สะพานศิลาขาวเป็นชานเมือง บ้านเรือนสร้างอย่างกระจัดกระจายตะวันออกผืนหนึ่งตะวันตกผืนหนึ่ง ไม่พิถีพิถันอะไรนัก ถนนหนทางก็คดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมา ไม่แบ่งทางตรงทางคดงอ บ่อยครั้งที่มองว่าถนนเส้นนี้เป็นทางตรง แต่เมื่อเดินเข้าไปกลับเป็นทางตันที่ล้อมรอบไปด้วยกำแพง เจ้าคิดว่าถนนเส้นนี้จะต้องเป็นซอยตัน แต่ปรากฏว่าท่ามกลางต้นหลิวสลัวและดอกไม้เบ่งบานนั้น ไม่รู้ว่ามีถนนเส้นหนึ่งโผล่ออกมาจากที่ใด พอให้เจ้าเดินผ่านไปได้
หากมิใช่คนที่อาศัยอยู่ที่สะพานศิลาขาวมาหลายปี คงไม่รู้เส้นทาง
ตอนที่หวังซีและเฉินลั่วมาถึงสะพานศิลาขาว ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
รถม้าของตระกูลหวังที่ตามหลังรถม้าของตระกูลเฉินมานั้นประเดี๋ยวก็เลี้ยวซ้ายประเดี๋ยวก็เลี้ยวขวา เดินทางอยู่เกือบหนึ่งเค่อ ลดเลี้ยวจนคนแยกเหนือใต้ออกตกไม่ออก รถม้าของตระกูลเฉินถึงได้จอดลงหน้าบ้านสี่ประสานกลางเก่ากลางใหม่ ดูธรรมดาสามัญหลังหนึ่ง
บ่าวผู้ติดตามของตระกูลเฉินรีบกระโดดลงมา ปรนนิบัติเฉินลั่วลงจากรถ
ส่วนคนขับรถม้าของตระกูลเฉินกวักมือเรียกคนขับรถม้าของตระกูลหวัง เจ้าตามข้ามา
ตระกูลใหญ่ตระกูลโตทั่วไป ล้วนมีประตูสำหรับจอดรถอีกที่หนึ่ง
คนขับรถม้าของตระกูลหวังไม่ได้คิดอะไรมาก จอดรถ รอจนไป๋กั่วและคนอื่นๆ ปรนนิบัติหวังซีลงจากรถแล้ว เขาก็ตามคนขับรถม้าของตระกูลเฉินไป
ผู้ใดจะรู้ว่าสถานที่จอดรถม้าของตระกูลเฉินกลับมิได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ในบ้านผุพังหลังหนึ่งที่ค่อนข้างห่างไกลจากบ้านหลังนี้พอสมควร
คนขับรถของตระกูลหวังมองประตูบานใหญ่สีดำเป็นด่างดวง รู้สึกว่าตัวเองราวกับกำลังฝันอยู่ ไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีที่ให้พักผ่อนหรือไม่
หวังซีไม่รู้เรื่องพวกนี้
นางมองบ้านที่เฉินลั่วเตรียมเอาไว้ให้นางพักผ่อน แม้นไม่มีดอกไม้ต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว แต่บนพื้นปูแผ่นหินเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ จัดเก็บได้อย่างสะอาดสะอ้าน ทั้งยังกว้างขวางแล้วก็ลอบพยักหน้า
ต่อมาตามบ่าวผู้ติดตามของเฉินลั่วเข้ามาที่เรือนปีกสำหรับพักผ่อน เรือนปีกหลังนั้นมีเครื่องเรือนธรรมดาเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ดูโล่งและว่างเปล่า นางถามบ่าวชายผู้นั้นว่า เจ้ามีนามว่าอะไร อายุเท่าไร รับใช้อยู่ข้างกายใต้เท้าเฉินมาแล้วกี่ปี บ้านหลังนี้เพิ่งซื้อมาใช่หรือไม่ คงยังซ่อมแซมไม่เสร็จกระมัง
คุณหนูใหญ่เรียกข้าว่าโต้วจื่อก็พอขอรับ ต่อให้เป็นบ่าวชายติดตามอยู่ข้างกายเฉินลั่ว แต่ก็ไม่เคยติดต่อกับคุณหนูที่งดงามขนาดนี้อย่างใกล้ชิดเพียงนี้มาก่อน หน้าแดงจนคล้ายจะหลั่งโลหิตออกมาได้ พึมพำกล่าว ข้า…ข้าติดตามใต้เท้ามาตั้งแต่เด็ก หากคุณหนูใหญ่ต้องการอะไร ก็เรียกใช้ข้าได้เลยขอรับ
