หวังซีย่อมไม่รู้ว่าคำพูดไม่กี่ประโยคของตัวเองทิ้งความประทับใจอะไรให้กับเฉินลั่วบ้าง
เฉินลั่วเรียกคนไปซื้อขนมแป้งทอดไส้เนื้อลูกกลมกับลูกหลีต้ม ทั้งสองคนนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง
ครั้งนี้เฉินลั่วไม่พูดถึงเรื่องภายในบ้านแล้ว หวังซีเองก็ไม่ถาม แต่คุยรายละเอียดเรื่องหมี่เหนียงจื่อว่าจะเข้าจวนอย่างไรขึ้นมา
จากสิ่งที่เฉินลั่วกล่าวมา เขาทำการติดสินบนไว้ทั้งหมดแล้ว หมี่เหนียงจื่อจะถูกจัดให้รับผิดชอบหน้าที่กวาดพื้นอยู่ที่เรือนชั้นนอก หมี่เหนียงจื่อไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้เฉินอวี๋ สิ่งที่ต้องทำมีเพียงช่วยสืบความมาให้กระจ่างว่าในแต่ละวันมีใครมาขอพบเฉินอวี๋หรือเฉินอวี๋ไปพบใครบ้างก็พอ
เฉินลั่วยังกล่าวด้วยว่า “เรื่องที่หมี่เหนียงจื่อกำลังทำอยู่นี้คงไม่ได้ช่วยให้รู้รายละเอียดเชิงลึกขนาดนั้น บิดาของข้าเองเป็นเจิ้นกั๋วกงมายี่สิบกว่าปีก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างเปล่าประโยชน์ สิ่งที่นางต้องทำคือพยายามสืบข่าวเท่าที่นางสืบได้ก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องฝืน หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
หวังซีพยักหน้า คนทั้งสองหารือรายละเอียดกันอีกเล็กน้อย
เฉินอวี้ซื้ออาหารกลับมาแล้ว
ทั้งสองคนจึงนั่งรับประทานขนมแป้งทอดไส้เนื้อลูกกลมกับลูกหลีต้มเป็นอาหารเย็นอยู่ใต้ซุ้มองุ่น
ขนมแป้งทอดไส้เนื้อลูกกลมของหวังจี้อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ ไส้หนาเปลือกบาง เค็มหวานหอมอร่อย กินคู่กับลูกหลีต้มหวานๆ ทั้งไม่เลี่ยนและช่วยให้เจริญอาหาร กินเดี่ยวๆ ก็ปกติธรรมดา แต่พอกินคู่กันแล้วกลับอร่อยรสชาติกลมกล่อมอย่างยิ่ง
หวังซีหันไปยกนิ้วโป้งให้เฉินลั่ว รู้สึกว่าเฉินลั่วเองก็เป็นคนรู้จักกินผู้หนึ่ง
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่าหวังซีนั้นถึงแม้จะมาจากครอบครัวร่ำรวย ดูแล้วเหมือนดอกไม้สูงส่งดอกหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะจัดการได้ง่ายดายเพียงนี้
เขาพลันรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย มีคำพูดบางอย่างที่ไม่รู้ว่าทำไมแต่ก็พูดออกมา “ชิงกูคนข้างกายของมารดาข้าเชี่ยวชาญการทำอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ต้มหัวปลาเกล็ดเงิน’ เป็นอย่างมาก หากวันไหนเจ้ามีเวลาว่าง ก็มาเป็นแขกที่บ้านของพวกข้าได้ ข้าจะให้ชิงกูทำให้เจ้ากิน!”
กล่าวจบก็รู้สึกว่าผลีผลามเกินไปเล็กน้อย จึงรีบกล่าวว่า “เจ้ากินหัวปลาหรือไม่ หรือจะทำรังนกตุ๋นไก่ฝูหรงก็ได้ นางก็เชี่ยวชาญเช่นกัน”
หวังซีทั้งดีใจและประหลาดใจเล็กน้อย
สิ่งที่นางชื่นชอบที่สุดคือการกิน มีคนยินดีแบ่งปันอาหารเลิศรสกับนาง นางย่อมตอบตกลงอยู่แล้ว!
