เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล – ตอนที่ 12 ทางลัด

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

กล่าวได้ว่าที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ที่สวนร่มหลิวมีความเกี่ยวพันกับเฉินลั่วบุตรชายของจ่างกงจู่นี่เอง!

แต่เฉินลั่วพาองค์ชายรองและองค์ชายสามมาปีนกำแพงได้ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮ่องเต้ดีมากจริงๆ

หวังซีกระเดาะปาก

นึกถึงคนรำกระบี่ผู้นั้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เพียงรูปหน้าที่โดดเด่น อากัปกิริยาทั้งหมดยังเผยความไม่เกรงกลัวใต้หล้าเอาไว้ด้วยสายหนึ่ง

นี่มิใช่ลักษณะที่คนธรรมดาสามัญทั่วไปจะมีได้

หรือว่าเขาคือเฉินลั่ว?

หวังซีขมวดคิ้ว

เช่นนี้คงยุ่งยากแล้ว

นางยังคิดว่าตอนกลับบ้าน อยากหาวิธีพาตัวคนกลับสู่จงด้วย ไปเป็นองครักษ์ให้นาง

ถ้าหากคนผู้นั้นคือเฉินลั่ว เขาไม่มีทางไปกับนางแน่ เช่นนั้นต่อให้เขาหล่อเหลากว่านี้ วิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านี้ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนางแล้ว!

หวังซีแสนเสียดาย ถามฉังเคอว่า “วิทยายุทธ์ของเฉินลั่วเป็นอย่างไร”

จะให้ดีที่สุดคือมีภาพเหมือนของเฉินลั่วสักภาพหนึ่ง

อย่างไรก็ตามฉังเคอย่อมไม่มีแน่ๆ

แต่ถ้าคนรำกระบี่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินลั่ว ดีร้ายก็ช่วยลดขอบเขตการสืบข่าวให้นางได้

ฉังเคอเห็นนางสนใจเรื่องของจวนจ่างกงจู่เป็นอย่างมาก ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นมาหลายส่วน กล่าวเจือความเสียใจเล็กน้อยว่า “ข้าไม่รู้! สกุลเฉินเป็นตระกูลทหาร วิทยายุทธ์ของคุณชายใหญ่เฉินพี่ชายของเขาล้ำเลิศยิ่ง ข้าได้ยินพวกพี่ชายพูดคุยกันเป็นครั้งคราว ว่ากันว่าวิทยายุทธ์ของคุณชายใหญ่เฉินน่าจะล้ำเลิศที่สุดในบรรดาคนรุ่นเด็กของตระกูลชั้นสูงในจิงเฉิงแล้ว แต่ก็ยากจะบอกได้ เมื่อก่อนการเข้าร่วมกองพลม้าทะยานนั้นต้องผ่านการทดสอบวิทยายุทธ์ แต่หลายปีมานี้ไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นแล้ว อย่างพี่ชายสามของข้า วิทยายุทธ์ธรรมดาสามัญมาก ณ ตอนจะเข้าร่วมกองพลม้าทะยานยังเคยไปฝึกฝนเพิ่มเติมกับท่านอาจารย์ของตระกูลเฉินด้วย คุณชายรองเฉินเข้าร่วมกองพลม้าทะยานเพราะฮ่องเต้ส่งไปด้วยพระองค์เอง ย่อมไม่มีคนกล้าทดสอบวิทยายุทธ์ของเขาอยู่แล้ว!…

…แต่ตอนเป็นเด็กเวลามีเรื่องชกต่อยกันเขาไม่เคยแพ้มาก่อน หากไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ คงทำไม่ได้กระมัง!”

หรือว่าคนรำกระบี่ผู้นั้นจะเป็นเฉินอิงคุณชายใหญ่ของตระกูลเฉิน?

หวังซีถาม “ศาลากวางร้องนั่นเป็นลานบ้านของคุณชายรองเฉินหรือ เขาอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า แล้วตอนนี้เขายังอาศัยอยู่ที่นั่นหรือไม่”

หรือไม่ก็ต้องลองสืบเรื่องคนข้างกายของเฉินลั่วดู

มีฝีมือและหน้าตาเช่นนั้น ย่อมมิใช่คนธรรมดาสามัญแน่!

หวังซีรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

ฉังเคอพยักหน้าหงึก กล่าวว่า “คุณชายรองอาศัยอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าเขากับจ่างกงจู่ไม่ลงรอยกัน นับตั้งแต่เขาไปกองพลม้าทะยาน ก็ซื้อบ้านอยู่ที่เขตต้าสือยงหลังหนึ่ง พักอยู่ที่นั่นเป็นส่วนใหญ่ นานๆ ทีถึงจะกลับมา แต่ก็ไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงแทน เขาน่าจะไม่ได้กลับมาที่ศาลากวางร้องนานแล้ว หาไม่ท่านป้าสะใภ้รองก็คงไม่เสนอให้ข้าย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิว พี่ชายสามฉังกับสองพี่น้องตระกูลเฉินสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง”

กล่าวจบ นางก้มหน้าลง สีหน้าดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย

หวังซีลูบคาง

ดูทีแล้วนายหญิงรองช่างวางตัวเก่งยิ่งนัก

ทั้งๆ ที่นางเป็นคนบีบคั้นให้บ้านสามสละที่ให้ ทว่าคนที่ให้ฉังเคอย้ายไปอยู่สวนร่มหลิวกลับเป็นนายหญิงสาม

ไม่แปลกที่ฉังเคอจะเสียใจ

สิ่งที่คิดไม่ถึงคือ คุณชายสามฉังช่างมีความสามารถ ผูกสัมพันธ์กับสองพี่น้องของจวนเจิ้นกั๋วกงได้ด้วย

ความคิดเหล่านี้แค่วาบผ่านเข้ามาในหัวของหวังซีแล้วก็จากไป นางรู้สึกว่าเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดของตัวเองในตอนนี้คือต้องหาวิธีไปหาภาพเหมือนของเฉินลั่วมาให้ได้สักรูปหนึ่งถึงจะใช้การได้

ได้เห็นภาพเหมือนก็รู้แล้ว หากคนรำกระบี่ผู้นั้นคือเฉินลั่ว นางก็จะไม่เข้าไปยุ่งอีก แต่ถ้าเป็นผู้อื่น นางคิดว่าด้วยอำนาจเงินทองของสกุลหวังแล้ว น่าจะขุดกำแพงจวนจ่างกงจู่สักครั้งหนึ่งได้

หวังซีพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายส่วน ถามฉังเคอเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ อีกเล็กน้อย “องครักษ์ของจวนจ่างกงจู่มาจากที่ใด วิทยายุทธ์เป็นอย่างไรบ้าง”

นางรู้ว่าหัวหน้าผู้ดูแลจวนจ่างกงจู่เป็นคนอายุห้าสิบกว่าปีผู้หนึ่ง มิใช่คนรำกระบี่ผู้นั้นอย่างแน่นอน

ฉังเคอยิ้มกล่าว “บางส่วนเป็นคนของจวนเจิ้นกั๋วกง บางส่วนเป็นองครักษ์ส่วนตัวที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ วิทยายุทธ์ของคนจวนเจิ้นกั๋วกงย่อมดีมาก ผู้ติดตามจำนวนมากของพวกเขาล้วนเคยติดตามท่านกั๋วกงผู้เฒ่าหรือไม่ก็ท่านกั๋วกงไปรบกับชนเผ่าหว่าล่า[1]มาก่อน ส่วนองครักษ์ส่วนตัวที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เหล่านั้นยากจะกล่าว หลักๆ แล้วพวกเขาดูทรงอำนาจ เวลากระทำสิ่งใดดูสง่าผ่าเผย…”

ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกัน ฉังเคอเล่าทุกอย่างที่รู้

นางสังเกตเห็นว่าหวังซีดูสนใจจวนจ่างกงจู่มากเป็นพิเศษ จึงบอกนางว่า “วันที่ยี่สิบสองเดือนสี่เป็นวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ ช่วงเวลานี้ของทุกปีนางล้วนเชิญสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงไปร่วมงานเลี้ยง ก่อนหน้านี้ครอบครัวของพวกข้าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่ได้เข้าร่วมมาสองปีแล้ว ปีนี้สิ้นสุดการไว้ทุกข์ พี่สาวรองและพี่สาวสามเองก็เข้าพิธีปักปิ่นกันหมดแล้ว ท่านย่าย่อมพาพวกเราไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดที่จวนจ่างกงจู่ด้วยเป็นแน่ เจ้าก็จะได้ไปดูด้วยเช่นกัน” กล่าวถึงตรงนี้ เสียงนางขาดห้วงไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “พี่สาวสกุลซือเองก็จะมาอยู่ที่บ้านระยะหนึ่งมิใช่หรือ ก่อนนี้นางเลือกมาก สูงก็ไม่เหมาะต่ำก็ไม่ได้ จึงไม่ได้กำหนดงานแต่งงานเสียที ครานี้เดินทางมาเมืองหลวงอย่างกะทันหัน โดยมากก็น่าจะมาเพื่อร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่!”

หวังซีย่นคิ้วขึ้น

ฉังเคอนึกถึงความคิดชั่วร้ายที่ฉังหนิงมีต่อนาง คิดว่าจำเป็นต้องย้ำเตือนหวังซีไว้สักหน่อยถึงจะถูก

เมื่อครุ่นคิดพิจารณาแล้ว นางกล่าวต่อว่า “ข้าได้ยินคนข้างกายของพี่สาวสามกล่าวว่า ฮ่องเต้ต้องลมหนาวประชวรมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ยังไม่หายสนิท ฮองเฮาเหนียงเหนียงมีประสงค์คัดเลือกชายาให้องค์ชายสองสามพระองค์ที่ถึงวัยเหมาะสม พี่สาวสกุลซือเองก็น่าจะได้ยินข่าวนี้แล้วเป็นแน่ ไม่เชื่อเจ้าลองคอยดู แปดถึงเก้าในสิบส่วนนางจะต้องเร่งเดินทางมาให้ถึงเมืองหลวงก่อนวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่”

องค์เหนือหัวพระองค์ปัจจุบันมีองค์ชายเก้าพระองค์ นอกจากองค์ชายใหญ่ที่เสกสมรสแล้ว องค์ชายพระองค์อื่นล้วนยังไม่ได้คัดเลือกชายา โดยเฉพาะองค์ชายรองที่ถือกำเนิดมาจากฮองเฮา ปีนี้มีพระชนมายุยี่สิบสามพรรษา ผ่านวัยสร้างครอบครัวมานานแล้ว แม้นมีเหลียงตี้[2]สองคน ทว่ายังไม่ยอมตัดสินใจเลือกชายาสักที มีเสียงตำหนิติฉินทั้งในและนอกราชสำนักเป็นจำนวนมาก จักรพรรดินีอยากใช้งานวันคล้ายวันเกิดของจ่างจงกู่ดูตัวบุตรีของขุนนางก็ถือเป็นเรื่องปกติ

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” หวังซีมองฉังเคอด้วยความอัศจรรย์ใจ

ฉังเคอรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย กล่าวเสียงค่อยว่า “ความจริงแล้วท่านป้าสะใภ้ใหญ่อยากให้พี่สาวรองผูกมิตรกับองค์หญิงฟู่หยาง ก่อนหน้านี้พวกนางไปมาหาสู่กับจวนจ่างกงจู่อยู่เสมอ ไปๆ มาๆ พี่สาวสามเองก็ได้รู้จักองค์หญิงฟู่หยางไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวรองกับองค์หญิงฟู่หยางธรรมดาสามัญ ทว่าพี่สาวสามกลับสนิทสนมกับองค์หญิงฟู่หยางเป็นอย่างยิ่ง ที่พี่สาวสามรู้เรื่องพวกนี้ โดยมากคงเป็นองค์หญิงฟู่หยางเล่าให้นางฟัง”

ฮ่องเต้มีองค์ชายหลายพระองค์ ทว่ามีองค์หญิงเพียงหนึ่งพระองค์เท่านั้น มารดาผู้ให้กำเนิดยังเป็นซูเฟย[3]ที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดอีกด้วย

“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!” หวังซีอดชูนิ้วโป้งให้บุตรสาวคนโตและบุตรชายคนโตของบ้านรองไม่ได้

“เจ้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันหรือ!” ฉังเคอถาม แววตาที่มองหวังซีสว่างเจิดจ้าขึ้นมา “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เชื่อมสัมพันธ์ ทว่าพี่สาวสามกลับได้ประโยชน์แทน ตอนข้าพูดกับท่านแม่ของข้า แม่ข้ายังบอกว่าข้าไม่รู้จักหน้าที่ วันๆ รู้จักแต่เรื่องพวกนี้ หนังสือ ‘เสนาบดีหญิง’ ที่ท่านอาจารย์มอบหมายให้ท่องยังท่องไม่ถึงบทที่หกเลย”

นางดูสลดหดหู่ใจเล็กน้อย

“ไม่ๆๆ” หวังซีรีบกล่าว “เจ้าเองก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน! ข้ามาถึงนานขนาดนี้ กลับไม่เคยได้ยินข่าวลืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว”

“จริงหรือ!” ฉังเคอพึมพำถามกลับ ทว่าแววตาเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม!” หวังซีกล่าวชมฉังเคอ ทว่าในใจกลับถอนหายใจไม่หยุด

นางเป็นอย่างที่ท่านย่าของนางกล่าวเอาไว้จริงๆ อ่อนเดียงสาไปหน่อย

นอกจากไม่สังเกตว่าฉังเคอผู้นี้เป็นคนเห็นทะลุแต่ไม่เปิดเผยแล้ว ยังไม่สังเกตเห็นความเฉียบแหลมของฉังเหยียนอีกด้วย

ช่างสมกับที่ว่าสามคนเดินมา ต้องมีอาจารย์ข้าหนึ่งคนนั่นเสียจริงๆ

ตอนหวังซีได้พบฉังเหยียนอีกครั้ง อดมองนางเพิ่มอีกสองครั้งไม่ได้

นางสัมผัสได้ถึงสายตาของหวังซี หันมาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้หวังซี ท่าทีสุภาพอ่อนหวานยิ่ง

เมื่อเปรียบเทียบกับฉังหนิงที่ไม่ว่ามีอารมณ์ความรู้สึกอะไรก็เขียนเอาไว้บนใบหน้าทุกอย่างและไม่รู้ว่าจะระเบิดอารมณ์ออกมาเวลาใดผู้นั้นแล้ว หวังซียินดีคบหากับฉังเหยียนมากกว่า อย่างน้อยก็ไม่โวยวายต่อหน้าสาธารณชนจนทุกคนต้องอับอายไปด้วย

หวังซีเบนสายตาไปที่ฉังหนิงอีกครั้ง

นับว่าเรื่องของฉังเคอได้รับการแก้ไขเป็นการชั่วคราวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มีอารมณ์เจอคนรุ่นเด็กๆ อย่างพวกนางแล้วเช่นกัน วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ฉังเคอมาพบหวังซี ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มให้พวกเด็กๆ ไปคารวะเช้าเย็น

ทุกคนต่างนั่งห้อมล้อมฮูหยินผู้เฒ่าพูดคุยเรื่องต่างๆ ภายในบ้านกันอย่างมีความสุข ทว่าฉังหนิงกลับดึงแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้กล่าวออดอ้อนว่า “ข้าก็อยากมาอยู่เรือนหยกวสันต์ด้วย น้องสาวสี่เป็นหลานสาวของท่าน แล้วข้ามิใช่หรืออย่างไร ข้าเองก็อยากมาอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าที่เรือนหยกวสันต์ด้วย ท่านอนุญาตด้วยเถิดนะเจ้าคะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะร่า ดูออกว่ามีความสุขกับการที่พวกเด็กๆ เสน่หารักใคร่เช่นนี้เป็นอย่างมาก “เรือนย่าคับแคบนัก หลานสี่เข้ามาอยู่ด้วยก็ลำบากนางมากแล้ว เจ้ายังจะเพิ่มปัญหาอะไรอีก”

“ข้ามิได้เพิ่มปัญหานะเจ้าคะ” ฉังหนิงทำปากยื่น “เรือนข้าก็คับแคบเช่นกัน รอพี่ชายสามแต่งงานเสร็จก็คงถึงคราวของพี่ชายสี่แล้ว เรือนของพี่ชายสี่คับแคบกว่าของพี่ชายสามเสียอีก ถึงเวลานั้นข้าเองก็คงต้องสละที่ให้พี่ชายสี่เป็นแน่ แทนที่จะต้องย้ายออกตอนนั้น มิสู้มาอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าเสียแต่เนิ่นๆ! ท่านอนุญาตให้ข้าย้ายมาเถิดนะเจ้าคะ!”

นางไม่ยอมรามือ

ทว่าสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไร

ตอนท่านโหวผู้เฒ่ายังอยู่ ไม่ถึงกับหลงอนุจนละเลยภรรยา แต่เขารับอนุภรรยาเข้าบ้านมาคนแล้วคนเล่าและคลอดบุตรคนแล้วคนเล่า ทั้งหมดนี้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องเป็นคนจัดการดูแลทั้งสิ้น นางไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนอิจฉาริษยาไร้คุณธรรม เช่นนั้นแล้วตัวเองก็เลยจำต้องทนทุกข์ นางทนท่านโหวผู้เฒ่ามาครึ่งค่อนชีวิต ไม่ง่ายเลยกว่าจะอดกลั้นจนท่านโหวผู้เฒ่าจากไป นอกจากบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองสองคนแล้วก็มีบุตรชายที่ถือกำเนิดมาจากสาวใช้ข้างกายที่นางมอบให้ท่านโหวผู้เฒ่าเพื่อช่วยรักษาความโปรดปรานให้นางตอนนั้น บัดนี้นอกจากได้เพลิดเพลินมีความสุขจากความกตัญญูกตเวทีของบุตรชายแล้วยังได้อยู่ในเรือนกว้างขวาง ไม่มีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจมากเท่าไรแล้ว ทว่าเพื่อเอาชนะแล้วหลานสาวรองของบ้านหลักกลับต้องการมาอยู่กับนางให้ได้

จะไม่ให้นางได้ยืดตัวขึ้นมาหายใจอย่างสะดวกสักครั้งจนตายเลยกระนั้นหรือ

แม้แต่การดูแลฉังเคอฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกไม่ค่อยยินดีแล้ว

ฉังเคอตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร

นางรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

ยามฉังหนิงไม่มีความสุข ก็ไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นได้มีความสุข

ดูทีนางคงอยู่เรือนหยกวสันต์ได้ไม่นานแล้ว

แน่นอนว่าทุกคนต่างแยกย้ายออกจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าไปอย่างไม่อภิรมย์นัก

ฉังเหยียนคร้านจะโน้มน้าวฉังหนิง นางขบคิดอยู่ในใจว่าในงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้จะสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับอะไรดี

ซือจูเองก็มิใช่คนว่าง่าย รอให้นางมาถึง ในจวนต้องมีเหตุการณ์สุนัขกระโดดลูกเจี๊ยบบินว่อนเป็นแน่

เพียงแต่ไม่รู้ว่าหวังซีจะเข้ากับนางได้หรือไม่

หวังซีนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนดูสดใสดั่งวันอากาศดีมีเมฆบางๆ ลมโชยเบาๆ ทว่าภายในกลับเป็นคนที่ยอมรับการดูถูกดูแคลนไม่ได้ผู้หนึ่ง

ใครจะแพ้หรือใครจะชนะนั้น โดยมากต้องดูว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเข้าข้างผู้ใด

ฉังเหยียนอยากกำหนดเรื่องงานแต่งงานของตัวเองให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งไม่อยากเป็นที่ดึงดูดความสนใจของคนในวังหลวง

แม้นองค์ชายรองจะถือครองตำแหน่งบุตรชายของภรรยาเอก ทว่าก็มิใช่บุตรชายคนโต

พระชนมายุยี่สิบสามพรรษาแล้วยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท

ต่อไปตำแหน่งบนราชบัลลังก์นี้ยังต้องช่วงชิงกันอีก นางไม่อยากเข้าสู่กระดานหมากในเวลานี้ ไม่ระมัดระวังเพียงหนึ่งก้าว อาจลากชีวิตของทุกคนในบ้านมาติดร่างแหไปด้วย

กลัวแต่ว่าฉังหนิงคนโง่เขลาดุจสุกรผู้นี้จะพาทุกคนลงหลุมไปด้วย

นางต้องคิดหาวิธีจับตาดูฉังหนิงเอาไว้ถึงจะดี

หากทำให้นางออกเรือนออกไปก่อนได้ก็ยิ่งดี

ในจิงเฉิงนี้มีผู้ใดเหมาะสมบ้างนะ

ฉังเหยียนขบคิดไปตลอดทาง ค่อยๆ กลับมาถึงสวนกล้วยไม้ที่พักอาศัยของบ้านรอง

หวังซีรอต่อไปอีกสองถึงสามวัน คัดพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ทว่านอกจากจะไม่ได้รับข่าวคราวของเฉินลั่วแล้ว คนรำกระบี่ก็ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกด้วย

หรือองค์พระโพธิสัตว์กำลังบอกนางเป็นนัยว่า นางกับคนรำกระบี่ผู้นั้นไร้วาสนาต่อกัน ให้นางไม่ต้องอยู่จวนหย่งเฉิงโหวต่อไปแล้ว?

หวังซีหดหู่ใจเล็กน้อย กำลังลังเลใจว่าควรจะเสนอตัวย้ายไปอยู่สวนร่มหลิวดีหรือไม่นั้น จวนหย่งเฉิงโหวก็เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง

……………………………………………………………………

[1] ชนเผ่าหว่าล่า ชนเผ่าหนึ่งในมองโกลตะวันตก

[2] เหลียงตี้ ตำแหน่งภรรยาองค์ชายมีศักดิ์รองจากชายาเอก

[3] เฟย พระชายาในองค์จักรพรรดิมีศักดิ์รองจากฮองเฮา หวงกุ้ยเฟย และกุ้ยเฟยตามลำดับ

ตอนต่อไป

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

Status: Ongoing
เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล นางเติบโตมาท่ามกลางความรักและอบอุ่น ส่วนเขามีแต่ความเย็นชาและหวาดระแวง หัวใจของเขาพลันหลอมละลายเมื่อได้พบนาง…หวังซี บุตรสาวจากตระกูลพ่อค้าแสนร่ำรวยเดินทางมาพักอาศัยชั่วคราวที่บ้านญาติ ณ เมืองหลวงที่นั่นนางได้พบกับ เฉินลั่ว ชายหนุ่มแสนเย็นชาที่พักอยู่ข้างบ้านนางและเขามีนิสัยราวกับเป็นขั้วตรงข้าม นางสดใส เขากลับเย็นชา ชอบทำหน้าปั้นปึ่งทั้งวันแต่ด้วยเหตุบังเอิญหลายอย่างทำให้นางได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเฉินลั่วและเรื่องราวซับซ้อนในวังหลวงหลายครั้งพานพบ จากคนแปลกหน้ากลายเป็นผู้รู้ใจท่ามกลางคลื่นลมมากมายในเมืองหลวง บุปผางดงามกลับค่อยๆ ผลิบานในใจของคนทั้งคู่…เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท