หงโฉวได้ยินแล้วกลอกดวงตาไปมาไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “พรุ่งนี้ข้าจะคอยจับตาดูอยู่ที่นี่ต่อไปก็แล้วกันเจ้าค่ะ หากคนผู้นั้นปรากฏกายออกมาข้าจะไปเรียกท่านทันที ส่วนเรื่องรูปลักษณ์ของคนผู้นั้น ข้าเห็นกล้องส่องทางไกลที่คุณชายใหญ่ใช้เคลือบทอง หนาและใหญ่กว่ากระบอกที่อยู่ในมือท่าน ทั้งยังเก็บได้ด้วย บอกว่าใช้ตอนเดินเรือกลางท้องทะเล ไม่แน่ว่าอาจจะส่องได้ไกลกว่ากระบอกนี้ก็เป็นได้ ให้คนไปแจ้งหลงจู๊ใหญ่ในเมืองหลวงสักคำดีหรือไม่ ให้เขานำจดหมายไปให้คุณชายใหญ่สักฉบับ หากล้องส่องทางไกลที่คล้ายคลึงกับกระบอกที่คุณชายใหญ่มีส่งมาให้ท่านสักตัวหนึ่ง”
หวังซีฟังแล้วเกิดความสนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
คุณชายใหญ่ที่หงโฉวกล่าวถึงคือหวังเฉินพี่ชายใหญ่ต่างมารดาของหวังซีนั่นเอง
พี่ชายใหญ่อายุมากกว่านางสิบเจ็ดปี นางยังไม่ถือกำเนิดพี่ชายใหญ่ก็เริ่มติดตามบิดาไปทำการค้าแล้ว เฉลียวฉลาดมีความสามารถ เป็นที่ทราบและยอมรับกันโดยทั่วกันว่าเป็นทายาทคนต่อไปของตระกูล แม้นกล่าวว่ามารดาของนางงดงามปานบุปผาดุจจันทรา อ่อนวัยกว่าบิดาสิบกว่าปี หลังแต่งงานกับบิดาแล้วได้รับความโปรดปรานจากบิดาเป็นเท่าตัว ต่อมายังให้กำเนิดบุตรชายด้วยอีกผู้หนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือมารดาของนางก็ตาม ล้วนไม่มีความคิดจะปรับเปลี่ยนหรือสั่นคลอนสิทธิ์การเป็นทายาทสืบสกุลของพี่ชายใหญ่นางแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสามพี่น้องจึงดียิ่ง อีกทั้งเนื่องจากนางอายุมากกว่าบุตรชายคนโตของพี่ชายใหญ่เพียงสองปี พี่ชายใหญ่แทบจะเห็นนางเป็นบุตรสาวอยู่แล้ว บางครั้งตามใจนางยิ่งกว่าบิดาเสียอีก เรื่องที่นางไม่กล้าไปขอบิดากลับกล้าไปขอพี่ชายใหญ่
หวังซีสั่งการหงโฉวว่า “เจ้าไปบอกหวังสี่สักคำ ให้เขาไปพบหลงจู๊ใหญ่ดูสักหน่อย”
หวังสี่เป็นพี่ชายร่วมน้ำนมของนาง
การมาเยือนจิงเฉิงในครั้งนี้ นอกจากสาวใช้ข้างกายและหวังสี่แล้ว หวังหมัวมัวแม่นมของนางและบ่าวชายเด็กอีกสองคนก็ติดตามร่วมทางเข้าจวนมาด้วย
แน่นอนว่าไป๋กั่วไม่อาจปล่อยให้หงโฉวปะเหลาะสร้างปัญหาวุ่นวายเช่นนี้ได้ นางกล่าวโน้มน้าวหวังซีเสียงอบอุ่นอ่อนโยนว่า “พวกเราเดินทางจากสู่จงมาถึงจิงเฉิงใช้เวลาร่วมสองเดือน กว่าคุณชายใหญ่จะได้รับจดหมาย กว่าจะส่งของมาถึงพวกเรา ป่านนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปกว่าครึ่งปีแล้ว ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่เองก็อาจจะเตรียมตัวกลับบ้านแล้วก็เป็นได้ แทนที่จะให้หลงจู๊ใหญ่นำจดหมายไปส่งให้คุณชายใหญ่ มิสู้ให้หลงจู๊ใหญ่ช่วยหาให้ดีกว่า ดูว่าที่จิงเฉิงนี้พอจะหาซื้อกล้องส่องทางไกลเหมือนของคุณชายใหญ่สักกระบอกได้หรือไม่”
หวังซีรู้สึกว่าไป๋กั่วกล่าวได้มีเหตุผล กล่าวชมนางว่ารอบคอบไปหลายคำ เปลี่ยนให้นางเป็นคนไปบอกหวังสี่แทน
ไป๋กั่วยิ้มตาหยีพลางขานตอบ “เจ้าค่ะ” ทว่าตอนออกไปกลับคว้าตัวหงโฉวติดมือออกไปด้วย ดึงติ่งหูนางพลางกระซิบกล่าวเสียงค่อยไปด้วยว่า “คุณหนูใหญ่นิสัยเหมือนเด็ก เจ้าก็เป็นตามไปด้วยอีกคน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่แห่งใด เมื่อไรที่ในจวนมีข่าวไม่ดีของคุณหนูแพร่ออกไปแม้แต่นิดเดียว ข้าจะถลกหนังของเจ้า!”
