราเคยมีมาเมื่อร้อยปีที่แล้ว”
หญิงชราพูดจบก็ส่ายหัวและถามออกมาอย่างอ่อนแรง “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้อะไรคือสิ่งที่น่าอับอายที่สุดในสำนักโอสถ”
“อะไร?”
“พืชผลเก่าหมดไป พืชผลใหม่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว[1]” หญิงชราถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
โจวอี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปที่ถงหู่แล้วยิ้มออกมา “ผู้อาวุโสของสำนักโอสถทั้งหลายนี่ก็ช่างขี้เกียจกันซะเหลือเกิน เอาแบบนี้ก็ได้ ผมจะยอมรับหน้าที่นี้เพื่อฝึกฝนกลุ่มสาวกที่ภักดีและทรงพลังให้กับสำนักโอสถ รับรองว่าไม่เกิน 20 ปีหรอก”
“ฮ่า ๆ ถ้าพวกตาแก่ในหมู่บ้านโจวเมี่ยวได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด พวกเขาคงจะมีความสุขมาก” หญิงชราหัวเราะอย่างมีความสุข
“คุณย่าโจว ช่วงนี้ผมขอฝากลูกสาวสองคนของผมเอาไว้กับย่าก่อนนะ ช่วงนี้มีหลายอย่างที่ผมต้องทำ เกรงว่าผมจะไม่มีเวลามากพอที่จะอยู่กับพวกเขา”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันได้เลย” หญิงชรารับคำ
ช่วงเช้า
เมื่อโจวอี้ส่งลูกสาวไปโรงเรียนแล้ว เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากเชาหมิงคุน อีกฝ่ายบอกลาโจวอี้และเชิญโจวอี้ไปเที่ยวเซินเจิ้นหากมีเวลาว่าง
ทั้งสองทักทายเสร็จสิ้นแล้วก็วางสายไป
เวลานี้โจวอี้รู้สึกราวกับว่าถูกจับตามองอีกครั้ง
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่คนของคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงที่กำลังจับตามองเขาอยู่
“แปลกจริง ๆ กั๋วฉินเซิงตายไปแล้ว และผู้คนรอบตัวเขาก็คงตายไปหมดแล้วด้วย และถึงแม้ว่าสมาชิกตระกูลกั๋วที่อยู่ต่างประเทศจะได้รับข่าว แต่พวกเขาจะมาถึงเร็วแบบนี้ได้ไง?”
“ถ้าไม่ใช่ตระกูลกั๋ว แล้วใครกันล่ะที่กำลังคอยจ้องกันอยู่แบบนี้”
โจวอี้มองไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ เขาไม่พบบุคคลที่น่าสงสัย แต่ความรู้สึกที่กำลังถูกจับตามองนั้นชวนให้รู้สึกอัดอัด
ห่างออกไปสองกิโลเมตร
ภายในห้องหนึ่งของอาคารหลายสิบชั้น ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนของตระกูลฮวงฟู่กำลังถือกล้องส่องทางไกลเพื่อจับตามองโจวอี้ที่กำลังเดินเอื่อย ๆ ไปตามถนน
ฮวงฟู่จินซุนวางกล้องส่องทางไกลลง ก่อนจะหันมามองเจิ้งเทียนเหอแล้วถามว่า “ใช่เขาไหม”
“ใช่ มันนั่นแหละ!” แววตาของเจิ้งเทียนเหอแสดงความขมขื่นออกมา
อันตรายที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขาได้รับการขจัดออกไปแล้วโดยผู้ฝึกยุทธ์ของตระกูลฮวงฟู่
เขาเกลียดโจวอี้!
ไอ้หมอนั่นมันทำให้เขาต้องอัปยศอดสู
ก่อนหน้านี้เขาไม่กล้าล้างแค้น แต่ตอนนี้เขาคาดหวังให้คนของตระกูลฮวงฟู่ฆ่าโจวอี้เพื่อล้างแค้นแทนเขา
[1] พืชผลเก่าหมดไป พืชผลใหม่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว (青黄不接) อุปมาหมายถึง การขาดแคลนกำลังคนหรือทรัพยากรชั่วคราว หรือระยะเปลี่ยนผ่านที่ทำให้ต้องขาดแคลนชั่วคราว