หวังซีในเวลานี้ถึงร้านขายยาแล้ว ท่านหมอเฝิงกลับไม่อยู่ที่ร้าน
นางผิดหวังอย่างยิ่ง ถามหลงจู๊ของร้านขายยาว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านผู้เฒ่าไปไหน
หลงจู๊อายุล่วงเลยสี่สิบปีค้อมกายเล็กน้อย กล่าวเสียงอบอุ่นว่า ท่านผู้เฒ่ามิได้แจ้งว่าไปที่ใดขอรับ
เช่นนั้นทราบหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไร นางถามอีก
ไม่ทราบขอรับ แต่เดิมหลงจู๊เป็นบ่าวเรือนเบี้ยของสกุลหวัง ต่อมาท่านปู่ของหวังซีมอบเป็นรางวัลให้ท่านหมอเฝิง มาเป็นบ่าวชายของท่านหมอเฝิง ท่านหมอเฝิงออกเดินทางไปท่องเที่ยว เขาเป็นผู้ติดตาม บัดนี้ท่านหมอเฝิงเปิดร้านขายยา เขาก็เป็นหลงจู๊ให้ คุ้นเคยกับหวังซีเป็นอย่างดี เรื่องภายในร้านขายยานอกเสียจากว่าได้รับการย้ำกำชับมาจากท่านหมอเฝิง หาไม่แล้วเขาไม่มีทางปิดบังนางอย่างแน่นอน หลายวันมานี้ท่านหมอเฝิงล้วนไม่อยู่ที่ร้าน ถามท่านผู้เฒ่าว่าไปทำอะไรก็ไม่บอก โชคดีที่ช่วงนี้นายน้อยอยู่ที่ร้านตลอด ไม่อย่างนั้นมีคนป่วยมาก็คงไม่มีคนตัดสินใจให้ได้
หลงจู๊รับใช้ท่านหมอเฝิงมานานหลายปี นานมาแล้วเคยเป็นผู้ช่วยหมอให้ท่านหมอเฝิงมาก่อน ให้ดูวัตถุดิบยามิใช่ปัญหา แต่หากต้องจับชีพจรรักษาคนไข้ ในจิงเฉิงที่มีเสือหมอบมังกรเร้นกายเช่นนี้ เขายังคงขลาดกลัวอยู่บ้าง กลับเป็นเฝิงเกาที่มีพรสวรรค์สูงส่ง สืบทอดทักษะความรู้ทางการแพทย์จากท่านหมอเฝิง ยังดูเป็นลูกศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์เล็กน้อยอีกด้วย ท่านหมอเฝิงอายุมากแล้ว จึงอยู่แต่ในห้องโถงไม่ออกไปรักษาตามบ้านแล้ว เรื่องออกไปรักษาตามบ้านมอบหมายให้เฝิงเกาทั้งหมด
คราก่อนที่หวังซีมาร้านขายยานั้นไม่เจอเฝิงเกา เพราะเขาออกไปรักษาคนป่วยตามบ้าน
นางโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
ยังดีที่ได้เจอเฝิงเกา
หากรู้แต่เนิ่นๆ น่าจะให้คนมาสอบถามล่วงหน้าก่อน
นางถาม พี่ชายเสี่ยวเกาเล่า
หลงจู๊ตอบ จัดเทียบยาอยู่ด้านหลังขอรับ!