ส่วนอายุเท่าไร เหตุใดบ้านหลังนี้ถึงโล่งขนาดนี้ ท่าทางเขาดูระแวดระวังและขัดเขิน ไม่เปิดเผยอะไรออกมาเลยแม้แต่ประโยคเดียว
ดูแล้วใต้บันไดของเฉินลั่วมีแปรงอยู่สองด้ามด้วย
หวังซีลอบวิจารณ์อยู่ในใจ มีคนส่งเบาะรองนั่งใหม่ อ่างทองแดง แปรงและของอื่นๆ มาให้ โต้วจื่อยังกล่าวด้วยว่า ดึกมากแล้ว ที่นี่มิใช่สถานที่ดีอะไร มีเงินก็ไม่มีที่ให้ซื้อ ขอคุณหนูใหญ่หวังอภัยให้ด้วย พรุ่งนี้กลับเข้าเมืองก็ดีแล้วขอรับ
หวังซีเคยไปส่งสินค้ากับพี่ชายใหญ่ของนางภายใต้การคุ้มกันหลายครั้ง มิใช่ว่าทนความลำบากไม่ได้ เพียงแต่คิดว่ายามมีทางเลือกก็ไม่จำเป็นต้องทนลำบาก ไม่อยากฝืนตัวเองก็เท่านั้น
นางกล่าวขอบคุณอย่างยิ้มแย้ม ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ปรนนิบัตินางเปลี่ยนไปสวมชุดกระโปรงสำหรับหน้าร้อนที่สวมใส่ยามอยู่บ้าน
หวังซีให้ไป๋กั่วไปเยี่ยมเฉินลั่ว บอกว่าตนมีเรื่องต้องการคุยกับเขา
เฉินลั่วตอบรับ ให้โต้วจื่อมาพานางไปที่ห้องหนังสือของเขา
เขาพักอยู่ตรงข้ามกับลานด้านหน้าของหวังซี
หวังซีมองการตกแต่งนี้แล้ว คิดว่าอย่างมากบ้านหลังนี้ก็น่าจะมีสามทางเข้า
ตอนนางเจอเฉินลั่ว เฉินลั่วน่าจะเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเหมือนกัน แม้นจะเกล้าผมอย่างง่ายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทว่ายังคงดูเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย
เขากำลังชงชา เชิญหวังซีมานั่งข้างๆ เพื่อชิมชา รินชาวางไว้ในถาดน้ำชาตรงหน้านางถ้วยหนึ่งด้วยตัวเอง กล่าวว่า ลองชิมดู ชาหลงจิ่งก่อนวันเช้งเม้งส่งมาให้เป็นเครื่องบรรณาการจากเจียงหนาน ดูว่าจะถูกปากเจ้าหรือไม่
เฉินลั่วคาดการณ์ นางคงมาคุยเรื่องการชดเชยกับเขา
เนื่องจากอย่างที่นางกล่าวมา เขาซื่อกู้เป็นภูเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง
จะชดใช้ให้ตระกูลหวังอย่างไรนั้น กล่าวตามจริง เขายังไม่ได้คิดดีๆ อย่างจริงจังเลย
จากที่เขาเคยได้รับการสั่งสอนมา ในเมื่อต้องการชดเชยให้ผู้อื่น ก็ต้องจัดการเรื่องราวให้ดี ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเป็นของมีมูลค่าถึงจะใช้การได้
ตอนนี้ตระกูลหวังต้องการอะไรนั้น…ได้คุยกับหวังซีก็ดีเหมือนกัน
จากที่หวังซีเคยได้รับการสั่งสอนมา แทงทะลุเข้าไปในหนึ่งดาบอย่างตรงไปตรงมาได้ ก็โจมตีจากด้านข้างอย่างอ้อมค้อมได้เช่นเดียวกัน
ในเมื่อเฉินลั่วต้องการคุยกับนางอย่างช้าๆ ค่ำคืนยาวนาน ทั้งไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย อยากคุยช้าๆ ก็ค่อยๆ คุยไปก็แล้วกัน
นางดมกลิ่นชา จิบเบาๆ คำหนึ่ง
ชาหลงจิ่งก่อนวันเช้งเม้งมีกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัว น้ำชาใสละมุน
ชาดี! ดวงตาหวังซีเป็นประกาย อดกล่าวชื่นชมไม่ได้ว่า ไม่เสียแรงที่เป็นของบรรณาการ กลิ่นอ่อนรูปลักษณ์สวยงาม
เฉินลั่วมิใช่คนชื่นชอบชามากมายขนาดนั้น เขาได้ยินแล้วหัวเราะ กล่าวว่า หากคุณหนูหวังชอบ กลับเข้าเมืองไปแล้ว ข้าจะให้คนส่งไปให้คุณหนูหวังดื่มดับกระหาย
หวังซีนั้นขอเพียงเป็นของดีนางล้วนชอบทั้งสิ้น ต่อให้นางไม่ชอบ ย่อมจะมีคนชอบ ข้างกายนางก็มักจะมีคนมาหาบ่อยๆ มอบเป็นน้ำใจให้ผู้อื่นก็ไม่เลวเหมือนกัน
เช่นนั้นข้าก็ไม่เสียมารยาทปฏิเสธแล้ว นางไม่เกรงใจ คิดว่าท่าทางนี้ของเฉินลั่ว คงคิดจะคุยกับนางเป็นเวลานาน แน่นอนว่านางย่อมจะฉวยประโยชน์จากโอกาสนี้ ปล่อยให้เฉินลั่วพูดให้พอ นางจึงกล่าวตามน้ำไปกับคำของเฉินลั่ว สนทนากับเขาเรื่องดื่มชาขึ้นมา คนสู่จงอย่างพวกข้าล้วนชอบดื่มชากันทั้งนั้น เนื่องจากสู่จงมีโรงน้ำชาเล็กใหญ่มากมาย ชาเฉพาะถิ่นก็มีมาก ที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็นชาจากเหมิงซานแล้ว ชาน้ำค้างหวานกับชายอดเหลืองของพวกเขามีชื่อเสียงที่สุด ข้าเคยดื่มที่โรงน้ำชาในจิงเฉิงมาก่อน ล้วนเป็นชาชั้นเลิศทั้งสิ้น คาดว่าใต้เท้าเฉินเองก็คงทราบอยู่แล้ว แต่ครอบครัวของพวกข้าได้รับอิทธิพลมากจากท่านปู่ของข้า ชอบชาเหมาเฟิงของภูเขาเอ๋อเหมยเป็นที่สุด…
นางพูดช้าๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ยังเหลือบมองเฉินลั่วผ่านหางตาด้วย
เห็นเขานั่งตัวตรงตั้งใจฟังอยู่ตลอด ไม่คิดจะกล่าวรับคำแต่อย่างใด นางจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วยความมั่นใจ อิสระเป็นตัวของตัวเอง จากเรื่องใบชากล่าวไปจนถึงเรื่องของว่างกินคู่กับชา …ดังนั้นของว่างกินคู่กับชาของสู่จงของพวกข้าจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตามไปด้วย นอกจากเมล็ดแตงโม ผลไม้เชื่อม และพวกผลไม้แห้งที่พบเห็นกันบ่อยๆ แล้ว ยังมีเต้าหู้แห้ง ถั่วลิสงและเม็ดบัวต้มน้ำปรุงรสจำพวกนั้นอีกด้วย…ไม่ค่อยพบเห็นในโรงน้ำชาที่จิงเฉิงของพวกเจ้าเท่าไรนัก…อย่างไรก็ตาม หมิ่นหนานมีของว่างกินคู่กับชาชนิดหนึ่งชื่อว่าพุทราเผือกซึ่งน่าสนใจยิ่ง สับหัวเผือกเป็นชิ้นเล็กละเอียด คลุกเคล้าเครื่องปรุงรสเสร็จแล้วทอดในน้ำมัน…ในจำนวนนั้นหัวเผือกของลี่ผู่มีชื่อเสียงที่สุด…แต่ข้ารู้สึกว่าแข็งเกินไป อร่อยไม่เท่าหัวเผือกท้องถิ่นของสู่จงของพวกข้า…หัวเผือกของเมืองอู่ชังก็อร่อยมากเช่นกัน คล้ายคลึงกับหัวเผือกที่สู่จงของพวกข้า…ดังนั้นพวกข้าจึงชอบใช้หัวเผือกของสู่จงตุ๋นกินกับเนื้อ ทว่าที่ฝูเจี้ยนชอบใช้หัวเผือกมาทำของหวาน…
เฉินลั่วฟังแล้วพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่
คุณหนูใหญ่ของตระกูลหวังท่านนี้ ช่างพูดเก่งจริงๆ!
เขาไม่ต่อบทสนทนาเลยแม้แต่คำเดียว นางยังพูดต่อไปได้อย่างไม่จำกัดรูปแบบเป็นครึ่งชั่วยามโดยไม่หยุดพักได้
ที่สำคัญคือ นางแตกต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ ในถ้อยคำมีเรื่องราว ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก
โดยเฉพาะพุทราเผือกนั่น เขาเคยกินครั้งแรกที่บ้านของรองหัวหน้ากิจการทั่วไปฝ่ายซ้าย บ้านเดิมของเขาอยู่ฝูเจี้ยน ฮูหยินของเขาลงครัวทำด้วยตัวเอง ตั้งใจทำมารับรองพวกเขาเป็นพิเศษ
แม้แต่เรื่องนี้นางก็รู้
นอกจากนี้ยังมิใช่การโอ้อวด วิธีทำที่กล่าวมานั่น แม้นจะไม่ค่อยเหมือนกับที่บ้านของรองหัวหน้ากิจการทั่วไปฝ่ายซ้ายนัก แต่วิธีทำโดยคร่าวๆ ทั้งหมดเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่านางเคยกินและเคยเห็นคนทำมาก่อนจริงๆ
จิงเฉิงเป็นเมืองหลวงของประเทศ ของกินที่อร่อยที่สุดในใต้หล้าล้วนหลั่งไหลมาที่จิงเฉิง ตัวเขานั้นเป็นเพราะได้รับอานิสงส์จากบรรพบุรุษ ถึงได้รู้จักของอร่อยมากมายขนาดนั้น แต่คุณหนูใหญ่ของตระกูลหวังยังเด็กอยู่แท้ๆ…
เขาอดไม่ได้ ถามขึ้นว่า เจ้าทำอาหารเก่งมากหรือ
หวังซีถูกถามจนสำลัก
เฉินลั่วผู้นี้ แม้แต่การคุยเล่นก็ทำไม่เป็น
ด้วยอายุของนาง ต่อให้นางเริ่มจับมีดตั้งแต่เริ่มยืนได้ ก็ไม่อาจมีฝีมือที่ดีมากได้
เขาพูดจาแข็งทื่อเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
บีบให้เด็กสาวยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่งยอมรับว่านางชื่นชอบการกิน เป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงอันดีงามมากนักหรืออย่างไร
คำตอบของนางพอจะได้ยินเสียงกัดฟันเจืออยู่ด้วย ข้าก็แค่ได้รับอานิสงส์จากบรรพบุรุษ ได้พบเห็นมามากกว่าก็เท่านั้น ไหนเลยจะพูดได้ว่าทำของอร่อยได้เป็นจำนวนมาก!
เฉินลั่วพยักหน้า คิดว่านางก็น่าจะไม่ต่างจากเขา จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่านางเอ่ยถึงหัวเผือกของลี่ผู่หลายครั้ง ซึ่งก็เกี่ยวพันถึงโฉนดที่ดินเขาซื่อกู้ที่เสากวน คงมิใช่ว่านางกำลังย้ำเตือนเขาเรื่องการชดเชยอยู่ตลอดหรอกกระมัง
เด็กสาวผู้นี้ช่างมีความสามารถจริงๆ
เขาคาดว่าไม่ว่าตัวเองจะเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องอะไร นางก็น่าจะดึงกลับไปที่เรื่องการชดเชยได้เสมอ
เรื่องประเภทนี้ แน่นอนว่าแทนที่จะให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มมิสู้ให้เขาเริ่มดีกว่า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาไม่อยากเอ่ยก่อน ยังมีความรู้สึกอยากดูเรือร่มอยู่บนหอคอยหวงเฮ่ออยู่หลายส่วน ดูว่านางจะมีวิธีเจ้าเล่ห์ซุกซนอะไรอีก
ได้ยินว่าหอสายลมวสันต์ที่จิงเฉิงเป็นของพวกเจ้า เขากล่าวอ้อมค้อมกับนางต่อไป น้ำเสียงฟังดูอบอุ่นและสุภาพเป็นอย่างยิ่ง เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างคล้ายกับตอนที่หวังซีพบเขาเป็นครั้งแรกที่ร้านขายยาเพื่อมวลชน ข้าเองก็เคยไปกินมาแล้วเช่นกัน รากบัวแสงเดือนของพวกเจ้าอร่อยมาก อย่างอื่นไม่ค่อยมีภาพจำอะไรเป็นพิเศษแล้ว แต่อาหารจานนี้กลับมิใช่อาหารจานพิเศษของหอสายลมวสันต์ ผู้อาวุโสของครอบครัวพวกเจ้าก็นับว่ามีประสบการณ์กว้างไกล เหตุใดถึงไม่ทำอย่างร้านรสเลิศสี่ฤดู คิดรายการอาหารที่แค่เอ่ยถึงทุกคนก็นึกขึ้นได้แล้วมาสักสองสามอย่าง?
ถึงกับกล้าพูดว่าพวกเขาทำการค้าไม่เป็น?!
หวังซีเดือดปุดปุด ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า กล่าวโต้แย้งแทนครอบครัวของตัวเอง เช่นนั้นเจ้าลองว่ามา หากเอ่ยถึงภัตตาคารมีชื่อในจิงเฉิง เจ้านึกถึงที่ไหนบ้าง
เฉินลั่วตะลึงงัน
ที่แรกที่เขานึกถึงก็คือหอสายลมวสันต์!
หวังซีหัวเราะคิก สั่งสอนการเป็นคนให้เขา เมื่อกล่าวถึงร้านรสเลิศสี่ฤดูก็จะนึกถึงไหล่หมูแก้วของพวกเขา กล่าวถึงร้านสวนหกรส เจ้าจะนึกถึงผักดองของพวกเขา แต่หากยามที่เจ้าไม่ค่อยอยากกินไหล่หมูแก้ว เจ้าจะไปที่ร้านรสเลิศสี่ฤดูหรือไม่ แต่หอสายลมวสันต์ของพวกข้ากลับเป็นสถานที่ที่คนจำนวนมากในเมืองหลวงมักจะไปยามที่อยากจัดงานเลี้ยงเชิญแขก! จะต้องการอาหารจานพิเศษหนึ่งอย่างสองอย่างไปทำไม ในเมื่อมันจำกัดแขกที่มากินข้าว
เฉินลั่วใจเต้นแรง
เขาคิดถึงเรื่องมากมาย
ทันใดนั้นรู้สึกว่าตัวเองดูถูกคนทำการค้ามาหลายต่อหลายรุ่นอย่างตระกูลหวังมากเกินไป
ทุกคนที่ยืนหยัดมาได้หลายปีโดยไม่ล้มลง ล้วนมีจุดแข็งของตัวเอง มีวิธีการเอาตัวรอดลับเฉพาะของตัวเองทั้งสิ้น
ยามเผชิญหน้ากับหวังซี เฉินลั่วจึงนั่งตัวตรงขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว
เขารินชาให้หวังซีถ้วยหนึ่งเงียบๆ
หวังซีกลับรู้สึกว่าชานี้แช่นานเกินไป ไม่ค่อยหอมแล้ว ควรจะเปลี่ยนชาชุดใหม่
นางเองก็คุยจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยแล้วเช่นกัน
ใต้เท้าเฉิน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากถามท่าน ครั้งนี้นางตัดสินใจเป็นคนควบคุมจังหวะการสนทนา แทงตรงประเด็นในดาบเดียว พูดเสร็จเร็วก็จะได้กลับไปนอนเร็วสักหน่อย นางฝืนมิให้หาวออกมา เชิดจมูกขึ้นกล่าวต่อว่า ผงธูปหอมนั่น ฮ่องเต้มิได้เป็นคนให้เจ้าตรวจสอบ เป็นเจ้าที่ทำการตรวจสอบอย่างลับๆ เอง? ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานใครใหม่อีกแล้วหรือว่าฮองเฮาถูกใส่ร้าย?
เจ้าพูดอะไร! ดวงตาเฉินลั่วเดือดดาล สีหน้ากลับเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน มีอาการตื่นตระหนกที่ปิดบังไว้ไม่มิด
ในเมื่อหวังซีกล้าถาม จึงไม่กลัวเขาเดือดดาล
นางร้อง หึ สองเสียงอย่างไม่ใส่ใจ กล่าวว่า หากฮ่องเต้ให้เจ้าตรวจสอบ เจ้าจะอยากคิดบัญชีกับปั๋วหมิงเย่ว์ไปทำไม ต้องรู้ว่า ปั๋วหมิงเย่ว์เป็นญาติผู้น้องร่วมสายเลือดขององค์ชายรอง เป็นหลานชายร่วมสายโลหิตของฮองเฮา ต่างจากพวกองค์ชายสามและองค์ชายสี่ที่มีเพียงนามทว่ามิได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด
………………………………………………………………………………
ตอนต่อไป