คุณหนูรองอู๋พยักหน้า ยิ้มสดใสยิ่งนัก นางใจดีมาก ตอนพวกข้าเป็นเด็กมาที่นี่กับคนที่บ้าน นางมักจะพาพวกข้าเล่น ฤดูร้อนยังทำน้ำบ๊วยสมุนไพรแสนอร่อยให้พวกข้าดื่มและเล่นปาถุงทรายกับพวกข้าด้วย
หวังซีหยุดยืนอยู่บนบันไดครู่หนึ่ง
ฉังเคอเองก็บอกว่าเฉินเจวี๋ยเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว
แต่เฉินเจวี๋ยกลับเกลียดชังเฉินลั่ว นอกจากนี้ต่อหน้าเป็นอย่างหนึ่งลับหลังอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันเกี่ยวพันถึงศีลธรรมจรรยาของคน
พี่น้องร่วมบิดากัน มีเรื่องอะไรที่ทำให้นางเกลียดเฉินลั่วขนาดนี้?
นางถามล้วงลึกลงไปอย่างอดไม่อยู่ ปัจจุบันคุณหนูใหญ่เฉินออกเรือนแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉินลั่วยังตึงเครียดอยู่หรือไม่
อาจเป็นเพราะเรื่องที่พี่น้องสกุลเฉินไม่ถูกกันนั้นมิใช่ความลับอะไรในจิงเฉิง คุณหนูรองอู๋ย่นคิ้ว นอกจากดูประหลาดใจเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามหวังซีว่าทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร นั่นล้วนเป็นเรื่องสมัยเด็ก บัดนี้พี่สาวเจวี๋ยแต่งงานแล้ว ทะเลาะกับพี่น้องที่บ้านเดิมต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
นี่ถึงเรียกว่าเป็นเหตุเป็นผล
ไม่อย่างนั้นนางคงเคลือบแคลงสงสัยพฤติกรรมของคุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ แล้ว
หวังซีถามอย่างสงสัยว่า นางแต่งงานกับคนเช่นไรหรือ
เวลานี้พวกนางขึ้นมาถึงชั้นสองแล้ว คนทั้งสามยืนนิ่งอยู่บนอาคารเล็กๆ หลังหนึ่ง คุณหนูรองอู๋มองหวังซีอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง ไม่ตอบคำถามของนาง เอ่ยถามแทนว่า เจ้าเชื่อคำพูดของข้าหรือ
หวังซีมองสำรวจทิวทัศน์ตรงหน้า
ไม่แปลกที่คุณหนูรองอู๋กล่าวว่านี่เป็นสถานที่ดีที่หนึ่ง
อาคารหลังนี้ถูกบดบังด้วยพุ่มไม้ดุจร่มของต้นตั๊กแตนเก่าแก่ หากไม่มองให้ดี ก็ยากที่จะเห็นว่ามีคนอยู่บนนี้ด้วย
นางเปิดหน้าต่างของอาคารออก
แสงแดดของยามเที่ยงสาดส่องเข้ามา มองเห็นเวทีแสดงงิ้วตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
นางยื่นมือออกไปดึงใบไม้นอกหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน กล่าวยิ้มๆ ว่า ตอนเป็นเด็กยังไม่รู้ความ ทั้งไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ทะเลาะเบาะแว้งกันนับเป็นเรื่องปกติ แต่หากโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสตรีและออกเรือนแล้ว มีสามีและบุตรชายหญิงของตัวเองแล้วยังไม่รู้จักรักใคร่บิดามารดาและพี่ชายน้องชายละก็ หากมิใช่เพราะระหว่างพวกเขามีความแค้นต่อกัน ก็ต้องเป็นเพราะเด็กสาวผู้นี้มีข้อบกพร่อง แต่ทั้งเจ้าและพี่สาวเคอล้วนบอกว่านางเป็นคนดี ข้ากับพวกเจ้าเป็นพี่สาวน้องสาวกัน แน่นอนว่าย่อมเชื่อพวกเจ้ามากกว่า
