บทที่ 247 ฮัวเยว่โหลว
บทที่ 247 ฮัวเยว่โหลว
นายน้อยสี่?
สีหน้าของฮัวหมานเหรินเปลี่ยนไปทันที แววตาของเขาเผยความเศร้าหมอง
เขาเป็นคนที่เลี้ยงดูเด็กคนนี้มา
เมื่อตอนยังเล็ก เด็กคนนี้ไร้เดียงสาและมีชีวิตชีวา แต่เมื่อเติบโตมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ อารมณ์ของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปอย่างมากด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลายเป็นคนเงียบ และไม่แยแสต่อผู้ใด
“เขาปล่อยวางอดีตไม่ได้เหรอ?”
“ตอนนี้เมื่อรู้ว่าชีวิตของผู้นำตระกูลแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาก็ไม่ลังเลที่จะลงมือ”
ฮัวหมานเหรินรู้สึกขมขื่น และเมื่อเขาแทงมีดเข้าไปที่หัวใจของคนที่อยู่ตรงหน้า มือของเขาก็สั่นเล็กน้อย
เขาไม่มองศพทั้งสองอีกเลย แต่กลับโบกมือให้ชายสี่คนในชุดสูทเป็นผู้จัดการ แล้วเดินกลับไปหาโจวอี้พลางพยายามควบคุมอารมณ์ “หมอโจว ฉันขอโทษ ทายาทรุ่นเยาว์บางคนในตระกูลของฉันกระทำการอุกอาจจนทำให้คุณต้องพลอยยุ่งยากด้วย”
“ช่างเถอะ!” โจวอี้ส่ายหัว
เนื่องจากเขาค้นพบผู้บงการแล้ว เขาจึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการแย่งชิงอำนาจหรือผลประโยชน์ของตระกูลฮัว และเขาคิดว่าถ้าหากสถานการณ์รุนแรงขึ้นไปมากกว่านี้ เขาก็จะถอยหนีทันที
เมืองลี่หยาง
ชายหนุ่มผมขาวหน้าตาดีสวมโค้ทขนจิ้งจอกและรองเท้าบู้ทสีดำ เขายืนนิ่งอยู่กลางลานบ้านที่ทรุดโทรม ข้าง ๆ กันมีหญิงสาวสวยในชุดโค้ทขนสัตว์สีดำถือร่มสีแดงเพื่อบังละอองฝนให้
และในลานบ้านเดียวกันก็ยังมีชายในชุดวอร์มสีดำอีกยี่สิบคน พวกเขาดูแข็งแกร่งมีกล้ามเนื้อกำยำ แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น พวกเขาปล่อยให้สายฝนโปรยปรายลงมาใส่เสื้อผ้าของพวกเขาจนเปียกชุ่ม
“นายน้อยสี่ เราพบพวกเขาที่สะพานต้วนโถว” หญิงวัยกลางคนผิวคล้ำกล่าวหลังจากเดินเข้ามาในลานบ้านและประสานมือโค้งกายด้วยความเคารพ
“ในเมื่อตอนนี้พบแล้วก็มาเริ่มกันเลย!” ฮัวเยว่โหลวกล่าวอย่างแน่วแน่
ร่างทั้งสี่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที เป็นชายสามคน และผู้หญิงอีกหนึ่งคน ทุกคนล้วนมีอายุราว ๆ ห้าสิบปี
พวกเขาประสานมือเคารพฮัวเยว่โหลว จากนั้นก็นำชายยี่สิบคนในชุดวอร์มสีดำวิ่งออกไป และหายไปนอกประตูลานบ้านที่ทรุดโทรม
“อาหลง” จู่ ๆ ฮัวเยว่โหลวก็เรียกขึ้น
“ครับ” ชายผมเปียร่างผอมพุ่งออกมาด้วยสีหน้าขึงขัง เขาเล่นมีดขว้างที่อยู่ในมือของตัวเองตลอดเวลา
“ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของพ่อฉันล้วนอยู่ในระดับกึ่งปรมาจารย์ ฉันเดาว่าต้องมีคนพาพวกเขาออกจากตระกูลไปช่วย นายพาจู้หลงกับเหยียนซูไปขัดขวางพวกเขาซะ! ฆ่าโดยไม่ต้องละเว้น!” ฮัวเยว่โหลวสั่ง
“ครับ!” อาหลงพยักหน้าพร้อมกับอีกสองร่างที่พุ่งออกจากบ้าน
จากนั้นพวกเขาทั้งหมดสามคนก็กระโดดลอยหายไปจากกำแพงบ้าน
ฮัวเยว่โหลวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก่อนจะยกนิ้วเรียวของเขาขึ้น ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีแดงพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขาเป็นสายยาว
เขามองไปที่ท้องฟ้าสีเทาและพูดว่า “ไปกันเถอะ! เขาจะตายไม่ได้ ไม่งั้นต่อให้ฉันได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตำแหน่งของฉันก็คงจะไม่มั่นคง”
“แล้วถ้าเขาไม่ฟังล่ะ” หญิงงามวัยกลางคนถาม
“เท่าที่ฉันรู้ มีโอสถที่เรียกว่ายาเม็ดตื่นรู้ในสำนักโอสถ และศิษย์ของสำนักโอสถที่กินมันเข้าไปจะฉลาดมาก ฉันเชื่อว่าเขาจะเลือกได้อย่างชาญฉลาด” ฮัวเยว่โหลวพูดอย่างใจเย็น แต่มีรังสีสังหารวาบผ่านในแววตาของเขา
ณ สะพานต้วนโถว
ฮัวหมานเหรินและโจวอี้นั่งอยู่หน้ารถ
ทั้งคู่ไม่พูดอะไร และบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ฝนกำลังจะตก” จู่ ๆ โจวอี้ก็เงยหน้าขึ้นและพูดอย่างเฉยเมย
“วันที่ฝนตกไม่ใช่ลางดี” ฮัวหมานเหรินกล่าว
“ผมไม่รู้ว่าเป็นลางดีหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าสิ่งที่คุณจะต้องเผชิญต่อไปนี้จะเป็นการต่อสู้ที่หนักหนา เพราะคนที่ผู้นำตระกูลของคุณส่งมาคงจะมาถึงไม่เร็วนัก”