ตอนออกเดินทางนายหญิงใหญ่มอบหมายให้ไป๋กั่วดูแลสาวใช้สองสามคนอย่างพวกนาง ถ้าพวกนางไม่เชื่อฟัง ไป๋กั่วก็มีสิทธิ์จัดการพวกนางได้จริงๆ
หงโฉวห่อไหล่มิกล้าแข็งขืน ทำได้แค่กล่าวขอความเมตตาเสียงอ่อยว่า “พี่ไป๋กั่ว มิใช่เพราะข้าเห็นว่าหลายวันมานี้คุณหนูใหญ่ดูไม่ร่าเริง จึงอยากหลอกล่อนางให้ดีใจหรอกหรือ”
“ต่อให้เป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่อาจยุให้คุณหนูใหญ่ไปสอดส่องผู้อื่นร่ายรำกระบี่ได้! ยังกล้าดึงคุณชายใหญ่มาข้องเกี่ยวด้วยอีก ข้าว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!” ไป๋กั่วกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้นคนรำกระบี่ผู้นั้นยังเป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งอีกด้วย
แม้บอกว่าหงโฉวมีหน้าที่เล่นสนุกเป็นเพื่อนคุณหนูใหญ่โดยเฉพาะ แต่เช่นนี้ก็ออกจะวุ่นวายเกินไปแล้ว ถ้าไม่สั่งสอนนางสักครั้งหนึ่ง ต่อไปไม่รู้ว่าจะสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาอีกบ้าง
นึกถึงตรงนี้แล้วนางบิดติ่งหูของหงโฉวแรงๆ “ด้านข้างเป็นถึงจวนของเป่าชิ่งจ่างกงจู่[1]! ในเมื่อบุรุษผู้นั้นปรากฏตัวอยู่ในเรือนชั้นในของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ได้ย่อมมิใช่คนธรรมดาสามัญเป็นแน่ ก่อนเจ้าเดินทางมาจิงเฉิงหมัวมัวสอนมารยาทที่บ้านมิได้บอกกล่าวเจ้ามาก่อนหรืออย่างไรว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่เป็นขนิษฐาร่วมอุทรเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทั้งยังเสกสมรสกับเจิ้นกั๋วกงเฉินอวี๋ผู้บังคับบัญชากองบัญชาการทหารส่วนหน้าของกองบัญชาการทหารทั้งห้าอีกด้วย แม้แต่หย่งเฉิงโหวยามพบเขายังต้องเคารพนบนอบและให้เกียรติเขาสามส่วน เจ้าถึงกับกล้าให้คุณหนูใหญ่ไปสอดส่องดูสวนหลังบ้านของพวกเขา! น้ำมันหมูพอกหัวใจ[2]ของเจ้าไปหมดแล้วใช่หรือไม่! ข้าว่าหากไม่หยุดยั้งนิสัยนี้ของเจ้าเสีย เจ้าคงไม่รู้ว่าแผ่นฟ้าสูงและผืนดินลึกเพียงใดแล้วกระมัง!”
หงโฉวทุกข์ใจ รู้ว่าหากตนตอบไม่เข้าที เกรงว่าคงไม่อาจผ่านด่านนี้ไปได้แน่ มือปิดหูกล่าวแย้งว่า “คุณหนูใหญ่บอกว่า พวกเราก็แค่ทำเสมือนมาท่องเที่ยวหุบเขาและเล่นน้ำ ดูว่าจิงเฉิงมีหน้าตาอย่างไรก็กลับไปแล้ว ข้าถึงได้…”
ไป๋กั่วตกตะลึงพรึงเพริด
สกุลหวังร่ำรวยมหาศาล นายท่านใหญ่เป็นประมุขของสกุลหวัง คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของนายท่านใหญ่ ผู้คนที่สู่จงล้วนคิดว่าคุณหนูใหญ่คือมนุษย์ทองคำฝังอัญมณีประเภทนั้น ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดอยากหาประโยชน์จากคุณหนูใหญ่ การสู่ขออันมากเล่ห์เพทุบายที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่รู้จบเหล่านั้นทำเอานายหญิงใหญ่หน้ามืดตาลาย ภายใต้สถานการณ์ที่เหนื่อยอ่อนที่สุดนั้น ถึงได้นึกถึงมังกรเร้นกายเสือหมอบที่มีอิทธิพลนับไม่ถ้วนประหนึ่งขนวัวที่จิงเฉิงขึ้นมา ตรงกันข้ามกับที่สู่จง เมื่ออยู่ที่นี่ประวัติของคุณหนูใหญ่ไม่เป็นที่ดึงดูดใจ ไม่แน่ว่าอาจหาคนดีๆ ได้สักคนหนึ่งก็เป็นได้ จึงขอร้องให้ฮูหญิงผู้เฒ่าของจวนโหวช่วยเหลือ ผูกด้ายแดงให้คุณหนูใหญ่สักครั้งหนึ่ง
นายท่านใหญ่กลับไม่เห็นด้วย รู้สึกว่าอย่างสกุลหวังจะปกป้องคุณหนูใหญ่ผู้หนึ่งไม่ได้เชียวหรือ
นายหญิงใหญ่โมโห เอ่ยถึงกูไหน่ไนห้าขึ้นมา หากพวกท่านไม่ช่วยออกเงินให้นางเป็นจำนวนสามพันตำลึงทอง เกรงว่านางคงไม่อาจหย่าขาดกับบุตรเขยห้าได้อย่างราบรื่นหรอกกระมัง
นายท่านใหญ่ยังเถียงอีกว่า นั่นเป็นเพราะท่านอารองของข้าตระหนี่เหลือจะกล่าว ให้สินเจ้าสาวกูไหน่ไนห้าน้อยเกินไป!
นายหญิงใหญ่โกรธจนตัวสั่น หากมิใช่เพราะคำพูดประโยคนี้ของท่าน คนที่มีเจตนาซ่อนเร้นเหล่านั้นจะถึงกับมาจับจ้องบุตรสาวของพวกเราหรือ
นายท่านใหญ่ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก จำต้องอนุญาตให้คุณหนูใหญ่เดินทางมาจิงเฉิง
ไป๋กั่วเข้าใจว่าพวกนางจะอยู่จวนหย่งเฉิงโหวไปจนกระทั่งคุณหนูออกเรือนเสียอีก สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ คุณหนูใหญ่ที่ปกติมักจะช่วยนายหญิงใหญ่โจมตีนายท่านใหญ่อยู่เสมอนั้นครั้งนี้กลับยืนข้างเดียวกับนายท่านใหญ่
นางคิดว่าตนต้องไปคุยเรื่องนี้กับคุณหนูใหญ่ดีๆ อย่างเร่งด่วน รีบพูดคุยให้ชัดเจนว่าคุณหนูใหญ่คิดเห็นอย่างไรเป็นดีที่สุด
ไป๋กั่วปล่อยตัวหงโฉวไปอย่างใจลอย “ครั้งนี้จะลองเชื่อเจ้าดูก่อน หากกระทำอีก ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ อีกเป็นแน่!”
หงโฉวกระโดดหนีออกมาจากความตายได้ รีบบีบนวดไหล่ไป๋กั่วอย่างประจบเอาใจ
ไป๋กั่วร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก ย้ำเตือนนางว่า “ในเมื่อตัวเองรับหน้าที่นี้มาแล้ว ก็ต้องทำงานให้ดี ช่วยดูความเคลื่อนไหวของข้างบ้านให้คุณหนูใหญ่อย่างเอาใจใส่ อย่าทำให้คุณหนูใหญ่ขุ่นเคืองใจ”
หงโฉวให้คำมั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไป๋กั่วปล่อยนางไปเล่นที่ลานด้านหลังเป็นเพื่อนหวังซี ส่วนตัวเองนำความไปแจ้งหวังสี่
เพียงแต่ว่านางเพิ่งพ้นออกมาจากประตูชั้นในของสวนดอกไม้ เบื้องหน้ากลับได้พบกับหวังหมัวมัวและพานหมัวมัวคนที่มีอำนาจสูงสุดข้างกายโหวฮูหยินผู้นั้น
ทั้งสองคนต่างยิ้มแย้ม เบื้องหลังยังมีสาวใช้เด็กยกกะละมังทองเหลืองตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง
พานหมัวมัวผู้นั้นถึงกับกล่าวทักทายนางตั้งแต่ไกลๆ “นี่คือแม่นางไป๋กั่วคนข้างกายของคุณหนูต่างสกุลมิใช่หรือ ไม่พบเพียงไม่กี่วันก็ดูงดงามยิ่งขึ้นแล้ว!”
ไป๋กั่วสับสนงุนงงอยู่ในใจ
เมื่อก่อนพานหมัวมัวท่านนี้มิได้ปฏิบัติกับพวกนางอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้
ทว่านางมิได้แสดงออกทางสีหน้า ทำความเคารพพานหมัวมัวยิ้มๆ กล่าวทักทายนางว่า “วันนี้ท่านมีเวลาว่างมาได้อย่างไร” ไปด้วย พลางปรายตามองหวังหมัวมัวอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งไปด้วย
หวังหมัวมัวหันมาขยิบตาให้นางยิ้มๆ ครั้งหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง
และพานหมัวมัวก็ดึงมือไป๋กั่วไปพูดคุยด้วย “มิใช่ว่านี่ถึงฤดูรับประทานปลาตะลุมพุกพอดีหรอกหรือ มีคนส่งปลาตะลุมพุกมาให้สองตัว ฮูหยินของพวกข้าเห็นว่าคุณหนูต่างสกุลมาจากสู่จง คงไม่คุ้นชินกับอาหารการกินของทางนี้เป็นแน่ จึงให้ข้ามาเพิ่มรายการอาหารให้คุณหนูต่างสกุลอีกสักอย่างเป็นพิเศษ ดูว่าคุณหนูต่างสกุลอยากรับประทานแบบใดให้ข้าจับตาดูคนครัวปรุงเสร็จแล้วนำมาส่งให้”
นี่คงเป็นการมาขอโทษคุณหนูใหญ่ของพวกนางกระมัง
บ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวของจวนโหวได้รับรางวัลแล้วก็ยังกระทำตัวโอหัง อาหารที่ส่งมาให้คุณหนูใหญ่ของพวกนางยังคงไม่ใส่ใจเช่นเดิม พวกนางจึงให้หลงจู๊ใหญ่ประจำสาขาจิงเฉิงช่วยซื้อบ่าวหญิงสูงวัยที่เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารซื่อชวนเข้ามารับใช้ที่จวนสองคน
โหวฮูหยินคงได้ยินข่าวลือแล้วรู้สึกไม่ดีกระมัง
ไป๋กั่วใคร่ครวญอยู่ในใจ กลับเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ทำให้โหวฮูหยินต้องลำบากแล้ว ประเดี๋ยวท่านพบโหวฮูหยินต้องกล่าวขอบคุณแทนคุณหนูใหญ่ของพวกข้าสักครั้ง โหวฮูหยินดูแลคุณหนูของพวกข้าอย่างเอาใจใส่นัก คุณหนูของพวกข้าซาบซึ้งใจยิ่งแล้ว เพียงแต่ว่าสองวันนี้ต้องอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า ไม่มีเวลาว่างไปกล่าวขอบคุณโหวฮูหยินเป็นการเฉพาะ ขอโหวฮูหยินอย่าได้ถือโทษ!”
ฮูหยินที่เป็นนายหญิงของจวนโหวทั้งสองสามท่านล้วนดีกับคุณหนูใหญ่ของพวกนาง โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่าและกูไหน่ไนใหญ่ที่อยู่ไกลถึงจินหลิง ผู้หนึ่งดูแลเอาใจใส่ทุกอย่างประหนึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง ยังพาไปไหว้พระขอพรที่วัดเต๋า ขอให้ช่วยปกปักรักษาคุณหนูใหญ่ให้อยู่ดีมีสุข ส่วนอีกผู้หนึ่งอยู่ไกลนับพันลี้ก็ยังส่งของมาให้เป็นจำนวนมาก มีเพียงบ่าวในจวนโหวที่มักจะประจบผู้แข็งแกร่ง รังแกผู้อ่อนแอ เป็นคนตาไร้แวว
อย่างไรก็ตาม ป่าดงพงไพรกว้างใหญ่ย่อมมีปักษาหลายหลาก นี่ก็เป็นปัญหาทั่วไปของบ้านสกุลใหญ่ ไม่นับเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร
ไป๋กั่วและพานหมัวมัวสนทนากันอีกสองสามประโยคถึงได้แยกย้ายกันไป
***
ลานด้านหลังของสวนหิมะงามหนาแน่นไปด้วยต้นดอกหลี ดั่งหิมะแรกปกคลุมกิ่งก้าน ขาวโพลนไปทั่วทั้งผืน
หวังซีสวมเสื้อผ้าไหมแขนแคบพอดีตัวสีถั่วเขียว กำลังเตะลูกขนไก่เล่นกับหงโฉวอยู่ใต้ต้นหลี
ลำแสงสีทองลอดผ่านร่มเงาไม้ลงมา ส่องสะท้อนอยู่บนดวงหน้าแดงปลั่งของนาง สุกสว่างสดใสกว่าอาทิตย์วสันต์ดวงนั้นอยู่หลายส่วน
พานหมัวมัวที่เดินตามหวังหมัวมัวเข้ามานั้นเป็นผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เมื่อได้เห็นภาพนั้นก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ถึงได้สติคืนกลับมา
นางนึกถึงตอนที่ตนเห็นหวังซีเป็นครั้งแรก หวังซีสวมชุดกระโปรงหรูหราปักลายตามแบบฉบับของซื่อชวน ห่มผ้าคลุมไหล่ทำจากขนหมาไม้[3]สีดำ เดินผ่านหน้านางไปโดยมีหญิงรับใช้คอยห้อมล้อมอยู่หนึ่งกลุ่ม
ตรงกลางสร้อยคอวาววับมีทับทิมสีแดงขนาดเท่าไข่ห่านห้อยอยู่หนึ่งเม็ด ดูมีน้ำหนักและเปล่งประกายระยับ ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้
พานหมัวมัวถึงกับมิได้มองใบหน้าของนางให้ชัดเจน
คิดไม่ถึงว่าหวังซีที่เปลื้องอาภรณ์หรูหราออกแล้วจะงดงามเพียงนี้ ประหนึ่งบุษบาวิจิตรดอกหนึ่งก็ไม่ปาน
มองสำรวจอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้แล้ว มีความคล้ายคลึงกูไหน่ไนใหญ่ของพวกเขาอยู่สี่ถึงห้าส่วนจริงๆ!
พานหมัวมัวยิ้ม ก้าวออกมาทำความเคารพนาง
หวังซีหมุนกายเดาะลูกขนไก่เพียงลำพัง จากนั้นเตะลูกขนไก่ไปที่หงโฉว ส่วนตัวเองกลับยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นหลี หันไปกวักมือเรียกสาวใช้เด็กที่ยกน้ำร้อนและผ้ายืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้าให้พานหมัวมัว
สาวใช้เด็กที่อยู่ด้านข้างก้มหน้าลงสองมือประคองผ้าร้อนส่งให้หวังซีอย่างนอบน้อม
หวังซีรับผ้ามา เช็ดมือเสร็จแล้วถึงได้เอ่ยถามพานหมัวมัวว่า “ท่านมาได้อย่างไร มาหาข้ามีเรื่องสำคัญอะไรหรือ”
กิริยาท่าทางนี้ ไม่เหมือนคุณหนูแต่กลับเหมือนคุณชายน้อยผู้หนึ่งมากกว่า
พานหมัวมัวรู้สึกกดดันเล็กน้อยอย่างยากจะอธิบาย สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว ยิ้มตาหยีบอกกล่าววัตถุประสงค์การมาเยือนใหม่อีกหนึ่งรอบ
หวังซีกลับมิได้คิดมาก
บิดานางสอนนางมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งเพียงหนึ่งสยบผู้เป็นวรยุทธ์สิบคนได้
มีเพียงตอนเผชิญหน้ากับคนระดับเดียวกันเท่านั้นถึงจำเป็นต้องใช้สมองขบคิด
คนต่างระดับกัน เพียงดูว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่าก็ได้แล้ว
และพานหมัวมัวกับนางนั้น เห็นได้ชัดว่ามิใช่คนระดับเดียวกัน
เบื้องหน้าพานหมัวมัวว่าอย่างไร นางก็จะฟังอย่างนั้น
นางโยนผ้าให้สาวใช้เด็กข้างกาย กวักมือเรียกสาวใช้เด็กที่ยกกะละมังทองเหลืองอยู่ให้เข้ามาหา
ปลาตะลุมพุกที่เลี้ยงอยู่ในกะละมังทองเหลืองยาวไม่เกินครึ่งฉื่อ[4] เกล็ดปลาระยิบระยับแวววาว ปราดเปรียวเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
หวังซียื่นมือขาวเนียนนุ่มจุ่มลงไปในน้ำกวนเบาๆ
ปลาสองตัวส่ายหัวสะบัดหางไปมา เกือบจะกระโดดออกมาจากกะละมังทองเหลืองแล้ว
หวังซีเม้มปากอมยิ้ม รับผ้าร้อนจากสาวใช้เด็กมาเช็ดมืออีกครั้ง จากนั้นยิ้มบอกให้พานหมัวมัวกล่าวขอบคุณโหวฮูหยินแทนนางด้วย กล่าวอีกว่า “เรื่องจับตาดูเรือนครัวปรุงสุกแล้วยกมาให้นั้นอย่าเลยดีกว่า บ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวของข้าพอมีฝีมือทำอาหารอยู่บ้าง ให้พวกนางได้มีอะไรทำบ้างก็แล้วกัน”
นี่เป็นเพราะรังเกียจฝีมือการทำอาหารของบ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวของจวนพวกเขาหรือเพราะรู้สึกว่าถูกดูแคลนมากันนะ?
พานหมัวมัวหน้าร้อนผะผ่าว อธิบายกว่าครึ่งค่อนวันว่า “ล้วนเป็นความเลินเล่อของข้า โหวฮูหยินเองเพิ่งจะทราบเรื่อง ได้ไปหารือกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าควรจัดการอย่างไรดีเรียบร้อยแล้ว”
บ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวผู้นั้นแต่เดิมเป็นบ่าวติดตามมาจากบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า หาไม่แล้วคงมิหาญกล้าถึงเพียงนี้
………………………………………………………………………………..
[1] จ่างกงจู่ เป็นตำแหน่งขององค์หญิงที่เป็นพระเชษฐภคินีหรือพระขนิษฐาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
[2] น้ำมันหมูพอกหัวใจ กล่าวถึงคนที่มองปัญหาเพียงผิวเผิน ผู้อื่นว่าอย่างไรก็เฮโลตามนั้น ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
[3] หมาไม้ เป็นสัตว์ที่ถูกล่าเพื่อนำขนมาทำเป็นเสื้อขนสัตว์ที่มีมูลค่าและราคาแพง ภาษาจีนเรียก “เตียว (貂) โดยความหมายคลอบคลุมถึง “มาร์เทิน (marten)” “เซเบิล (sable)” และ “มิ้ง (mink)”
[4] ฉื่อ มาตรวัดความยาว หนึ่งฉือเท่ากับ 0.333 เมตรโดยประมาณ
ตอนต่อไป