ฮ่า! คุณหนูรองอู๋ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง นางกล่าวยิ้มๆ ว่า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะน่าสนใจขนาดนี้ ถึงกับพูดอะไรที่เหมือนกับท่านย่าของข้าออกมาได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องของพี่สาวเจวี๋ยกับพี่ชายรองลั่วนั้นซับซ้อนยิ่งนัก พวกเราเป็นคนนอกไม่อาจพูดอะไรได้
ฟังจากน้ำเสียงนั่นแล้ว แม้นความสัมพันธ์ที่มีต่อสามพี่น้องสกุลเฉินจะไม่เลว ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นสนิทเหมือนพี่น้อง
ไม่รู้เพราะเหตุใด หวังซีรู้สึกโล่งอกอย่างอธิบายไม่ได้
คุณหนูรองอู๋เดินไปผลักหน้าต่างบานอื่นๆ
ฉังเคอเองก็ตามไปช่วยด้วย
พี่สาวเจวี๋ยแต่งเข้าตระกูลติง คุณหนูรองอู๋ตอบคำถามเมื่อครู่ของหวังซี พี่เขยติงเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล พวกเขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองทัพภาค แม้นกล่าวว่าสถานะครอบครัวธรรมดา ทว่าพี่เขยติงมีความประพฤติถูกต้องเหมาะสม หน้าตาสง่างาม เป็นงานแต่งงานที่ท่านลุงเฉินเลือกแล้วเลือกอีกถึงเลือกมาได้ พี่สาวเจวี๋ยมีชีวิตที่ดียิ่ง
ไม่ได้ให้บุตรสาวไปเชื่อมสัมพันธ์โดยการแต่งงาน
หวังซีประหลาดใจ รู้สึกว่าเฉินอวี๋ผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่ง
คุณหนูรองอู๋พาดตัวอยู่ริมหน้าต่างด้านข้างนาง ยังสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวกับพวกนางว่า พวกเราฟังงิ้วอยู่ที่นี่เสร็จแล้วค่อยลงไปกัน
ฉังเคอย่อมคิดว่าดียิ่ง
หวังซีกล่าว ให้สาวใช้ยกเก้าอี้ขึ้นมาสักสองสามตัวเถอะ! ข้าคิดว่าข้าคงยืนไปทั้งบ่ายไม่ไหว
คุณหนูรองอู๋หัวเราะฮ่าเสียงดัง กล่าวว่า สาวใช้เด็กข้างกายเจ้าสองคนนั้นเล่า ข้ามองแล้วพวกนางมือเท้าว่องไว้ยิ่ง ให้พวกนางไปช่วยสาวใช้ของข้ายกเก้าอี้ก็แล้วกัน อาหมานคนข้างกายของข้านั้นไม่ค่อยพูดสักเท่าไร โดยเฉพาะงานเช่นนี้ นางรับมือไม่ค่อยเก่งนัก
สาวใช้ติดตามตัวของนางอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ขาวสะอาด ค่อนข้างท้วม ท่าทางขี้อายเล็กน้อย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนซื่อและเชื่อฟังมากผู้หนึ่ง
แต่คนซื่อมากขนาดนี้ บางครั้งก็ไม่เหมาะเป็นสาวใช้ติดตามตัวเท่าไรนัก!
อย่างไรก็ตามแต่ละบ้านก็มีธรรมเนียมของตัวเอง ไม่แน่ว่าจวนชิงผิงโหวอาจไม่ต้องการสาวใช้ที่เฉลียวฉลาดมีความสามารถ แต่ต้องการให้เจ้าเชื่อฟังและยินดีทำงานหนักมากกว่าก็เป็นได้?
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า ข้าส่งพวกนางไปทำธุระนิดหน่อย ข้าจะให้ไป๋กั่วสาวใช้ข้างกายอีกคนหนึ่งของข้าไปกับนางก็แล้วกัน!
ไป๋กั่วได้รับการอบรมฝึกฝนมาจากหมัวมัวที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในเรือนชั้นใน ความสามารถในการเข้าสังคมและการรับมือกับผู้คนดียิ่ง
คุณหนูรองอู๋พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก
ฉังเคอล้วงผลไม้แห้งจากถุงพกที่มารดาของนางมอบให้ออกมาให้พวกนางกิน
เก้าอี้ยังมาไม่ถึง กลองและฆ้องที่เวทีแสดงเริ่มดังขึ้นแล้ว คณะเหลียนจูเปิดการแสดงด้วยละครตลกเรื่องหนึ่ง เพื่อเรียกบรรยากาศก่อน
คุณหนูรองอู๋ใช้มือข้างเดียวบีบถั่วซานเหอเถา[1] ยิ้มกล่าวว่า หัวหน้าคณะของคณะเหลียนจูต้องโมโหมากแน่ๆ ต้องเปิดการแสดงเรียกน้ำย่อยให้คณะหลีฮวา
หวังซีมองถั่วซานเหอเถานั่นดัง แคร้ก เสียงหนึ่ง เมล็ดเป็นเมล็ด เนื้อเป็นเนื้อ ฝีมือคุณหนูรองอู๋ไม่อ่อนด้อยเลย ยังดูออกว่าหงโฉวกับชิงโฉวล้วนมีวรยุทธ์ติดตัวอีกด้วย
คุณหนูรองอู๋แบ่งถั่วซานเหอเถาให้พวกนางกิน
ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณ
สาวใช้นามอาหมานผู้นั้นกับไป๋กั่วยกเก้าอี้ขึ้นมา นางยังกล่าวกับคุณหนูรองอู๋ว่า ชุ่ยกูถามข้าว่าต้องการคนช่วยหรือไม่ ข้าบอกไม่ต้องเจ้าค่ะ
ชุ่ยกูคือผู้ใด
หวังซีมองคุณหนูรองอู๋
คุณหนูรองอู๋รีบอธิบาย เป็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในท่านหนึ่งของจวนเป่าชิ่งจ่างกงจู่
เอาละ! ดูแล้วสตรีจวนชิงผิงโหวกับเป่าชิ่งจ่างกงจู่มีความสัมพันธ์ต่อกันดีมากจริงๆ แม้แต่สาวใช้ข้างกายของคุณหนูรองอู๋ ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในข้างกายจ่างกงจู่ยังรู้จัก
ฉังเคอหันไปส่งสายตาให้หวังซี
หวังซีไม่เข้าใจความหมายของนาง
คุณหนูรองอู๋เชิญพวกนางนั่งลง
ไม่เสียแรงที่ไป๋กั่วจะได้เป็นคนดูแลเรื่องในเรือนชั้นในให้หวังซีในอนาคต นางหมุนกายลงไปยกน้ำชา ผลไม้และขนมขึ้นมาด้วย ชุ่ยกูให้มาเจ้าค่ะ ยังจัดคนมาช่วยพวกข้าต้มน้ำร้อนอยู่ด้านล่างอีกคนหนึ่งด้วย
สายตาที่คุณหนูรองอู๋มองไป๋กั่วไม่เหมือนเดิมแล้ว นางกล่าวชมหวังซีว่า สาวใช้ข้างกายเจ้าล้วนไม่เลวกันทั้งนั้น!
ไม่รู้ว่านางกล่าวชมไป๋กั่วที่ทำหน้าที่ได้ดีเพียงคนเดียว หรือหมายรวมถึงชิงโฉวกับหงโฉวด้วยกันแน่
หวังซีชินกับการแสร้งโง่เขลาแล้ว เพียงให้ไป๋กั่วกล่าวขอบคุณคุณหนูรองอู๋เท่านั้น
ไป๋กั่วรินชาให้คุณหนูรองอู๋ถ้วยหนึ่ง
ลู่หลิงกับหมัวมัวอายุประมาณสามสิบปีผู้หนึ่งเดินขึ้นมาอย่างกระหืดกระหอบ คนยังยืนไม่นิ่งเลยปากก็กล่าวขึ้นก่อนแล้วว่า ไอยา ข้ามาช้าไปแล้ว หมิงจิ้งดึงข้าไว้พูดคุยด้วย ข้าจึงปลีกตัวออกมาไม่ได้
ฉังเคอบอกหวังซี หมิงจิ้งคือคุณหนูหกจวนชิ่งอวิ๋นโหว
หวังซีพยักหน้า
หลังจากที่ทำความเคารพนางแล้ว หมัวมัวข้างกายลู่หลิงก็ลงจากอาคารไป
คุณหนูรองกล่าว มิใช่ว่าไม่อยากชวนหมิงจิ้งมาด้วย แต่นางเดินไปที่ไหนล้วนมีคนคอยจับจ้องหนึ่งกองใหญ่ พวกเราก็แค่อยากชมงิ้วอย่างสงบ หากมีนางอยู่ด้วย ย่อมอยู่อย่างสงบไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจดึงดูดฟู่หยางมาด้วยอีกคน
หวังซีมองซ้ายขวา เอ่ยถามว่า พวกซูเฟยเหนียงเหนียงชมงิ้วอยู่ที่ใดหรือ
คุณหนูรองอู๋อมยิ้ม ชี้ไปทางด้านซ้ายของตัวอาคาร อยู่ตรงเฉลียงด้านล่าง
แม้อยู่ห่างกันไม่ไกล แต่ก็โดนสันหลังคาบังเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็น
หวังซีผิดหวังเล็กน้อย
ลู่หลิงกล่าวปลอบนางว่า ซูเฟยเหนียงเหนียงดูอ่อนเยาว์ไม่เท่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่ หากเจ้าได้เจอตัวจริง ต้องผิดหวังเป็นแน่
หวังซีหัวเราะเสียงดัง รู้สึกว่าลู่หลิงช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน หากพูดถึงเรื่องอ่อนเยาว์ เกรงว่าคงไม่มีใครสู้เป่าชิ่งจ่างกงจู่ได้แล้วกระมัง
ทุกคนได้ยินแล้วหัวเราะพร้อมเพรียงกัน ลู่หลิงถึงกับพูดถึงแป้งและชาดของร้านไหนดีที่สุดในจิงเฉิงขึ้นมาด้วย
ผลปรากฏว่าฉังเคอเป็นคนไม่ค่อยได้ออกไปไหน คุณหนูรองอู๋เป็นคนที่ผู้ใหญ่ในบ้านให้อะไรก็ใช้สิ่งนั้น ในสามคนนั้นจึงมีเพียงหวังซีที่เข้าใจสิ่งที่นางพูด
ลู่หลิงอดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ จับคุณหนูรองอู๋เอาไว้ คราวหน้าข้านัดเจ้าไปเดินตลาด ไม่อนุญาตให้เจ้าปฏิเสธอีก!
ไม่รู้ว่าระหว่างพวกนางเคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง คุณหนูรองอู๋ได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี รีบผลักลู่หลิงไปให้หวังซี ดูนี่ มิใช่ว่ายังมีคนที่ชื่นชอบของเหล่านี้อยู่ด้วยอีกคนหรอกหรือ คราวหน้าเจ้านัดนางไปก็ได้!
ลู่หลิงลิงโลดยินดี กล่าวว่า เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงนะ พี่สาวหวัง คราวหน้าพวกเรานัดกันออกไปเที่ยวเล่นกันเถอะ
หวังซียินดีมากที่ได้มีเพื่อนเล่นเช่นนี้คนหนึ่ง ยิ้มตาหยีขานรับว่าได้ นึกถึงประสบการณ์ครั้งก่อนที่ไปเดินตลาดกับฉังเคอขึ้นมา กล่าวว่า เช่นนั้นเจ้าบอกข้าล่วงหน้าสักสองสามวัน ไม่แน่ว่าพวกเราอาจมีโอกาสเรียกคนมาจัดอาหารกินเลี้ยงสักโต๊ะหนึ่งก็เป็นได้
เด็กสาวสองสามคนอาจไปกินข้าวข้างนอกไม่ได้ แต่ฉวยโอกาสนี้ไปเป็นแขกที่บ้าน จากนั้นให้หอสุรานำอาหารมาส่งให้ได้
แน่นอนว่าฝีมือคนทำอาหารของแต่ละจวนย่อมไม่เลวเลยทีเดียว แต่กินบ่อยแล้ว เปลี่ยนรสชาติสักครั้งก็ดีเหมือนกัน
ผู้ใดจะรู้ว่าคุณหนูรองอู๋ได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย กล่าวว่า แบบนั้นชวนข้าได้ ถึงแม้ข้าไม่จำเป็นต้องซื้อพวกแป้งและชาด ทว่าไปกินเป็นเพื่อนพวกเจ้าได้
ลู่หลิงกล่าวตัดพ้ออยู่ตรงนั้นว่า พี่สาวได้ยินว่ามีของกินก็ยอมออกจากบ้านไปกับข้า แต่หากได้ยินว่าต้องไปเป็นเพื่อนข้ากลับบอกไม่ว่าง ข้าจะไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่า
คุณหนูรองอู๋หัวเราะคิก กล่าวว่า อาหารเป็นดั่งสวรรค์ของมนุษย์! วันนี้ที่งานเลี้ยงข้าไม่ทันได้กินเต้าฮวยไก่ที่เป็นอาหารจานสุดท้ายเลย ก่อนหน้านี้ข้าอุตส่าห์ตั้งตารอคอยมาตั้งหลายวัน แม่ครัวที่จวนจ่างกงจู่เชิญมาในครานี้ทำอาหารซื่อชวนได้ดั้งเดิมยิ่งนัก
จวนชิงผิงโหวน่าจะชอบกินอาหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือมากกว่ามิใช่หรือ
หวังซีคิด กล่าวว่า เจ้าไม่ต้องรู้สึกเสียดาย อาหารซื่อชวนของพวกเขาทำได้ไม่เลว แต่เต้าฮวยไก่จานนี้ค่อนข้างแย่ หัวผักจ้าไช่ดองที่พวกเขาใช้โรยหน้าน่าจะมิได้ทำด้วยตัวเอง หรือไม่ก็เพราะดองได้ไม่ดี ถึงแม้จะมีกลิ่นหอมเกลือทว่าไม่กรุบกรอบ หากเจ้าชอบกินอาหารจานนี้จริงๆ คราวหน้ามาบ้านข้า ข้าจะทำให้เจ้ากิน นกพิราบย่างกับเต้าฮวยไก่ที่งานเลี้ยงในวันนี้ ล้วนเป็นอาหารที่ข้าถนัดทั้งสิ้น
อย่างแรกวิธีทำซับซ้อน จำเป็นต้องสั่งการให้ผู้อื่นช่วย อย่างหลังรสชาติอยู่ที่ของโรยหน้า นางต้องปรุงให้พอดี ล้วนเป็นอาหารที่ค่อนข้างง่ายทั้งสิ้น
คนที่เหลือทั้งสามคนมองนางอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทางไม่เชื่อ ครู่ใหญ่ก็ยังไม่พูดอะไร
ทำไมหรือ หวังซีไม่เข้าใจ นี่ล้วนเป็นอาหารง่ายๆ ทั้งสิ้น นอกจากอาหารสองอย่างนี้แล้ว อาหารหยางโจวอย่างเนื้อปูปั้นต้มข้าก็ทำได้ดีเช่นกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้มิใช่ฤดูกินปู หากพวกเจ้าคิดว่าไข่แดงเค็มก็รับได้เหมือนกัน ถึงเวลาข้าทำอาหารจานนี้ให้พวกเจ้าด้วยก็ได้
ดีเลย ดีเลย! ลู่หลิงดวงตาเป็นประกายแวววาวทั้งสองข้าง รีบก้าวออกไปกอดแขนหวังซีเอาไว้ ข้าอยากกิน! จากนั้นนางย่นหัวคิ้วขึ้น แต่บ้านพี่สาวอยู่สู่จง พวกข้าคงไปบ้านของพวกเจ้าไม่ได้!
หวังซีไม่ได้ต้อนรับแขกมาระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกคันไม้คันมือเล็กน้อย กล่าวอย่างใจกว้างว่า ข้าใกล้จะย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิวแล้ว ถึงเวลาจะเชิญพวกเจ้าไปกินข้าว!
ยินดีกับบ้านใหม่ด้วย! คุณหนูรองอู๋หัวเราะร่าพลางกล่าว ต้องไปแสดงความยินดีสักครั้งหนึ่ง ข้าหมักเหล้าบ๊วยม่วงเอาไว้ ถึงเวลาข้าจะเอาสุราไป
ลู่หลิงกล่าว เช่นนั้นข้าเอาชาไป หลายวันก่อนจ่างกงจู่ส่งชาเหมาเจียนไปให้ท่านย่าของข้าสองสามเหลี่ยง[2] รสชาติดียิ่ง
ฉังเคอยิ้มกล่าว เช่นนั้นข้าไปช่วยตกแต่งสถานที่ ส่งดอกไม้ตามฤดูกาลไปให้สองสามกระถาง
คล้ายกับจัดงานเลี้ยงเพื่อนัดพบกันใหม่
………………………………………………………………………..
[1] ถั่วซานเหอเถา ถั่วพีแคน
[2] เหลี่ยง หนึ่งเหลี่ยงเท่ากับ 50 กรัม
ตอนต่อไป