“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เรา”
“ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคือมือขวาของผู้นำตระกูลฮัวใช่ไหม?” โจวอี้ถามพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบและพูดต่อไปว่า “ตระกูลฮัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผม ผมเป็นแค่หมอที่คุณเชิญมาเพื่อรักษา ถ้าคุณสามารถพาผมไปถึงบ้านบรรพบุรุษตระกูลฮัวได้อย่างราบรื่น ผมจะช่วยชีวิตคนตามที่ตกลงไว้ แต่ถ้าคุณสู้แพ้ ผมจะจากไปทันที”
ฮัวหมานเหรินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “หนึ่งพันล้าน บวกกับโสมป่าหนึ่งพันปี นายช่วยทำตามคำขอของฉันได้ไหม”
“ผมไม่ได้ขาดเงิน นับประสาอะไรกับโสมป่า” โจวอี้เดาว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไร เขาจึงปฏิเสธไปทันที
เขาไม่คิดที่จะยอมสละชีวิตเพื่อเงินหรือสมุนไพร
เขาก็หวงแหนชีวิตของเขาเหมือนกันนะ!
ไม่สิ เขาหวงแหนชีวิตตัวเองยิ่งกว่าใครทั้งหมดด้วยซ้ำ!
เพราะเขามีลูกสาวที่ต้องดูแล และถังหว่านก็ยังต้องการสามี!
สุนัขตระกูลฮัวกัดกันเองแบบนี้ เขาไม่ต้องการที่จะไปเกี่ยวข้อง
“หมอโจว ถ้าคุณสามารถช่วยนายของเราได้ คุณจะกลายเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่งต่อตระกูลฮัวของเรา และในอนาคตคุณจะได้รับประโยชน์มากขึ้น”
โจวอี้ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
สิบนาทีต่อมา รถออฟโรดหลายคันแล่นเข้ามาตามทาง
ฮัวหมานเหรินจ้องมองไปที่รถออฟโรดเหล่านั้นด้วยสีหน้าย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตามหาเขาได้เร็วขนาดนี้
การจะมาถึงที่นี่ได้ต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง
แต่ตอนนี้ผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าศัตรูได้เตรียมพร้อมรอไว้แล้ว
โจวอี้มองไปชายฉกรรจ์ที่วิ่งออกจากรถออฟโรด และตามหลังมาด้วยคนชราอีกสี่คน ดวงตาของโจวอี้เผยแววเย็นชา
เขามีไพ่ตายสำหรับรักษาชีวิตตัวเอง
แต่เขาไม่ต้องการที่จะใช้มันถ้าไม่จำเป็น
เพราะสิ่งนั้น… เมื่อใช้แล้วจะไม่สามารถใช้ซ้ำได้อีก
“คารวะพ่อบ้านฮัว” ชายชราในชุดจีนโบราณที่ผมถูกหวีอย่างเรียบร้อยประสานมือและโค้งคำนับเล็กน้อย แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
“นายเองเหรอ ฉันอยากรู้ว่านายทั้งสี่คนออกจากคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงแล้ว หรือว่าตอนนี้คนของคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงสามารถแทรกแซงข้อพิพาทในตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างอิสระ?” ฮัวหมานเหรินถามอย่างเย้ยหยัน
ทั้งสี่แค่หัวเราะเยาะเย้ย แต่ไม่ได้ตอบกลับ
โจวอี้ที่ได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองฝ่ายแสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
คนของคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลง?
ทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่?
ไม่ใช่ว่าคนของคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวภายในของตระกูลผู้ฝึกยุทธ์หรอกเหรอ?
“คุณเป็นหมอมหัศจรรย์ของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงใช่ไหม?” หญิงชราคนเดียวในบรรดาคนชราทั้งสี่ถามโจวอี้
“ผมไม่กล้าคิดว่าตัวเองเก่งถึงขนาดเป็นหมอมหัศจรรย์อะไรนั่นหรอก แต่ใช่ ผมเป็นหมอจากโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงจริง ๆ” โจวอี้ตอบอย่างใจเย็น
“สหายน้อย เราจะไม่ทำให้คุณต้องอับอาย ถ้าหากคุณยอมกลับไปจินหลิงตอนนี้ และเราจะถือว่าเราไม่เคยเห็นคุณมาก่อน ไม่งั้นก็อย่าได้ตำหนิว่าเราไร้ความปรานี ถึงคุณจะเป็นศิษย์สำนักโอสถ เราก็จำเป็นต้องลงมือ” หญิงชรากล่าวอย่างเฉยเมย
“คุณขู่ผมเหรอ?” โจวอี้ขมวดคิ้ว
ในขณะเดียวกัน โจวอี้ก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่ง
เขาหันไปมองถนนในระยะไกล และเห็นรถอีกสองคันกำลังขับมาอย่างรวดเร็ว