“ได้เลย ได้เลย!” ขนมแป้งทอดไส้เนื้อลูกกลมที่ส่งมาให้นั้นยังร้อนลวกปากอยู่เล็กน้อย นางเป่าเบาๆ ถึงได้กล่าวต่อว่า “ข้ากินเกือบทุกอย่าง” กล่าวจบ นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวเพิ่มไปอีกประโยคว่า “แต่แมวเอย สุนัขเอยนั้นข้าไม่กิน งูก็ไม่กินเหมือนกัน แล้วก็พวกมด พวกหนอนไหมอะไรนั่นข้าก็ไม่กิน ยังมีตั๊กแตน หนอนไม้ไผ่…”
นางกล่าวเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเอ่ยชื่อออกมาได้หนึ่งกองใหญ่ เฉินลั่วฟังจนขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด กล่าวว่า “เคยมีใครเอาของพวกนี้ให้เจ้ากินแล้วหรือ”
หวังซีคิดว่ายังไม่ใช่เวลาเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวพวกนางกับบรรดาหัวหน้าเผ่าและหมู่บ้านเหมียวให้เฉินลั่วฟัง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “เคยมีคนเชิญพี่ชายใหญ่ของข้าไปร่วมงานเลี้ยงกินแมลง ข้าอยากรู้จึงตามไปด้วย ตอนนั้นข้าตกใจจนเบื้อใบ้ กินข้าวไม่ลงไปหลายวัน”
งานเลี้ยงกินแมลงนั้นเฉินลั่วเคยได้ยินทว่าไม่เคยเห็นมาก่อน นึกดูแล้วก็พอจะรู้ว่าคืออะไร แต่การที่หวังซีไปเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าหวังซีมีโลกทัศน์ที่เปิดกว้างยิ่งนัก อย่างน้อยก็เปิดกว้างกว่าคนจากตระกูลชั้นสูงในจิงเฉิงอย่างพวกหกปั๋วเหล่านั้น
หกปั๋วรู้จักแต่เย็บปักดอกไม้และตัดอาภรณ์ทำเครื่องประดับ แต่หวังซีนั้นดีร้ายก็เคยเห็นอะไรที่บุรุษธรรมดาทั่วไปเหล่านั้นยังไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ
เขากล่าว “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ วันไหนที่ข้ามีวันหยุด ข้าจะเชิญเจ้าไปกินต้มหัวปลาเกล็ดเงินของชิงกู”
มิใช่ว่าหวังซีไม่เคยกินมาก่อน เพียงแต่ว่าจะทำอาหารจานนี้ต้องใช้หัวปลาเกล็ดเงินหนักสี่ถึงห้าจิน เป็นอาหารชนิดหนึ่งของไหวหยาง จิงเฉิงมีปลาสดๆ จากแม่น้ำไม่ค่อยมาก หากต้องการทำอาหารจานนี้ เกรงว่าคงต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลย
แต่นางรับปากไปแล้ว เช่นนั้นก็ขอบคุณพร้อมกันทีเดียวเลยก็แล้วกัน นางตัดสินใจว่าจะตามใจตัวเองอีกสักหน่อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากทำรังนกตุ๋นไก่ฝูหรงอีกหนึ่งอย่างด้วยก็จะดีมาก”
เฉินลั่วได้ยินแล้วตกตะลึงนิดหน่อย แต่ไม่นานก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย
เขามาจากตระกูลดี นอกจากคนจำนวนไม่เพียงกี่คนแล้ว คนอื่นแทบจะประจบตามใจเขากันทั้งหมด ทำให้เขากลายเป็นคนไม่เก่งเรื่องวิเคราะห์เจตนาผู้คน เขาจึงกลัวการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นที่สุด
บางครั้งทั้งๆ ที่เขามีเจตนาดี ผู้อื่นกลับเข้าใจเจตนาของเขาผิด ตรงกันข้ามพอเขาคิดร้าย มันชัดเจนมากว่าทุกคนต่างรู้กันดี
บางทีเขาก็รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เฉินลั่วชอบปฏิสัมพันธ์กับคนที่ทำอะไรเหมือนหวังซีมากกว่า
มีอะไรเจ้าก็พูดมาตามตรง อะไรที่เขาทำให้ได้ก็จะทำให้ อะไรที่ทำไม่ได้ก็กล่าวขอโทษคำหนึ่ง ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย
คนเชิญก็สบายใจ คนถูกเชิญก็พึงพอใจ เปรมปรีดิ์กันทั้งสองฝ่าย
เหตุใดต้องปากไม่ตรงกับใจ เป็นเหตุให้คนเชิญต้องเสียเวลาและเรี่ยวแรงไปมากมาย คนถูกเชิญกลับยังรู้สึกว่าต้องฝืนใจ ทุกคนต่างไม่มีความสุข เสียเวลาเตรียมการกันเปล่าๆ
“ได้” เฉินลั่วกล่าว “เจ้ายังมีอะไรที่อยากกินอีกหรือไม่”
อาหารทั้งสองชนิดที่ชิงกูเชี่ยวชาญล้วนเป็นอาหารไหวหยางทั้งสิ้น หวังซีถาม “ชิงกูเป็นคนซูหังใช่หรือไม่”
เฉินลั่วพยักหน้า เอ่ยถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
