ตอนคนของจวนเจียงชวนป๋อมา หวังซีจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเจียงชวนป๋อเป็นสตรีอายุหกสิบกว่าปีผู้หนึ่ง สวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวผ้าไหมหังโจวสีกรมท่าไร้ลวดลายค่อนข้างธรรมดา หน้าตาใจดีมีเมตตา ท่าทางสุขุม หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวพาสตรีรุ่นหลังกล่าวทักทายนางเสร็จเรียบร้อย นางยิ้มแย้มจับมือของซือจูไว้กล่าวกับนางว่า เจ้ากลับมาจิงเฉิงตั้งแต่เมื่อใด ผู้ใหญ่ในบ้านล้วนสบายดี?
จากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวมา ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเจียงชวนป๋อมีความสัมพันธ์อันดีกับย่าของซือจู
ซือจูเองก็ค่อนข้างนอบน้อมยามอยู่ต่อหน้านาง นอกจากตอบคำถามอย่างเรียบร้อยแล้ว ยังเป็นคนกล่าวทักทายคุณหนูใหญ่ของจวนเจียงชวนป๋อก่อนอีกด้วย
แม้นคุณหนูใหญ่ของจวนเจียงชวนป๋อจะมีอายุเพียงสิบสองปี ทว่ารูปหน้าดั่งภาพวาด เป็นหญิงงามผู้หนึ่ง พอจะมองเห็นอนาคตแล้วว่าเมื่อโตขึ้นไปจะงามเพริศพริ้งเพียงใด
หวังซีเห็นนางมีส่วนคล้ายคลึงกับย่าของนางเพียงสามถึงสี่ส่วนเท่านั้น คาดเดาว่ามารดาของนางคงเป็นหญิงงามที่พบเห็นได้ยากผู้หนึ่ง
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เจียงชวนป๋อยังไม่แต่งงานใหม่หรือเปล่านะ
หวังซีคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ตรงนั้น สตรีของจวนเซียงหยางโหวก็มาถึง
ทุกคนต้องไปแลกเปลี่ยนคำทักทายกันอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นางเห็นสตรีจากจวนเซียงหยางโหวปฏิบัติต่อฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเจียงชวนป๋อด้วยความเคารพและให้เกียรติมากเช่นกัน อดกระซิบถามฉังเคอไม่ได้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้มีอะไรที่ไม่ธรรมดาหรือไม่
ฉังเคอครุ่นคิดกว่าครู่ใหญ่ กล่าวอย่างลังเลว่า ว่ากันว่านางเคยมีบุญคุณกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่มาก่อน นี่นับหรือไม่
หวังซีสนใจเป็นอย่างยิ่ง ถามว่า บุญคุณแบบใดหรือ
ฉังเคอคิดแล้วคิดอีก ส่ายศีรษะกล่าว ข้าเองก็ไม่กระจ่างแจ้งในรายละเอียดนัก รู้เพียงว่าทุกครั้งที่เป่าชิ่งจ่างกงจู่จัดงานเลี้ยง ที่นั่งของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อล้วนค่อนไปทางด้านหน้าเสมอ
ช่างน่าสนใจยิ่ง
หวังซีคิด มีเสียงอึกทึกหนึ่งดังมาจากข้างหู
ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นหญิงรับใช้หนึ่งกลุ่มเดินล้อมสตรีสวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวสีแดงสดเลื่อมทองผู้หนึ่งเข้ามา
ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่กระซิบกล่าวว่า เป่าชิ่งจ่างกงจู่มาแล้ว!
สตรีจากจวนหย่งเฉิงโหวก็ดี สตรีจากจวนเซียงหยางโหวก็ดี ชั่วพริบตานั้นคล้ายกับนิ่งเงียบกันหมด เผยให้เห็นความประหม่าสายหนึ่ง
หวังซียิ้มน้อยๆ เขย่งเท้าขึ้นมอง
จ่างกงจู่ผู้มีชื่อเสียงเขย่าขวัญจิงเฉิงท่านนี้ปีนี้น่าจะเป็นงานวันคล้ายวันเกิดปีที่สี่สิบเจ็ดของนาง แต่ดูแล้วนางคล้ายกับมีอายุเพียงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีเท่านั้น แต่มิได้จะกล่าวว่านางดูแลตัวเองดีมากเพียงใดเทือกนั้น อย่างโหวฮูหยินของจวนเซียงหยางโหว อายุไล่เลี่ยกับจ่างกงจู่ ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตาสุกใส สภาพดูดีกว่าเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเสียอีก แต่เมื่อตั้งใจมองอย่างละเอียด ยังคงสัมผัสได้ว่าอายุนางไม่น้อยแล้ว จ่างกงจู่กลับไม่เหมือนกัน ความอ่อนเยาว์ของนาง เป็นความอ่อนเยาว์ที่ไม่ขัดกับความรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงมีผิวกระจ่างใสอมชมพู รูปร่างสูงโปร่งแบบบาง ดวงตาหน้าผากไร้รอยเหี่ยวย่น ตรงกันข้าม นางมิใช่หญิงงามที่ทำให้คนมองจนตะลึงตาค้างประเภทนั้น ดวงหน้านางกลมเล็กน้อย องคาพยพทั้งห้าก็แค่พองดงามเท่านั้น แต่นัยน์ตาของนางดูสุกใสเป็นประกายแวววาวไม่ต่างจากเด็กสาว รอยยิ้มพรายแพรวกระตือรือร้น ยามขยับเขยื้อนฝีเท้ายังคงบางเบาเช่นเดิม ถ้าหากก่อนหน้านี้ไม่รู้อายุของนางมาก่อน ไม่ว่าอย่างไรหวังซีก็ดูไม่ออกว่านางเคยแต่งงานมาแล้วสองครั้ง และมีบุตรชายอย่างเฉินลั่วที่โตขนาดนี้แล้วอีกผู้หนึ่ง
นางมีความงามที่รักษาความอ่อนเยาว์ของวัยสาวเอาไว้ได้จริงๆ
จากบรรดาคนที่หวังซีเคยเห็นมานั้นไม่มีสตรีออกเรือนแล้วคนใดที่รักษาความงามได้เท่านี้มาก่อน
ไม่รู้ว่าจ่างกงจู่ทำได้อย่างไร!
ทำให้หวังซีปากอ้าตาค้างเล็กน้อย ในใจรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก
ตอนนางก้าวออกไปคารวะเป่าชิ่งจ่างกงจู่ เพราะสายตาดูกระตือรือร้นมากเกินไปจ่างกงจู่ยังมองนางเพิ่มขึ้นสองครั้งอีกด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวดึงนางไปตรงหน้าจ่างกงจู่อย่างตื่นเต้นเล็กน้อยและกล่าวแนะนำใหม่เป็นพิเศษอีกสองประโยค
เห็นได้ชัดว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่ไม่สนใจนางเท่าไรนัก แต่ยังคงไว้หน้าฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวหันไปพยักหน้าให้หวังซีอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นโอบไหล่ของคุณหนูใหญ่จวนเจียงชวนป๋อเอาไว้ เอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อเสียงอบอุ่นว่า เทียนชื่อไม่ตามท่านมาพักผ่อนอยู่ทางด้านนี้ด้วยหรือ ข้าไม่ได้เจอเขามาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้การเรียนของเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อมีบุญคุณกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่หรือไม่นั้นดูไม่ออก แต่ความสัมพันธ์ของพวกนางดียิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อพูดคุยเรื่องในบ้านกับนางด้วยสีหน้าสบายๆ ว่า มีเพียงเจ้าที่มองเขาแล้วยังเห็นเขาเป็นเด็กผมแกละผู้หนึ่งอยู่ ปีนี้เขาอายุสิบสามปีแล้ว การติดตามอยู่ข้างกายข้าต่อไปก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรแล้ว เด็กผู้ชายนั้นไม่อาจปล่อยให้เติบโตอยู่ในอุ้งมือของสตรี วันนี้ข้าจึงให้เขาไปอยู่ข้างกายบิดาของเขาแทน เข้าจวนมาก็ให้เขาไปเล่นกับหลินหลาง
จ่างกงจู่พยักหน้ายิ้มๆ กล่าวว่า แม้นหลินหลางจะดื้อรั้น ทว่าก็เป็นเด็กรู้จักขอบเขตผู้หนึ่ง มีเขาคอยดูแล ท่านไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้ท่านก็กินดื่ม ชมงิ้วให้สำราญ
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อพยักหน้ายิ้มๆ คนทั้งสองสนทนากันอีกสองสามประโยค จ่างกงจู่ถึงได้กล่าวขอตัวโดยบอกว่าซูเฟยเหนียงเหนียงใกล้จะถึงแล้ว
หวังซีถามฉังเคอ เทียนชื่อคงเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเจียงชวนป๋อกระมัง แล้วหลินหลางคือผู้ใดหรือ
ฉังเคอเบ้ปาก กล่าวว่า เทียนชื่อ[1]คือชื่อเล่นของคุณชายใหญ่ตระกูลเจียงชวนป๋อ นามจริงของเขาคือลู่เจิน ส่วนหลินหลาง[2]เป็นชื่อเล่นของเฉินลั่ว ฮ่องเต้พระราชทานให้ คนทั่วไปล้วนไม่กล้าเรียก เป็นชื่อเล่นที่มีก็เหมือนไม่มี
โอ้โห!
ชื่อเล่นนี้ช่างตั้งได้…
เห็นได้ชัดว่าเป็นที่โปรดปรานมากจริงๆ
หวังซีนึกถึง ‘จ่างจู[3]’ ชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งของตัวเองขึ้นมา
เป็นชื่อที่ท่านปู่ของนางตั้งให้
แต่ท่านย่าของนางไม่ชอบเพราะดูสามัญมากเกินไป บิดาของนางก็ไม่ชอบ จึงกลายเป็นว่ามีเพียงท่านปู่ของนางที่มักจะแอบเรียกชื่อเล่นนี้คนเดียวลับหลังผู้อื่นบ่อยๆ นึกแล้วนางก็เม้มปากอมยิ้ม
คุณหนูใหญ่ของจวนเจียงชวนป๋อมีนามว่าลู่หลิง เป็นคนที่ดูเผินๆ เหมือนคนขี้อาย แต่เมื่อได้สนิทสนมด้วยแล้วเป็นเด็กสาวงดงามที่มีชีวิตชีวามากผู้หนึ่ง ห้องโถงรับรองทางด้านโน้นมีเพียงนางกับย่าของนางเท่านั้น ย่าของนางแค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนนิ่งเงียบคนหนึ่ง ทว่ามิได้กักขังนางเอาไว้ ปล่อยให้สาวใช้พานางมาเล่นกับเด็กสาวของจวนหย่งเฉิงโหว
หวังซีประหลาดใจ
จวนเซียงหยางโหวน่าจะมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีกว่าจวนหย่งเฉิงโหวมาก ต่อให้ลู่หลิงต้องการหาเพื่อนเล่น ก็น่าจะไปหาจวนเซียงหยางโหวมากกว่าถึงจะถูก!
หวังซีถามฉังเคอ
ฉังเคอหัวเราะคิก กระซิบกล่าว มากเกินไปก็แย่พอๆ กับขาดแคลน! มิใช่ว่าทุกคนจะชอบสนิทสนมกับจวนเซียงหยางโหว ถึงแม้ครอบครัวของพวกข้าจะไม่ได้พิถีพิถันมากมาย ทว่าก็ไม่มีจิตใจคิดร้ายผู้อื่น
นี่ก็จริง
ลู่หลิงสนใจปิ่นดอกไม้ของหวังซีเป็นอย่างมาก กระซิบถามนางว่าไปสั่งทำมาจากที่ใด ยังกล่าวว่าจับคู่สีได้งดงามยิ่ง ร้านที่ทำเครื่องประดับให้นางต้องมีฝีมือสูงส่งมากเป็นแน่
กล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หวังซีรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย นางกล่าว สั่งทำกับร้านเครื่องประดับเล็กๆ ร้านหนึ่งที่สู่จง ช่างฝีมือใหญ่ของพวกเขาเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านภรรยา เมื่อก่อนพยายามรักษากิจการด้วยความซื่อสัตย์อย่างยากลำบาก ต่อมาได้รับความสนใจจากข้า กิจการถึงได้ค่อยๆ ดีขึ้นมา ที่บ้านข้ายังมีเครื่องประดับที่เขาเป็นคนทำอยู่อีกสองสามชิ้น หากเจ้าชอบ วันไหนที่เจ้ามีเวลาว่างไปเป็นแขกที่จวนหย่งเฉิงโหว เลือกกลับไปสักสองชิ้น
นางรู้สึกว่าหากเครื่องประดับเหล่านี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากแวดวงสตรีชั้นสูงของจิงเฉิง ก็หาทางมาเปิดร้านที่จิงเฉิงสักร้านหนึ่งได้
ลู่หลิงคิดไม่ถึงว่าหวังซีจะใจกว้างขนาดนี้ และดูจากท่าทางของนางแล้ว ก็มิใช่คำพูดที่พูดกับนางตามมารยาท นางพลันรู้สึกดีกับหวังซีมากขึ้น ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างเป็นการตอบแทนน้ำใจว่า ประเดี๋ยวพี่สาวอู๋มา ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกัน นางเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา นิสัยดีมากเช่นกัน
ต่อให้ก่อนเดินทางมาจิงเฉิงหวังซีจะทำการบ้านมาแล้วเป็นอย่างดี ก็เดาไม่ออกว่าคนที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาโดยไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้เป็นใคร
ลู่หลิงป้องปากหัวเราะ กล่าวว่า คือคุณหนูรองตระกูลอู๋ของชิงผิงโหว
หวังซีรู้แล้วว่าเป็นผู้ใด
กองบัญชาการทหารทั้งห้าปกครองโดยห้าตระกูลชั้นสูง
จวนเจิ้นกั๋วกงหนึ่งตระกูล จวนหย่งเฉิงโหวหนึ่งตระกูล จวนชิ่งอวิ๋นโหวหนึ่งตระกูล และจวนชิงผิงโหวอีกหนึ่งตระกูล
แต่ว่าจวนชิงผิงโหวนี้ไม่เหมือนกับตระกูลอื่นๆ อย่างจวนหย่งเฉิงโหว ไม่รู้ว่าส่วนไหนที่ทำให้ฮ่องเต้ประทับใจ หลังจากท่านโหวผู้เฒ่าเสียชีวิตแล้วก็ยังได้ทำงานอยู่ในกองบัญชาการทหารทั้งห้าต่อไป จวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นเพราะดำรงตำแหน่งเป็นลุงของแผ่นดินถึงสองสมัย เป็นญาติของราชวงศ์ ได้รับอภิสิทธิ์จากฮ่องเต้ ส่วนจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นผู้จงรักภักดีจากรุ่นสู่รุ่น มีความสามารถด้านการรบ ชื่อเสียงเลื่องลือ แต่ละคนก็ประสบความสำเร็จ ไม่มีผู้ใดโค่นล้มได้ จวนชิงผิงโหวใกล้ชิดกับการเป็นทหารอย่างแท้จริง ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเป็นต้นมาก็ปักหลักอยู่ในกองบัญชาการทหารทั้งห้ามาอย่างมั่นคง ผู้ใดก็สั่นคลอนไม่ได้ ตระกูลของพวกเขาปกป้องดูแลภาคตะวันตกเฉียงเหนือมาโดยตลอด ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีแม่ทัพกล้าหาญถือกำเนิดออกมาเสมอ หลุมฝังศพของบุตรหลานที่เสียชีวิตอยู่ในสนามรบมีมากถึงสองภูเขาเล็กๆ เลยทีเดียว
ตระกูลเช่นนี้ ไม่ว่าใครได้ยินล้วนต้องเคารพศรัทธาทั้งสิ้น
สกุลหวังยังเคยบริจาคอาหารให้ตระกูลอู๋มาก่อนด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สตรีของตระกูลอู๋ไม่เคยออกจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้รับอนุญาตหรือเป็นเพราะไม่ยอมออกไปกันแน่ หวังซีอยากรู้จักคุณหนูรองตระกูลอู๋ท่านนี้สักครั้งจริงๆ
ดีเลย! นางพยักหน้าหงึกๆ ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า ครอบครัวของนางยังมีผู้ใดมาร่วมงานอีกบ้าง
ลู่หลิงตอบยิ้มๆ ว่า น่าจะมากันหมดกระมัง! เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ กล่าวจบนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวอีกว่า พวกนางล้วนรู้สึกว่าตระกูลอู๋ดุร้ายอำมหิต แต่พวกพี่สะใภ้และพี่สาวของตระกูลอู๋ล้วนเป็นคนดีมากกันทั้งนั้น
เห็นได้ชัดว่าสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงเหล่านี้ไม่ค่อยให้การต้อนรับคนของตระกูลอู๋สักเท่าไร
หวังซีฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบใจนัก
บุรุษของพวกเขาปกป้องหน้าด่านอยู่ด้านนอก พวกเจ้าที่ได้มีชีวิตสุขสำราญจากผู้อื่นแล้วยังมีหน้าไปรังเกียจสตรีของผู้อื่นอีก
หัวใจรักความยุติธรรมของนางพลันเดือดพล่าน เกือบจะถลกแขนเสื้อขึ้นมาแล้ว กล่าวว่า ดุร้ายอำมหิตอะไรกัน กลัวแต่ว่าคนบางคนนั้นคิดมากเกินไป ไม่กล้ามองหน้ากันตรงๆ แล้วหาข้ออ้างมากกว่า คนจะเป็นเช่นไร ต้องทำความรู้จักกันก่อนถึงจะรู้ได้
ถูกต้องๆๆ ลู่หลิงดวงตาเป็นประกายขึ้นมา ท่าทางต้องการรับหวังซีเป็นสหายสนิท กล่าวว่า พ่อข้าก็กล่าวเช่นนี้เหมือนกัน ข้าชอบพี่สาวตระกูลอู๋มาก เห็นได้ชัดว่าข้าเข้ากับเจ้าได้ดี เจ้าก็น่าจะเข้ากับพี่สาวอู๋ได้ดีเช่นกัน
หวังซีตัดสินใจจะไปเยี่ยมเยียนสตรีตระกูลอู๋กับลู่หลิง เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าการตรงไปเลยเช่นนี้จะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ จึงลากฉังเคอมาสอบถาม
ฉังเคอเบิกดวงตาโตมองหวังซี กล่าวว่า เจ้าเพื่อนคนนี้ เพิ่งมาถึงไม่กี่วัน ก็รู้จักคนมากมายขนาดนี้แล้ว ข้าก็อยากไปด้วย! ขณะที่กล่าว ยังมองไปยังซือจูที่กำลังสนทนาอยู่กับพวกฉังหนิงครั้งหนึ่ง กระซิบกล่าวว่า เดิมทีก็มาเพื่อรวมตัวกันอยู่แล้ว พวกเราเป็นเด็ก สมควรจะเล่นสนุกด้วยกัน ไม่ถือเป็นเรื่องเสียมารยาทหรือไม่เสียมารยาท เพียงแต่ว่าอย่าให้ซือจูรู้ก็พอ ปีนั้นคุณหนูรองอู๋เคยหัวเราะเยาะซือจูมาก่อน พวกนางสองคนไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ
ใช่เรื่องที่ถือกระบอกเก็บลูกธนูให้เฉินลั่วหรือไม่ หวังซีกระซิบถาม
ฉังเคอพยักหน้า เสียงยิ่งเบาลง พวกนางเล่ากันว่า จ่างกงจู่ถูกใจคุณหนูรองตระกูลอู๋อยากได้มาเป็นสะใภ้
ว้าว! งานเลี้ยงชั้นสูงเช่นนี้ทำให้ได้รู้เรื่องวงในมากมายจริงๆ
แล้วบัดนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว หวังซีถาม
เฉินลั่วยังไม่ได้หมั้นหมาย
ไม่รู้ ฉังเคอตอบ คล้ายกับว่าเจิ้นกั๋วกงไม่เห็นด้วย เจิ้นกั๋วกงกับชิงผิงโหวสองบ้านค่อนข้างให้ความรู้สึกเหมือนเสือสองตัวไม่อยู่ถ้ำเดียวกัน
หวังซีตีฉังเคอแรงๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า คำตอบว่าไม่รู้ของเจ้าประโยคนี้ ทำให้ข้าต้องคาดเดาไปอีกครึ่งค่อนวัน สู้ไม่บอกข้าเลยยังจะดีกว่า!
………………………………………………………………..
[1] เทียนชื่อ ฟ้าประทาน
[2] หลินหลาง อัญมณีอันมีค่า
[3] จ่างจู ไข่มุกในอุ้งมือ
ตอนต่อไป