ดวงตาทั้งคู่ของหวังซีเป็นประกาย
ถ้าหากเป็นอย่างที่นางคาดเดาไว้จริงๆ เช่นนั้นเฉินลั่วผู้นี้ก็เป็นคนจิตใจไม่เลวเลยทีเดียว
นึกถึงตอนนั้น คนที่ให้นางยอมรับเรื่องที่สวนป่าคือปั๋วหมิงเย่ว์กับองค์ชายสี่ เฉินลั่วเองก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบเช่นกัน
แต่เฉินลั่วไม่เพียงไม่ระบายโทสะกับนาง ยังยอมรับน้ำใจครั้งนี้ด้วย
มีปั๋วหมิงเย่ว์อยู่ก่อนหน้า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ต่อให้เฉินลั่วต้องการชดใช้หนี้บุญคุณกับนาง นั่นก็ถือว่ามีคุณธรรมน่าเลื่อมใสแล้ว
หวังซีรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย
ไม่ มิใช่ซาบซึ้งใจเพียงเล็กน้อย
ค่อนข้างซาบซึ้งใจมากทีเดียว
สายตาที่นางมองเฉินลั่วพลันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
เฉินลั่วเป็นอย่างที่หวังซีคิดเอาไว้จริงๆ เขารู้สึกว่าเรื่องในสวนป่านั้นมีวิธีแก้ปัญหาตั้งหลายวิธี ทว่าบุรุษใหญ่อย่างพวกเขากลับใช้วิธีที่ง่ายที่สุดและหยาบคายที่สุด
พวกเขาต่างติดหนี้บุญคุณหวังซีครั้งหนึ่งด้วยกันทั้งสิ้น
ส่วนเฉาอวิ๋นก็เป็นแค่พระสงฆ์รูปหนึ่ง หากเขาออกหน้าให้ วัดต้าเจวี๋ยก็ไม่กล้าปกป้องเขา
เขาค่อนข้างอยากดูจริงๆ ว่าหวังซีคิดเห็นเช่นไร
มิใช่ว่าท่านหมอเฝิงไม่เห็นปฏิกิริยาอันเบาบางระหว่างทุกคน แต่เขาสนใจเรื่องจะจัดการเฉาอวิ๋นอย่างไรมากกว่า
สามสิบปีผ่านไป ศิษย์พี่ของเขาท่านนี้ใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ฝีไม้ลายมือในการกระทำเรื่องต่างๆ ยังเหมือนเดิม ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังคงแสร้งทำเป็นคนซื่อไร้พิษสง
หาไม่แล้ว ตอนนั้นท่านอาจารย์ของเขาจะถูกหลอกได้อย่างไร
เขาสังหารคนแล้ว แต่เหตุใดพวกศิษย์พี่ทุกคนต่างไม่มีใครสงสัยเขาในตอนแรกเลย
ท่านหมอเฝิงแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ จับจ้องเฉาอวิ๋นด้วยสายตาสว่างสุกใส ราวกับว่าหากเฉาอวิ๋นไม่ให้คำตอบที่น่าพึงพอใจแก่เขา เขาก็จะไม่ปล่อยไปอย่างไรอย่างนั้น
นัยน์ตาของเฉาอวิ๋นมีความขมขื่นสายหนึ่งวาบผ่าน
เขามิได้ตั้งใจจะสังหารศิษย์น้องหญิง และมิได้ตั้งใจจะสังหารท่านอาจารย์ด้วย กล่าวไปกล่าวมา ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความโลภชั่วขณะ เมื่อเริ่มต้นแล้ว จำต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อปกปิดการกระทำอันชั่วช้า
เมื่อก่อนเขาเป็นคนร่างหนาแข็งแรงมีพละกำลัง เพื่อปกปิดร่องรอยตำแหน่งแห่งหนของตนแล้ว ไม่เพียงสังหารเถียนฟู่กุ้ยตัวจริงเท่านั้น ยังตั้งใจลดอาหารการกินให้น้อยลง ใช้ยาพิษทำลายกล่องเสียง กลายเป็นคนผ่ายผอมไร้พละกำลัง
ถึงกระนั้น ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ศิษย์น้องของเขาก็ยังตามหาเขาจนพบ
แต่เขาไม่กลัว
เรื่องสังหารคนนั้นผ่านพ้นไปนานหลายปีแล้ว ต่อให้ศิษย์น้องมีหลักฐาน อยากพิสูจน์ว่าเขาคือมือสังหารคนจริงๆ ก็มิใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
ตราบใดที่เขา ‘มิได้’ ฆ่าคน เรื่องขโมยสูตรผสมเครื่องหอมอะไรนั้น หากไปฟ้องร้องที่ศาลจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าใครขโมยจากใครกันแน่?