หวังซีบอกสิ่งที่ตัวเองคาดเดาแล้ว สั่งอาหารอีกสองอย่าง จานหนึ่งเป็นเนื้อกุ้งขาวผัด ส่วนอีกจานหนึ่งเป็นหน่อไม้น้ำผัด
อาหารสองอย่างนี้ จานหนึ่งต้องใช้กุ้งขาวตัวใหญ่ อีกจานหนึ่งต้องใช้หน่อไม้น้ำ อยากทำออกมาให้ได้รสชาติดั้งเดิม ก็ต้องใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น
เฉินลั่วไม่รู้ความยากลำบากนี้ กลับไปก็ขอยืมตัวชิงกูเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขก
ชิงกูสงสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วว่าผู้ใดกันทำให้เฉินลั่วมุมานะใช้ความพยายามมากมายขนาดนี้ กระทั่งได้รับรายการอาหารแล้ว ก็ยิ่งตกใจมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงต้มหัวปลาเกล็ดเงินนั่นเลย แค่หน่อไม้น้ำ นางยังไม่ได้กินมาหลายปีแล้ว หากต้องการทำอาหารจานนี้ นอกจากต้องใช้ความพยายามส่งผักมาจิงเฉิงแล้ว หน่อไม้น้ำเองก็ใกล้จะหมดฤดูกาลของมันแล้วด้วย
หากไม่กำหนดวันเชิญแขกให้เรียบร้อย ต่อให้เฉินลั่วแก้ปัญหาเรื่องขนส่งผักได้ แต่เมื่อไม่มีผักให้ขน แม้แต่เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้
เฉินลั่วได้ยินคำตอบของชิงกูแล้ว ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปครู่ใหญ่
หวังซีกำลังกลั่นแกล้งเขาหรืออยากกินจริงๆ กันแน่?
เฉินลั่วขบคิดกว่าครึ่งค่อนวันก็คิดหาคำตอบไม่ได้ จึงตัดสินใจว่าไม่ว่าเป็นเพราะนางกลั่นแกล้งเขาหรือเพราะอยากกินจริงๆ ก็ตาม เขาจะเตรียมการไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที และเขาจะทำเป็นไม่รู้เรื่องด้วยก็แล้วกัน
เขาวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อจัดเตรียมวัตถุดิบ
ด้านหวังซีเมื่อกลับถึงจวนหย่งเฉิงโหว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว องค์หญิงฟู่หยางเดินทางกลับวังเรียบร้อย ตรงหน้าประตูก็แขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่เอาไว้อย่างสูงแล้วเช่นกัน เห็นสาวใช้สองคนบ้างสามคนบ้างกำลังกวาดชานเรือนหลังจากแขกเหรื่อแยกย้ายกันไปแล้วเป็นครั้งคราว
นางคิดว่าทุกคนคงเหน็ดเหนื่อยจากการต้อนรับองค์หญิงฟู่หยาง น่าจะไปพักผ่อนกันหมดแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าซือหมัวมัวกลับกำลังรอนางอยู่ที่หน้าประตูชั้นใน พอเห็นนางก็เผยสีหน้ายินดีออกมา ก้าวออกมายอบกายทำความเคารพพลางกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ของข้า ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงท่านอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าท่านไปจวนชิ่งอวิ๋นโหวแล้วถูกดูแคลนอะไรหรือไม่ ได้รับความลำบากอะไรหรือเปล่า ทำให้กินมื้อเย็นได้น้อยกว่าปกติ…
…ท่านรีบตามข้าไปพบฮูหยินผู้เฒ่าเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่านแล้ว จะได้ไปพักผ่อนอย่างสบายใจได้”
น้ำเสียงนั้นดูกระตือรือร้นกว่าปกติหลายส่วน ทำให้หวังซีอดสงสัยไม่ได้ว่าคงได้รับอานิสงส์จากจวนชิ่งอวิ๋นโหวและฮองเฮาเหนียงเหนียงมาเสียแล้ว
เนื่องจากนางออกจากบ้านด้วยข้ออ้างที่ว่าไปจัดการธุระให้ฮองเฮาเหนียงเหนียง
หวังซีกล่าวทักทายซือหมัวมัวยิ้มๆ แล้วไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมนาง
ภายในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าจุดโคมไฟสว่างไสว สาวใช้เด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูดวงหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบาน ดูมีชีวิตชีวากว่ายามปกติ
หวังซีอดไม่ได้พึมพำอยู่ในใจว่า หรือระหว่างที่นางไม่อยู่จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้น?