ร้านขายยามีหกทางเข้า ด้านหลังห้องโถงยังมีห้องหนังสืออีกหนึ่งห้อง ด้านในล้วนเป็นคนไข้กับเทียบยา ด้านหลังห้องหนังสือเป็นที่พักของบรรดาหมอและลูกศิษย์
หลงจู๊เดินเข้าไปด้านในเป็นเพื่อนหวังซี
เบื้องหน้ากลับพบเฝิงเกาที่ได้รับแจ้งข่าวเรียบร้อยแล้ว
เขามีรูปร่างผอมสูง สวมชุดเต้าเผา[1]ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำเงิน ดวงหน้างามสง่านั้นแม้นไม่กล่าวสิ่งใดก็แต้มรอยยิ้มเอาไว้หลายส่วน ให้ความรู้สึกสุภาพเป็นกันเอง
ศิษย์น้องเล็ก! เขาเรียกสมญานามของหวังซี ยิ้มกล่าวว่า วันนี้เจ้ามาได้อย่างไร ท่านอาจารย์ไม่อยู่ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ข้าช่วยเหลือได้หรือไม่ กล่าวจบ เขากล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ต่อให้วันนี้เจ้าไม่มาหา ข้าก็ตั้งใจว่าอีกสองวันจะไปหาเจ้าอยู่ดี
หวังซีร้อง เอ๋ เสียงหนึ่ง ถามว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ
เฝิงเกามองหลงจู๊ครั้งหนึ่ง
หลงจู๊รีบถอยออกไป
เฝิงเกากล่าว เจ้าตามข้ามา
หวังซีและเฝิงเกาไปที่ห้องหนังสือด้านหลังห้องโถง
ทั้งสองคนนั่งลงข้างโต๊ะหนังสือตัวใหญ่กลางห้องหนังสือ ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ช่วยสาวใช้เด็กยกน้ำชาขึ้นโต๊ะให้พวกเขาทั้งสองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถอยออกไป ยังช่วยปิดประตูห้องหนังสือให้พวกเขาและเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วย
เฝิงเกาถึงได้กล่าวขึ้นว่า วันนั้นเจ้ามาที่ร้านขายยา เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เล่าให้ฟังได้หรือไม่
หวังซีประหลาดใจเล็กน้อย หวนนึกถึงคำพูดของหลงจู๊ที่บอกว่าหลายวันมานี้ท่านหมอเฝิงล้วนไม่อยู่ที่ร้านขายยา นางพลันร้อนใจขึ้นมา รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้เฝิงเกาฟังอย่างละเอียด
เฝิงเกาฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่เจ้ากลับไป หลายวันมานี้ท่านอาจารย์ล้วนออกจากบ้านแต่เช้ากลับมามืดค่ำ เริ่มแรกข้าคิดว่าท่านอาจารย์กลัวจะต้องพบคุณชายรองสกุลเฉินและองค์ชายรองอีก หรือไม่ก็อาจจะไปขอให้คนช่วยสืบดูว่าเหตุใดพวกเขาถึงมาหาท่านอาจารย์ให้ช่วยรักษาให้ ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อวานพอข้าสอบถามถึงได้รู้ว่า ช่วงนี้ท่านอาจารย์กำลังวุ่นอยู่กับการขอให้คนช่วยไปขอเครื่องหอมร้อยบุปผาที่อาจารย์เฉาอวิ๋นของวัดต้าเจวี๋ยเป็นคนผสมมาให้เขา นอกจากนี้แต่ละครั้งยังเอากลับมาด้วยเจ็ดถึงแปดกล่อง เรื่องนี้ ดูแปลกเล็กน้อย!
หวังซีฟังแล้วตกตะลึงงัน
ตอนแรกที่ท่านหมอเฝิงขอยืมตัวหวังสี่กับไป๋จื่อจากนาง ก็ให้พวกเขาแยกกันไปซื้อเครื่องหอมร้อยบุปผาของวัดต้าเจวี๋ยมาสองกล่องในนามของนางและฉังเคอ
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ทางยาหรือการผสมเครื่องหอม นางล้วนเรียนกับท่านหมอเฝิงมาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
เฝิงเกาคือผู้สืบทอดศาสตร์ทางการแพทย์ที่แท้จริงของเขา
ให้แยกแยะกลิ่นหอมอย่างหนึ่งนางไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นของที่ลึกล้ำไปกว่านั้นนางก็ไม่ค่อยเข้าใจแล้ว
นี่มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า หวังซีถามอย่างระมัดระวัง
เฝิงเกากล่าว ตามหลักแล้ว ท่านผู้เฒ่าควรจะกังวลว่าองค์ชายรองกับคุณชายรองเฉินจะมาหาเขาอีกเมื่อไรมากกว่ามิใช่หรือ
หวังซีกล่าว ปู่เฝิงบอกว่าวิธีการผสมเครื่องหอมของอาจารย์เฉาอวิ๋นเหมือนกับของเขามากมิใช่หรือ
เฝิงเกามองหวังซีครั้งหนึ่ง
หวังซีได้สติคืนกลับมา
จริงด้วย! ต่อให้วิธีการผสมเครื่องหอมของเฉาอวิ๋นกับท่านหมอเฝิงจะมาจากที่เดียวกัน ทว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจะขับไล่เฉินลั่วและองค์ชายรองที่มาหาถึงบ้านอย่างไรดีมากกว่า ท่านหมอเฝิงให้ความสำคัญกับเรื่องวิธีการผสมเครื่องหอมของเฉาอวิ๋นมาเป็นอันดับหนึ่ง บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าเรื่องเฉินลั่วกับองค์ชายรอง
หรือว่าเรื่องที่เฉินลั่วกับองค์ชายรองมาหาปู่เฝิงกับเรื่องของเฉาอวิ๋นผู้นั้นจะมีความเกี่ยวพันกัน หวังซีกล่าวคาดเดา
เฝิงเกาถอนหายใจ กล่าวว่า ข้ารู้ว่าถ้าถามเจ้าเจ้าต้องกล่าวเช่นนี้ ข้าตรวจสอบมาแล้ว องค์ชายรองกับฮองเฮาเหนียงเหนียงไปจุดธูปที่วัดหลิงกวงบ่อยๆ ส่วนฮ่องเต้กับซูเฟยเหนียงเหนียงกลับชอบไปวัดต้าเจวี๋ย ด้วยเหตุนี้องค์ชายรองจึงไม่สนิทสนมกับอาจารย์ที่วัดต้าเจวี๋ย เรื่องนี้จึงอาจไม่เกี่ยวข้องกัน
หวังซีกลับรู้สึกว่าเพราะทุกคนต่างคิดว่าสองเรื่องนี้ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ จึงเป็นไปได้ว่าสองเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเดียวกันอย่างพอดิบพอดี
นางเสนอความคิดให้เฝิงเกา พวกเราลองถามปู่เฝิงดูดีหรือไม่
เฝิงเกากล่าวอย่างไร้ทางออกว่า ข้าถามแล้ว ท่านผู้เฒ่าเอาแต่ตอบข้าพอเป็นพิธีตามมารยาทตลอด ข้าหมดหนทางแล้ว จึงดูว่าเจ้าพอจะช่วยได้หรือไม่
หวังซีกระตือรือร้นอยากลองดู
แต่นางรอจนกระทั่งช่วงบ่ายยามเว่ย[2]แล้วท่านหมอเฝิงก็ยังไม่กลับมา เรียกคนไปหาที่วัดต้าเจวี๋ยก็หาไม่เจอ
เช่นนั้นข้ากลับก่อน หวังซีกล่าวอย่างหงอยเหงา พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่!
เฝิงเกาพยักหน้า กล่าวอย่างขออภัยว่า พรุ่งนี้เจ้ามา ข้าจะพาเจ้าไปกินฟองเต้าหู้ม้วนยัดไส้ทอดกรอบกับเป็ดชั้นหนึ่งของหอวายุบูรพา
หอวายุบูรพาก็เป็นหอสุราที่มีชื่อเสียงมากของจิงเฉิง
วันนี้หวังซีกินอาหารเลื่องชื่อของไหวหยางอย่างเต้าหู้ฝอยต้ม เนื้อกุ้งขาวผัด และเนื้อปูปั้นต้มที่ร้านขายยาจนอิ่มแปล้
ตอนนี้เป็นต้นฤดูร้อน ยังมิใช่ช่วงเวลากินเป็ดกระมัง นางลังเลเล็กน้อย
เฝิงเกายิ้มกล่าว เป็ดชั้นหนึ่งของพวกเขาย่างถ่าน มิได้ต้มด้วยความร้อนสูง มีรสชาติอร่อยตลอดทั้งปี
ได้เลย ได้เลย! นางยิ้มยิงฟันจนตาหยี กล่าวว่า พรุ่งนี้เช้าข้าคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้วจะมาที่นี่ทันที
ท่าทางน่ารักน่าชังนั่น ทำให้เฝิงเกาอดไม่ได้ลูบศีรษะของนางก่อนแล้วค่อยส่งนางออกจากร้านขายยา
***
ณ ห้องฝั่งตะวันออกของเรือนประธานในสวนกล้วยไม้สถานที่พักอาศัยของบ้านรองจวนหย่งเฉิงโหว นายหญิงรองกำลังคุยกับฉังเหยียนบุตรสาวอยู่
นางพูดเช่นนี้จริงหรือ นายหญิงรองยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักว่าฉังหนิงจะโง่เขลาได้ถึงขั้นนี้ เป็นการพูดด้วยอารมณ์หรือเปล่า
ฉังเหยียนโกรธจนตัวสั่น เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง ข้าไม่สนว่านางพูดด้วยอารมณ์หรือไม่ ด้วยนิสัยของนางแล้ว มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง ตอนพี่สาวใหญ่ออกเรือน หากมิใช่เพราะข้าจับตาดูเอาไว้อย่างแน่นหนา นางก็คงจะกัดผิงกั่วที่ครอบครัวพี่เขยใหญ่ส่งมาให้ไปแล้วมิใช่หรือ
ธรรมเนียมปฏิบัติของจิงเฉิงนั้น หญิงสาวออกเรือน เพื่อขอให้มีความโชคดีและปลอดภัยแล้ว ครอบครัวสามีจะให้เด็กชายคนดูแลเกี้ยวถือแจกันดอกไม้และผิงกั่วร่วมทางมากับเกี้ยวมงคลด้วย
นายหญิงรองส่ายศีรษะกล่าวว่า เด็กคนนี้ก็บ้าดีเดือดเกินไปหน่อย ทุกครั้งที่คิดอะไรออกมาล้วนเป็นการสังหารศัตรูหนึ่งพัน แต่ตัวเองบาดเจ็บแปดร้อยทั้งสิ้น ไม่รู้ว่านิสัยของนางนี้ได้มาจากผู้ใด
ฉังเหยียนยิ้มเย็น กล่าวว่า ข้าว่าล้วนเป็นเพราะท่านป้าสะใภ้ใหญ่ตามใจจนเคยตัว
นางเล่าเรื่องที่วันนี้ฉังหนิงกล่าววาจาทิ่มแทงนางให้นายหญิงรองฟัง กล่าวจบ ร้องไห้เศร้าเสียใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวว่า ข้ายังปฏิบัติต่อนางไม่ดีพอหรือ ผู้ใดไม่อยากแต่งกับบุตรเขยเต่าทองคำบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นก็มิใช่คนที่นางถูกใจเสียหน่อย แม้ข้าจะมีความคิดเช่นนี้ แต่ก็มิได้ลอบพูดคุยกันส่วนตัว และมิได้ลอบติดต่อกันอย่างลับๆ ด้วย นางว่าข้าเช่นนี้ ไม่คิดถึงความรู้สึกข้าบ้างเลยหรือ
นายหญิงรองเดือดดาล ขยำผ้าเช็ดหน้าในมือจนเป็นก้อน
ฉังเหยียนบ่น ท่านป้าสะใภ้ใหญ่แต่งเข้ามาในบ้านของพวกเราได้อย่างไรกัน
ไม่มีคุณลักษณะของคนเป็นนายหญิงปกครองบ้านเลยแม้แต่นิดเดียว
นายหญิงรองยิ้มขื่น กล่าวว่า ก็เพราะปู่ของเจ้า ถูกใจที่ตระกูลของป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้ามีทรัพย์สมบัติมาก คิดว่าสินเจ้าสาวจะมากตามไปด้วย โดยไม่สนใจว่าหญิงสาวจะมีนิสัยเป็นอย่างไร และไม่สนด้วยว่าจะเป็นสะใภ้ใหญ่หรือสะใภ้รอง จึงตกลงหมั้นหมายงานแต่งนี้มาอย่างมึนๆ งงๆ เช่นนี้ นึกถึงตรงนี้ นางถอนหายใจยาวครั้งหนึ่งอย่างสะเทือนใจ จะว่าไปแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าเองก็เป็นคนชะตาอาภัพผู้หนึ่ง ภายหลังปู่ของเจ้าเห็นบ้านเดิมของนางตกต่ำ นางไม่มีสินเจ้าสาวมากมายขนาดนั้นแล้วก็อยากถอนหมั้น เจ้าลองคิดดู นี่ใช่เรื่องที่คนปกติธรรมดาทำออกมาได้หรือ
ฉังเหยียนตกใจมาก
นับเป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องนี้
พูดขึ้นมาแล้วนายหญิงรองก็รู้สึกเห็นใจพี่สะใภ้ของตัวเองผู้นี้ยิ่งนัก คำพูดดูปิดไม่มิดเล็กน้อย หากมิใช่เพราะบ้านเดิมของป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าเป็นตระกูลบัณฑิต ยังมีสหายเก่าแก่อีกหลายคนช่วยออกหน้าให้นางล่ะก็ เกรงว่าป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็คงโกนผมเป็นแม่ชีไปนานแล้ว ถึงเป็นเช่นนี้ นางแต่งเข้ามาก็ถูกปู่ของเจ้ารังเกียจอยู่หลายปี โชคดีที่นางยังนับได้ว่าเป็นคนมีบุญวาสนาผู้หนึ่ง อย่างแรกคือนางคลอดบุตรชายสองคนติดกัน ดีร้ายก็เอาชนะใจลุงใหญ่ของเจ้าได้ ต่อมาพี่น้องชายที่บ้านเดิมของนางก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้ ปู่ของเจ้าไม่อาจพูดอะไรได้อีก นางถึงมีที่ยืนอย่างมั่นคงในบ้านหลังนี้ได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ หลายปีนั้นปู่ของเจ้าไม่ให้ความสำคัญนาง นางกระทำสิ่งใดจึงดูขลาดกลัวไปบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้าก็อย่าตำหนินางที่ควบคุมอาหนิงไม่ได้เลย
จากนั้นนายหญิงรองก็หยิบยกเอาโหวฮูหยินมาเป็นตัวอย่างสอนบุตรสาว เพราะฉะนั้นแล้วเด็กผู้หญิงนี้หากมิใช่บิดาหรือพี่น้องชายในบ้านมีความสามารถ ก็ต้องเป็นตัวเองที่มีความสามารถ คุณชายสี่เจี่ยหน้าตาดี คุณสมบัติดี การศึกษาก็ดี หาจุดบกพร่องไม่ได้จริงๆ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ คนที่ถูกใจเขาก็ยิ่งมาก ครอบครัวพวกเราด้อยกว่าก็ตรงที่บิดาของเจ้ามิได้สืบทอดตำแหน่ง ซึ่งนี่ก็ทำอะไรไม่ได้ หากไม่สำเร็จจริงๆ เจ้าอย่าได้วางความนึกคิดจิตใจทั้งหมดไว้ที่เขาเป็นอันขาด มนุษย์ต้องเรียนรู้จักมีความสุขกับสิ่งที่ตนมี!
ฉังเหยียนหน้าเป็นเมฆชมพู ก้มหน้าลงด้วยความขัดเขิน พึมพำกล่าว ข้า…ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ! จากนั้นเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า ถ้าหาก…ถ้าหากครอบครัวของพวกเขาถูกใจหวังซีจริงๆ…
นายหญิงรองเลิกคิ้วขึ้น กล่าวกับบุตรสาวเสียงเคร่งว่า บุรุษใต้ผืนฟ้านี้ตายสาบสูญไปหมดแล้วหรือ เจ้าจึงต้องการมีเรื่องวุ่นวายใจกับพี่สาวน้องสาวของตัวเองให้ได้
ฉังเหยียนอับอายยิ่งนัก กล่าวว่า ข้า…ข้าก็แค่รู้สึกว่าหวังซีมิใช่พี่สาวน้องสาวจริงๆ ของเข้า
แล้วอย่างไร นายหญิงรองกล่าวเสียงขรึม แม้นพวกเจ้ามิได้เติบโตมาด้วยกัน แต่ขอเพียงระหว่างพี่สาวน้องสาวต่างคนต่างช่วยเหลือกันได้ จะต้องแบ่งแยกให้ชัดเจนขนาดนั้นไปเพื่ออันใด ตราบจนวันนี้ฮ่องเต้ก็ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท ทุกคนต่างคาดเดากันว่าเขาไม่ค่อยโปรดปรานองค์ชายรองเท่าไรนัก แต่จวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นลุงของแผ่นดินมาสองครั้ง ก็มิได้กินหญ้า ถึงเวลาผู้ใดจะได้ขึ้นราชบัลลังก์นั้น ตอนนี้มีผู้ใดกล้าตบอกกล่าวอย่างมั่นใจได้บ้าง จวนเซียงหยางโหวนั้นเป็นที่นับหน้าถือตาทั้งซ้ายขวา แข็งแกร่งกว่าตระกูลของพวกเรามาก ไม่ว่าผู้ใดได้แต่งเข้าตระกูลของพวกเขาก็ไม่เสียเปรียบมากนักทั้งสิ้น มีพี่สาวน้องสาวเช่นนี้สักคน เจ้ามีเหตุผลอะไรไม่ไปมาหาสู่ด้วยบ่อยๆ
ฉังเหยียนนึกถึงดวงหน้าดุจหยกของเจี่ยเฝิง สุดท้ายแล้วยังทำใจไม่ได้เล็กน้อย ลอบกัดฟันเงียบๆ ดึงมือของมารดา
ตนคลอดออกมาตนย่อมเข้าใจดี นายหญิงรองไหนเลยจะไม่รู้ความในใจของบุตรสาว แววตาหมองลงเล็กน้อย ลูบเรือนผมของบุตรสาวอย่างรักใคร่อ่อนโยน น้ำเสียงอบอุ่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ข้ารู้ แต่สิ่งที่หญิงสาวต้องระวังที่สุดคือกิริยา ไม่อาจอยากได้จนสูญเสียกิริยาไป
ฉังเหยียนอมยิ้ม กล่าวว่า ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่มีทางให้ผู้อื่นเอาไปนินทาอย่างแน่นอน
เจ้ารู้ก็ดีแล้ว นายหญิงรองกำชับบุตรสาวอีกครั้ง แต่งงานแล้ว เวลาครึ่งหนึ่งต้องใช้ร่วมกับแม่สามี เวลาอีกครึ่งหนึ่งใช้ร่วมกับบุตรชายหญิง ถ้าหากถูกแม่สามีรังเกียจเดียดฉันท์ ต่อให้สามีโปรดปรานเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
……………………………………………………………..
[1] ชุดเต้าเผา ชุดบุรุษคอป้ายคล้ายชุดหลวงจีน
[2] ยามเว่ย 13.00-15.00 นาฬิกา
ตอนต่อไป