ตอนนี้เขาเป็นกังวลแค่เฉินลั่วเท่านั้น
สายตาของเฉาอวิ๋นเยียบเย็นเล็กน้อย
ศิษย์น้องของเขาท่านนี้ มักจะโชคดีเช่นนี้เสมอ
ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์อยากให้ศิษย์น้องหญิงแต่งงานกับเขา ให้เขาเป็นผู้สืบทอดต่อ แต่ศิษย์น้องหญิงกลับชอบศิษย์น้องผู้นี้ หากมิใช่ศิษย์น้องคนนี้ก็จะไม่แต่งงานด้วย
เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าท่านอาจารย์ยังคิดจะมอบตำแหน่งผู้สืบทอดให้ศิษย์น้องคนนี้อีกด้วย
เขาจะกล้ำกลืนความอัปยศโดยไม่ต่อสู้แย่งชิงเลยได้อย่างไร!
ตอนนี้ก็เช่นกัน
เขาสู้รบตบมืออยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยมายี่สิบกว่าปีถึงประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ เขาคิดว่าเขาปลอดภัยแล้วเสียอีก
ใครจะรู้ว่าศิษย์น้องกลับมาหาถึงประตูบ้าน
หามาถึงประตูบ้านก็ไม่เป็นไร
แต่เฉินลั่วกลับอยู่ที่นี่ด้วย
หรือสวรรค์จะเป็นเหมือนเมื่อก่อน ครั้งนี้ก็จะเข้าข้างศิษย์น้องอีกแล้ว?
หลายปีที่ไม่มีศิษย์น้องคนนี้ มีครั้งไหนที่พานพบกับอุปสรรคปัญหาแล้วเขาผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นไม่ได้บ้าง
เหตุใดทุกครั้งที่พวกเขาสองคนยืนอยู่ด้วยกัน สวรรค์ก็เริ่มเอนเอียงไปเข้าข้างคนแซ่เฝิงอีกแล้ว?
เฉาอวิ๋นกัดฟันแน่น
ไม่ เขาจะยอมแพ้ไม่ได้
หากเขายอมแพ้ ก็คงไม่มีหนทางรอดชีวิตจริงๆ แล้ว
สามสิบกว่าปีก่อน เพราะเขาไม่ยอมแพ้ ก็เลยมีชีวิตรอดมาได้หลายปีขนาดนี้มิใช่หรือ
อีกทั้งยิ่งอยู่ชีวิตก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีความหวังและชีวิตก็ยิ่งมีความหมายมากขึ้น!
เฉาอวิ๋นลอบสูดลมหายใจติดๆ กันหลายครั้ง ท่องอยู่ในใจซ้ำๆ หลายครั้งว่า ข้าคือเถียนฟู่กุ้ย ข้าต่างหากที่เป็นเถียนฟู่กุ้ย เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว ถึงได้มองไปที่ท่านหมอเฝิง กล่าวอย่างจริงใจว่า บ้านเดิมของข้าเป็นคนหมู่บ้านซานเหอ อำเภอเจี่ยนหยาง เมืองจิ่นเฉิงของสู่จง ส่วนทักษะการผสมเครื่องหอมนี้ ขอทานผู้หนึ่งที่ข้าช่วยชีวิตไว้ก่อนออกบวชเป็นคนสอนให้ ตอนนั้นเขาป่วยหนัก ท่านปู่ของข้าเห็นแล้วสงสารเขา จึงให้เขาพักอยู่ที่โรงเก็บฝืนของพวกข้า และให้ข้านำอาหารไปส่งให้หลายครั้ง…
…เพื่อตอบแทนบุญคุณ เขาจึงเริ่มสอนข้าผสมเครื่องหอม คิดไม่ถึงว่าข้าจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง พอเรียนก็ทำได้เลย เขาจึงรับข้าเป็นศิษย์แทนท่านอาจารย์ ต่อมาพี่ชายในบ้านไม่เชื่อฟังเป็นเหตุให้ถูกฟ้องร้อง ตอนที่ครอบครัวต้องแยกย้ายกันหลบหนีนั้น ข้าไม่มีหนทางไปจึงไปเป็นสามเณรน้อยอยู่ที่วัด ส่วนเขาไม่รู้ว่าระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่ใดแล้ว
กล่าวถึงตรงนี้ เขาถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง สีหน้าสลดหดหู่
หวังซีไม่คล้อยตาม รู้สึกว่าเฉาอวิ๋นกำลังโกหก
นางรู้สึกแม้กระทั่งว่าเฉาอวิ๋นรู้จุดสำคัญในการโกหกเป็นอย่างดี ในสิบประโยคมีเพียงประโยคเดียวที่เป็นเรื่องเท็จ เถียนฟู่กุ้ยผู้นี้ต้องมีอยู่จริง และมีเรื่องช่วยชีวิตจริงๆ ส่วนเรื่องที่ว่าเถียนฟู่กุ้ยคือเฉาอวิ๋นหรือไม่นั้น ไม่อาจกล่าวให้แน่ชัดได้
เมื่อคิดให้ลึกลงไปเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นเถียนฟู่กุ้ยไปไหน?
ทำให้คนรู้สึกขนหัวลุกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หวังซีลูบแขนของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
เฉินลั่วมองแล้วมุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างแทบจะมองไม่เห็น ทันใดนั้นหมุนกายไปกล่าวแทรกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าท่านหมอเฝิงมีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่
น้ำเสียงนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังปกป้องเฉาอวิ๋นอยู่!
คนของวัดต้าเจวี๋ยเผยสีหน้ายินดีออกมา
หวังซีร้อง หึ อยู่ในใจเสียงหนึ่ง พยายามลูบแขนอีกครั้ง
เฉินลั่วดูไม่เหมือนคนเช่นนี้นี่นา…
นางมองท่านหมอเฝิง
หัวคิ้วของท่านหมอเฝิงผูกเป็นปมแน่น กล่าวว่า ทักษะการผสมเครื่องหอมของอาจารย์เฉาอวิ๋นแทบจะไม่แตกต่างจากทักษะของท่านอาจารย์ของข้า แต่เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ลูกศิษย์ใหญ่ของท่านอาจารย์ สังหารอาจารย์ขโมยตำราแล้วหลบหนีออกจากบ้านของท่านอาจารย์ไป พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องตามหาเขามาเกือบสี่สิบปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ยินข่าวว่าทักษะการผสมเครื่องหอมของอาจารย์เฉาอวิ๋นมาจากแหล่งเดียวกับท่านอาจารย์ของข้า ย่อมต้องอยากมาดูสักหน่อยเป็นธรรมดา
ใต้เท้าเฉิน! เขาหันไปค้อมตัวให้เฉินลั่ว กล่าวว่า ข้าเองก็มิได้มีเจตนาอื่น เพียงอยากถามอาจารย์เฉาอวิ๋นว่าทักษะการผสมเครื่องหอมนี้สืบทอดมาจากที่ใด และใครเป็นอาจารย์เท่านั้น หากว่ามีที่มาจากแหล่งเดียวกับท่านอาจารย์ของข้า ข้าอยากทำตามที่ท่านอาจารย์สั่งเสียไว้ รับมรดกการผสมเครื่องหอมนี้กลับไป
เฉาอวิ๋นเม้มปากแน่น
คำสั่งเสียของท่านอาจารย์อะไรกัน ท่านอาจารย์ของพวกเขาไม่ได้สั่งเสียอะไรไว้
แต่เขาไม่อาจโต้แย้งได้
เมื่อใดที่เขาโต้แย้ง ก็เท่ากับว่ายอมรับเรื่องนี้แล้วนั่นเอง
เฉินลั่วเองก็ไม่เกรงใจ เข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขากล่าวกับท่านหมอเฝิงว่า เจ้าพูดเช่นนี้ มีหลักฐานอะไรหรือไม่
พระต้อนรับแขกผู้นั้นกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว
ตามหลัก ไม่ว่าใครจะเป็นคนสอนเฉาอวิ๋นผสมเครื่องหอมก็ตาม แต่เขามิได้กราบไหว้อาจารย์อย่างเป็นทางการ จึงไม่อาจนับว่าเป็นลูกศิษย์จากอาจารย์คนเดียวกันได้ ผู้รับสืบทอดอย่างเป็นทางการของผู้อื่นมาตามหาถึงที่ ไม่ให้เจ้าใช้ทักษะของพวกเขาหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ เจ้าก็ไม่อาจใช้ต่อไปได้แล้ว
และแน่นอนว่าวัดต้าเจวี๋ยเองก็อาจถูกประณามไปด้วย
ปัญหาคือ พวกเขายังไม่ได้สืบประวัติของท่านผู้เฒ่าเฝิงผู้นี้อย่างละเอียด ถ้าหากผู้อื่นก็มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำให้จวนชิ่งอวิ๋นโหวออกหน้ามาติดต่อวัดต้าเจวี๋ยได้ หากพวกเขามองเพียงผลประโยชน์ตรงหน้าจนทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจ คนเท้าเปล่าไม่เกรงกลัวคนสวมรองเท้า อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ใหญ่โตมากกว่านี้ก็เป็นได้
แม้นวัดต้าเจวี๋ยจะเป็นวัดของราชวงศ์ แต่วัดของราชวงศ์ก็มิได้มีแค่พวกเขาวัดเดียว
นอกจากวัดถานเจ้อที่อยู่ข้างๆ แล้ว ยังมีวัดฝ่าหยวนที่อยู่ทางประตูเซวียนอู่อีก มีวัดไหนบ้างไม่จับตามองพวกเขา รอให้พวกเขามีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น
เขารีบกล่าวโดยไม่คิดให้มากความ เรื่องใหญ่และสำคัญ ข้าต้องไปแจ้งท่านเจ้าอาวาสสักคำหนึ่ง
เฉินลั่วพยักหน้า
พระต้อนรับแขกปาดเหงื่อวิ่งเหยาะๆ ออกจากลานวัดไป
เฉาอวิ๋นมาถึงวันนี้ได้ ย่อมรู้จักวิถีของมนุษย์เป็นอย่างดี
ดวงหน้าของเขาหนักอึ้งดุจน้ำ สัมผัสได้ว่าเรื่องราวในวันนี้หากรับมืออย่างไม่ระวังเพียงนิดเดียว ไม่แน่ว่าความพยายามหลายปีของเขาอาจจะสูญเปล่าไหลไปกับน้ำจริงๆ ก็เป็นได้
เจ้าคิดจะพิสูจน์อย่างไร เขากล่าวเสียงเคร่งขรึม
ท่านหมอเฝิงยังไม่ทันได้ตอบ เฉินลั่วกลับทำสัญญาณมือห้ามเอาไว้ก่อน กล่าวกับเฉาอวิ๋นว่า เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ประเดี๋ยวรอท่านเจ้าอาวาสของพวกเจ้ามาก่อนค่อยว่ากันอีกที
เฉาอวิ๋นจำต้องหยุดไปก่อน
เฉินลั่วกลับกล่าวกับเฉาอวิ๋นอย่างไม่พอใจว่า ข้างกายเจ้าไม่มีพวกสามเณรน้อยเหล่านั้นบ้างเลยหรือ ข้ามาถึงตั้งนานแล้ว เจ้าไม่จัดเตรียมน้ำชาและของว่างมาให้ข้าเลย ต้องยกเก้าอี้เข้ามาให้พวกข้านั่งพักสักหน่อยกระมัง
ปกติเพื่อมิให้คนรั้งอยู่ในสถานที่ผสมเครื่องหอมของเขา เวลาแขกมา เฉาอวิ๋นจะเก็บเก้าอี้ในเรือนปีกออกไปทั้งหมด
เขาจึงไม่อาจเอาออกมาในเวลานี้ได้ ได้แต่ส่งสามเณรน้อยคนหนึ่งออกไป ให้เขาไปเตรียมน้ำชาและของว่าง
ส่วนเฉินลั่วมองสำรวจเฝิงเกาครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า เจ้าเป็นศิษย์ของท่านหมอเฝิง?
เฝิงเกาไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง รีบค้อมตัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม
เฉินลั่วจึงถอดจี้หยกจากเอวมาชิ้นหนึ่ง โยนให้เฝิงเกา
เฝิงเกามองจี้หยกสีเขียวแวววาวชิ้นนั้น ภายในห้องที่ลำแสงสลัวเช่นนี้ยังคล้ายกับบรรจุน้ำจากวสันตฤดูเอาไว้ จึงรู้แน่แก่ใจว่าจี้หยกชิ้นนี้ล้ำค่ามาก ตอนที่จี้หยกถูกโยนมานั้น เขาก็รีบใช้สองมือรับเอาไว้ตามสัญชาตญาณด้วยกลัวว่าจี้หยกชิ้นนั้นจะตกพื้น
รบกวนท่านหมอเฝิงน้อยช่วยวิ่งไปให้ข้าสักครั้งหนึ่ง เฉินลั่วกลับมองด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก กล่าวว่า คนของข้ายังรออยู่ที่วิหารมหาเทพ เป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลนามว่าเย่ว์เผิง เจ้าให้เขาพาคนของข้ามาที่นี่
ด้วยท่าทีประมาณว่าประเดี๋ยวถ้ามีเรื่องชกต่อยขึ้นมาจะได้มีคนช่วยเหลือ
เฝิงเกาปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริง มองไปที่ท่านหมอเฝิง
ท่านหมอเฝิงพยักหน้า เป็นสัญญาณให้เขาทำตามที่เฉินลั่วบอก ในใจกลับคิดว่า อย่างมากเมื่อถึงเวลาก็อย่าเสียดายชีวิต สลัดความสัมพันธ์กับสกุลหวังทิ้งเสีย แล้วเข้าวังไปถวายการรักษาฮ่องเต้ตามที่เฉินลั่วต้องการ
เฉาอวิ๋นเห็นสถานการณ์แล้วเป็นกังวลใจเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่าทางของเฉินลั่วไม่เหมือนคนต้องการปกป้องเขาเลย
เฉินลั่วผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่
เขาขบคิดแผนการอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพเฉินลั่วอย่างนอบน้อม พยายามดึงหัวข้อสนทนากลับไปที่เรื่องก่อนหน้าที่หวังซีและคนอื่นๆ จะมาถึงขึ้นมาพูด ใต้เท้าเฉิน ท่านบอกว่าระยะนี้ฮ่องเต้ทรงบรรทมได้ไม่ค่อยดีนัก อยากผสมเครื่องหอมช่วยให้หลับสบายสักสองสามอย่าง ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานกลิ่นอะไร และมีอะไรต้องห้ามหรือไม่ ข้าเองก็จะได้นำไปพิจารณาให้ละเอียด หาวิธีผสมเครื่องหอมอย่างดีถวายฮ่องเต้สักเตาหนึ่ง
เฉินลั่วมองเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า เจ้าบอกว่าเจ้าอยู่วัดต้าเจวี๋ยมายี่สิบสี่ปีแล้วมิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่เรียนรู้อะไรบ้างเลย ความชอบของฮ่องเต้เป็นเรื่องที่พวกเราสืบทราบได้อย่างนั้นหรือ ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานอะไรเป็นเรื่องที่พวกเราสมควรรู้หรือ
เฉาอวิ๋นถูกถามจนดวงหน้าประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดง เขากล่าวขออภัยซ้ำๆ แล้วถอยไปอยู่ด้านข้าง
ด้านนอกมีเสียงกังวานใสเสียงหนึ่งดังขึ้น ใต้เท้าเฉินเดินทางมาไกล ขออภัยที่อาตมามิได้ออกมาต้อนรับ ขอใต้เท้าเฉินโปรดอย่าถือสา!
จากเสียงที่ยิ่งเดินก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นั้น มีพระรูปร่างสูงใหญ่สวมจีวรสีดำธรรมดาอายุประมาณหกสิบปีผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้ามีเมตตากรุณา
ใต้เท้าเฉิน ไม่ได้พบกันนาน! เขาพนมมือทั้งสองข้างขึ้นทำความเคารพเฉินลั่ว กล่าวยิ้มๆ ว่า บิดามารดาของท่านสบายดีหรือไม่ ได้ยินว่าใต้เท้าเฉินเดินทางมากับผู้ติดตามเพียงเล็กน้อย ไม่อยากให้พวกข้ารบกวน อาตมาจึงไม่กล้าก้าวล่วง ขอใต้เท้าเฉินอภัยให้ด้วย!
เฉินลั่วได้ยินแล้วพยักหน้า แนะนำให้ท่านหมอเฝิงได้รู้จัก ท่านผู้นี้คือซ่างไห่ไต้ซือเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ย
สายตาของเขากวาดผ่านทุกคนมาหยุดลงที่ร่างของหวังซี
ราวกับว่าคำกล่าวนี้เป็นการพูดกับหวังซีก็ไม่ปาน
……………………………………………………………………
ตอนต่อไป