เมื่อเข้ามาในเรือน คิดไม่ถึงว่าโหวฮูหยินและนายหญิงรองก็อยู่ด้วย สายตาที่มองหวังซีดูร้อนแรงเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นทำให้หวังซีคิดว่าตัวเองประดับปิ่นหรือสวมอาภรณ์ผิดแปลกไปเสียอีก
“สวรรค์ ในที่สุดคุณหนูต่างสกุลก็กลับมาแล้ว” โหวฮูหยินกับนายหญิงรองลุกขึ้นพร้อมกัน เปรียบเทียบกับโหวฮูหยินที่เพียงมองนางยิ้มๆ แล้ว นายหญิงรองดูกระตือรือร้นกว่ามาก ข้ามโหวฮูหยินก้าวออกมาจับมือหวังซีเอาไว้ จากนั้นหันไปกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง ท่านดู คุณหนูต่างสกุลกลับมาอย่างเบิกบานมีความสุขดีมิใช่หรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า มองหวังซีด้วยสายตาพึงพอใจ สายตาที่มองสำรวจนางอีกครั้งยังเจือความยินดีเอาไว้หลายส่วนด้วย
กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากกล่าว หวังซีถึงได้รู้ว่าเพราะสาเหตุใด
ที่แท้ระหว่างที่นางอยู่ที่จวนชิ่งอวิ๋นโหวนั้น ปั๋วหมิงเย่ว์ให้คนส่งของกินเครื่องดื่มและของเล่นมาให้นางหนึ่งกองใหญ่
นายหญิงรองกล่าวยิ้มๆ ว่า “บ่าวชายข้างกายเขาคนที่มีอำนาจมากที่สุดนามเสี่ยวซื่อผู้นั้นนำมาส่งให้ด้วยตัวเอง”
นางทั้งถูกคุณหนูหกปั๋วเชิญตัวไปอย่างกะทันหันและปั๋วหมิงเย่ว์ยังส่งของมาให้อีก ด้วยเหตุนี้…พวกนางก็เลยเข้าใจว่าตระกูลปั๋วกับนางมีบางอย่างต่อกันแล้ว?
หัวของหวังซีเต็มไปด้วยหมอกเมฆ ไม่รู้ว่าปั๋วหมิงเย่ว์ทำบ้าอะไรของเขา แต่จะไม่อธิบายก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงทำให้คนจวนหย่งเฉิงโหวเข้าใจผิดจริงๆ เกิดจับคู่นางกับปั๋วหมิงเย่ว์ขึ้นมาอีกคงวุ่นวายแน่ๆ
นางรีบกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งของขวัญตอบแทนไปให้ปั๋วหมิงเย่ว์ ตระกูลของพวกเขาช่างพิถีพิถันเกินไปแล้ว ด้านวังหลวงก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายคุณหนูหกปั๋วไม่ต้องเข้าวังแล้ว ข้าจึงอยู่คุยเรื่องเย็บปักตัดอาภรณ์ทำเครื่องประดับกับคุณหนูหกปั๋วกว่าครึ่งค่อนวัน คิดไม่ถึงว่าตระกูลปั๋วยังจะส่งของขวัญขอบคุณมาให้อีกด้วย”
ไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่า โหวฮูหยินและนายหญิงรองได้ยินแล้วความกระตือรือร้นไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย นายหญิงรองกล่าวอย่างตรงไปตรงมากกว่าว่า “ตระกูลปั๋วปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้ถือเป็นเรื่องดี ไม่เสียหายที่ต่อไปเจ้าจะไปมาหาสู่กับพี่น้องตระกูลปั๋วบ่อยๆ จะว่าไปเพียงพริบตาเดียวฤดูร้อนก็จะผ่านพ้นไปแล้ว ทุกปีเมื่อถึงเทศกาลพิธีล่าสัตว์ ฮ่องเต้จะทรงทดสอบฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูของบุตรหลานแต่ละจวน ปีนี้พี่ชายสี่ พี่ชายห้าและพี่ชายหกของเจ้าล้วนเข้าร่วมด้วย…
…ถึงเวลาหากตระกูลปั๋วช่วยดูแลสักหนึ่งถึงสองส่วนได้ การเข้ากองพลทองคำ กองพลขนนก หรือแม้แต่กองพลม้าทะยานก็มิใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้แล้ว”
คาดว่าหลุมที่ฮูหยินทั้งสองท่านขุดให้นางคงกำลังรอนางอยู่ตรงนี้แล้ว!
หวังซีพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางไม่สนิทกับคุณหนูหกปั๋วและปั๋วหมิงเย่ว์ ต่อให้สนิทกัน นางคิดว่านางกับพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีมิตรภาพเช่นนี้
นางแสดงท่าทีลำบากใจออกมา
โหวฮูหยินพลันนั่งไม่ติดที่
นางมีบุตรชายห้าคน นอกจากบุตรชายคนโตที่ต่อไปจะได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์มีอนาคตที่มั่นคงแล้ว บุตรชายที่เหลืออีกสี่คนล้วนสูงก็ไม่ได้ต่ำก็ไม่เอากันทั้งสิ้น โดยเฉพาะบุตรชายคนเล็กสุดทั้งสองคน หากถึงเวลาต้องหมั้นหมายแล้วแต่ยังไม่มีหน้าที่การงานที่เป็นเรื่องเป็นราวล่ะก็ จะทาบทามหญิงสาวดีๆ ได้อย่างไร
เดิมทีก็เพราะไม่มีสิทธิ์สืบทอดบรรดาศักดิ์จึงไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรจากที่บ้านนัก หากฝั่งตระกูลภรรยายังช่วยเหลืออะไรไม่ได้อีก เมื่อถึงคนรุ่นหลานของนาง มิเท่ากับว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากครอบครัวคนธรรมดาเหล่านั้นแล้วหรอกหรือ
“คุณหนูต่างสกุลคงยังไม่ทราบกระมัง” โหวฮูหยินเอ่ยปากกล่าวอย่างร้อนใจเล็กน้อย “ปีที่ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ นั้น ยังเสด็จไปจัดงานพิธีล่าสัตว์ด้วยพระองค์เอง แต่เจ็ดถึงแปดปีให้หลังมานี้ ล้วนมอบหมายให้ชิ่งอวิ๋นโหวเป็นคนจัดงานพิธีล่าสัตว์และลงฉันทามติเลือกผู้ผ่านการทดสอบการขี่ม้าและยิงธนูแทนฮ่องเต้ หลานชายห่างๆ ของจวนเซียงหยางโหวผู้นั้น ตามหลักแล้วไม่มีคุณสมบัติพอ แต่ปีก่อนยังได้เข้าร่วมพิธีล่าสัตว์และได้รับตำแหน่งเข้ากองพลขนนกผ่านความช่วยเหลือของตระกูลปั๋วด้วย”
ตอนนางเล่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
หวังซีกลับยิ่งพูดไม่ออก
ถ้าหากเรื่องราวง่ายดายอย่างที่โหวฮูหยินกล่าวมาจริง นั่นมิเท่ากับว่าใครๆ ก็ใช้เส้นสายนี้ได้หรอกหรือ
แต่เฉินลั่วเคยบอกว่า นับตั้งแต่ที่จวนชิ่งอวิ๋นโหวมีฮองเฮาอีกคนเป็นต้นมา ก็กลายเป็นถ่อมตนเจียมเนื้อเจียมตัวยิ่งนัก จากความระแวดระวังของจวนชิ่งอวิ๋นโหว หากขยับมือเท้าทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีทางให้ผู้อื่นรู้เป็นอันขาด
อย่างน้อยก็ไม่มีทางให้จวนหย่งเฉิงโหวรู้
ใครจะกล้ารับประกันได้ว่ามีอุบายอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังบ้าง
……………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป