สีหน้าขณะพูดของคุณหนูรองอู๋ทำให้หวังซีรู้สึกว่านางไม่คล้ายคนต้องการเดินไปด้วยกัน แต่ท่าทางเหมือนมีเรื่องอยากคุยกับนางมากกว่า
หวังซียิ้ม เว้นระยะห่างออกจากฉังเคอ
คุณหนูรองอู๋ลอบพยักหน้า กระซิบกล่าวว่า “งานชมบุปผาของวังหลวงหาได้ยากยิ่ง เจ้าควรไปดูสักครั้ง หากจวนหย่งเฉิงโหวไม่อยากพาเจ้าไป รอเข้าวังไปแล้ว เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้าก็ได้”
ซึ่งก็หมายความว่า ต่อให้จวนหย่งเฉิงโหวไม่อยากพานางเข้าวังด้วย แต่ให้นางหาวิธีทำให้จวนหย่งเฉิงโหวพานางไปด้วย และเมื่อเข้าวังไปแล้ว ย่อมมีคนจวนชิงผิงโหวปกป้องนางเอง
นี่เป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่นัก
หวังซีกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า บังเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ
เพราะนั่งเกี้ยวมา ระหว่างเดินทางกลับนางจึงไม่มีโอกาสได้คุยกับฉังเคอ แต่เมื่อลงจากเกี้ยว บรรดาป้ารับใช้ที่ปรนนิบัติพวกนางลงจากเกี้ยวกลับมีสีหน้าตื่นตระหนกกันทุกคน คล้ายเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่ปาน
หวังซีส่งสัญญาณให้ไป๋กั่วนำซองแดงไปยัดให้ป้ารับใช้ผู้นั้นเงียบๆ กระซิบถามนางว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ป้ารับใช้ผู้นั้นมองฉังเคออย่างกระวนกระวายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “นายหญิงสามมีปากเสียงกับนายหญิงรอง กล่าวว่าเหตุใดถึงไม่ให้คุณหนูสี่ไปร่วมงานชมบุปผาของวังหลวงด้วย ยังลากโหวฮูหยินไปตัดสินผิดถูกให้ด้วย โหวฮูหยินกระอักกระอ่วนใจเหลือจะกล่าว ทุกคนกำลังถกเถียงกันอยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ!”
ฉังเคอได้ยินแล้วร้อนใจขึ้นมา
มารดาของนางเป็นคนหัวอ่อนและเชื่อฟัง ได้ชื่อว่าเป็นคนพูดไม่เก่ง มีโหวฮูหยินที่ลำเอียงและนายหญิงรองที่ฝีปากแหลมคม มารดาของนางไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกนางได้
ฉังเคอรีบเปลี่ยนอาภรณ์อย่างรวดเร็วแล้วมุ่งหน้าวิ่งไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า
ระหว่างทางเจอกับหวังซีที่เร่งตามมาด้วย
นางจับมือฉังเคอเอาไว้ กล่าวเสียงเคร่งว่า “เจ้าใจเย็นหน่อย อย่าพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดและทำสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ เนื่องจากพวกเจ้ายังไม่แยกบ้าน แล้วก็ไม่อาจย้ายออกจากจวนโหวในเวลานี้ด้วย ฉะนั้นอดกลั้นเอาไว้สักส่วนหนึ่ง ต่อไปจะได้มองหน้ากันได้”
ฉังเคอพยักหน้าหงึก กล่าวขอบคุณซ้ำๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าทราบแล้ว ข้าไม่ทะเลาะกับผู้อาวุโสแน่นอน”
ส่วนเรื่องจะทำร้ายความรู้สึกใครหรือไม่นั้น ไม่อาจบอกได้
หวังซีถอนหายใจ
หากเปลี่ยนเป็นนาง มารดาของนางต้องชอกช้ำใจเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้นางเข้าใจเหตุผลทุกอย่าง ทว่าก็ไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงได้เช่นกัน
ฉังเคอกล่าว “ขอบใจเจ้ามากที่เร่งตามมา แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ารอสักครู่หนึ่งแล้วค่อยไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเถิด!”
“ไม่เป็นไร!” หวังซียิ้มตบหลังมือฉังเคอเบาๆ กล่าวปลอบโยนนางว่า “ข้าไม่ไปแล้วพวกนางจะรักข้าอย่างนั้นหรือ ในสายตาของพวกนางข้าก็เป็นแค่เศรษฐีใหม่ที่รู้จักแต่ใช้เงินฟาดหัวคนเท่านั้น ไม่มีชื่อเสียงหลงเหลือมาตั้งนานแล้ว ต่อให้ระมัดระวังเพียงใดก็กอบกู้ชื่อกลับมาไม่ได้อยู่ดี ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก”
ฉังเคอตะลึงงันเล็กน้อย
หวังซีกลับลากนางไป “รีบไปกัน! ระวังไปถึงสายแล้วจะทำได้แค่ช่วยมารดาเจ้าร้องไห้เท่านั้น”
ฉังเคอไม่ทันได้ขบคิดอย่างละเอียด รีบไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกับหวังซี
บรรยากาศในเรือนฮูหยินผู้เฒ่ากดดันยิ่ง เหล่าข้ารับใช้ที่ปฏิบัติหน้าที่กันอยู่ต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พวกนางย่างเท้าเข้าลานบ้านมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของนายหญิงสาม “…พวกข้ารู้สถานะของพวกข้าดี หากไร้ซึ่งความสามารถของพี่ใหญ่กับพี่รอง ก็คงไม่อาจประสบความสำเร็จใดได้ ไม่ว่าพี่ใหญ่กับพี่รองบอกอะไร คนที่บ้านข้าผู้นั้นล้วนยินดีทำตามทุกอย่างโดยไม่คัดค้านสักคำ ไม่เคยปัดความรับผิดชอบเลยสักครั้ง แต่ท่านก็ไม่อาจรังแกคนสัตย์ซื่อ อาเคอของพวกข้าสู้อาเหยียนไม่ได้ แต่เรื่องงานแต่ง ใช่ว่ามีเพียงตระกูลใหญ่ตระกูลโตเท่านั้นที่สู่ขอบุตรสะใภ้ ใช่ว่ามีเพียงสะใภ้เอกเท่านั้นที่ต้องดูตัว…
…อาเคอของพวกข้าอาจเป็นสะใภ้เอกดูแลบ้านให้ตระกูลใหญ่โตไม่ได้ แต่จะเป็นสะใภ้รองหรือสะใภ้เล็กที่คอยให้ความช่วยเหลือสะใภ้เอกไม่ได้เชียวหรือ เหตุใดถึงไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะเหยียบย่างเข้าวังหลวง?…
…ข้าไม่ขอสิ่งใด ข้าขอแค่ให้โอกาสอาเคอของพวกข้าสักครั้งหนึ่ง ให้อาเคอของพวกข้าได้ไปเปิดหูเปิดตาสักครั้ง ได้ไปอวดโฉมต่อหน้าทุกคนสักครั้ง ให้ผู้อื่นรู้ว่าตระกูลของพวกเรานั้นนอกจากคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองและคุณหนูสามแล้ว ยังมีคุณหนูสี่อยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง…
…ที่ข้าทำเช่นนี้ก็นับเป็นความผิดด้วยอย่างนั้นหรือ!”
ถ้อยคำนี้ช่างกล่าวได้ดียิ่ง!
หวังซีอยากจะร้องตะโกนว่ากล่าวได้ดีให้นายหญิงสามสักครั้งหนึ่งเหลือเกิน ทว่าในใจกลับกระจ่างแจ้งดี รู้ว่าเมื่อใดที่นายหญิงสามกล่าวถ้อยคำนี้ออกไป ล้วนเป็นการตำหนิว่าบ้านหลักกับบ้านรองรังแกบ้านสาม หากฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียงเข้าข้างบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองละก็ เกรงว่าคงเป็นการทำให้ฮูหยินผู้เฒ่า โหวฮูหยินและนายหญิงรองไม่พอใจกันหมดทุกคนแน่
นางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ได้ยินเสียงของโหวฮูหยินดังมาเข้าหูว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร พวกข้าไปรังแกเจ้าตั้งแต่เมื่อใด บุตรจากอนุในบ้านมีมากมาย พวกข้าไม่เก็บไว้สักคน เหลือเพียงพวกเจ้าไว้ให้ได้แสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่า พวกเจ้าออกไปข้างนอกผู้ใดไม่กล่าวชื่นชมว่า ‘กตัญญูรู้คุณ’ บ้าง เหตุใดพอไปถึงปากของเจ้ากลับกลายเป็น ‘รังแกคนสัตย์ซื่อ’ ไปได้ เจ้าพูดอะไรก็ต้องมีมโนสำนึกบ้าง พวกข้าเคยอยุติธรรมต่อครอบครัวพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อใด…”
คำก็ ‘พวกเจ้า’ สองคำก็ ‘พวกข้า’ แม้แต่ในใจยังเป็นคนสองครอบครัว ยังไม่เรียกว่าอยุติธรรมอีกหรือ
หวังซีรู้สึกทนฟังไม่ได้เล็กน้อย
นายหญิงรองกลับนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด
ไม่เสียแรงที่นางเป็นคนมีความสามารถที่สุดในบรรดาบุตรสะใภ้ ถ้อยคำนี้ด่าพาดพิงไปถึงนางแล้ว แต่นางกลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำได้ ปล่อยให้สะใภ้ใหญ่กับแม่สามีออกหน้าไปรับแทน
หากให้นายหญิงสามพูดต่อไป เกรงว่าครานี้นอกจากทำให้ทุกคนไม่พอใจแล้ว อาจทำให้เรื่องไม่บรรลุเป้าหมายด้วย
หวังซีบีบมือฉังเคอแน่น เป็นสัญญาณบอกให้นางไม่ต้องพูด ตัวเองกลับยิ้มแย้มกล่าวเสียงดังขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ามีธุระหรือเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นพวกข้าจะรออีกสักครู่แล้วค่อยมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าใหม่”
เสียงในเรือนหลักพลันเงียบลงทันใด
อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าการพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าคนรุ่นเด็กดูไม่ค่อยมีเกียรตินัก
ขณะที่หวังซีคาดเดาอยู่นั้น ก็เห็นซือหมัวมัววิ่งเหยาะๆ ออกมาหา กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้าว่า “คุณหนูต่างสกุลกับคุณหนูสี่กลับมาแล้วหรือ มีธุระที่ไหนกัน เพราะพวกเด็กๆ อย่างพวกท่านล้วนไม่อยู่กัน โหวฮูหยินกับนายหญิงอีกสองท่านจึงมาสนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า นี่ก็ใกล้จะแยกย้ายกันแล้ว คุณหนูต่างสกุลกับคุณหนูสี่รีบตามข้าเข้าไปเถิด ต้ากูไหน่ไนที่จินหลิงให้คนส่งส้มมาให้เล็กน้อย เป็นของหาได้ยากยิ่งนัก ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับเป็นพิเศษว่าให้เหลือเอาไว้สองสามลูกให้คุณหนูต่างสกุลกับคุณหนูสี่ได้ลองชิมด้วย!”
นี่ช่างเป็นการตบหัวแล้วลูบหลังจริงๆ
หวังซียิ้ม เข้าไปในโถงรับรองพร้อมกับซือหมัวมัว
เห็นได้ชัดว่าโหวฮูหยินแต่งหน้าใหม่ครั้งหนึ่ง ใบหน้าของทุกคนต่างแต้มรอยยิ้ม ดูไม่ออกว่าเคยมีคนร้องห่มร้องไห้มาก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
ฉังเคอกำมือแน่น ก้าวออกไปคารวะทุกคนพร้อมกับหวังซี
โหวฮูหยินกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “พวกเจ้าออกไปข้างนอกมาทั้งวัน คงเหนื่อยแย่แล้ว วันนี้รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ! พรุ่งนี้ค่อยมาคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าใหม่”
นี่คิดจะไล่พวกนางกลับไปกระมัง
ฉังเคอเผยอปากเล็กน้อย หมายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าถูกหวังซีเอาตัวบังเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ เป็นคนแรกว่า “กล่าวว่าเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยได้ที่ไหนกันเจ้าคะ ที่จวนเจียงชวนป๋อพวกข้าได้กินได้ดื่มได้เล่นสนุกกัน เป็นผู้อาวุโสทั้งหลายต่างหากที่ต้องลำบากดูแลจัดการงานบ้านอยู่ที่บ้าน คิดๆ แล้ว พวกข้ารู้สึกไม่สบายใจเหลือเกินเจ้าค่ะ!”
จากนั้นนางไม่เกรงใจโหวฮูหยินอีก กล่าวต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม พวกข้ามีเรื่องหนึ่งอยากหารือกับผู้อาวุโสทั้งหลายเจ้าค่ะ…
…คุณหนูใหญ่จวนเจียงชวนป๋อกับคุณหนูรองจวนชิงผิงโหวต่างนัดแนะให้พวกข้าไปร่วมงานชมบุปผาของวังหลวงด้วยกัน พวกข้าไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้อยู่ด้วย ณ ตอนนั้นจึงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ได้แต่ตอบเสียงหนึ่งไปอย่างคลุมเครือเท่านั้น ตั้งใจว่ากลับมาแล้วจะขอให้ผู้อาวุโสทั้งหลายช่วยตัดสินใจให้พวกข้าสักครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ”
นางเปิดเผยทุกอย่างออกมาต่อหน้าทุกคน
โหวฮูหยินพลันหน้าแดงหูแดงไปหมด อึกอักพูดอะไรไม่ออก
นายหญิงสามแสร้งตีสีหน้าต่อไปไม่ได้อีก ปล่อยโฮออกมาเบาๆ
มีเพียงนายหญิงรองที่นัยน์ตาฉายแววเย็นชาสายหนึ่งออกมา เอ่ยเจรจาแทนพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ของตัวเองว่า “วังหลวงมีกฎระเบียบมากมาย พวกข้ากลัวว่าคนรุ่นเด็กอย่างพวกเจ้าจะไม่รู้จักหนักเบา เข้าวังไปแล้วสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาได้ จึงกำลังหารือกันอยู่ว่าควรทำอย่างไรดี เจ้ากับอาเคอกลับไปก่อน ตัดสินใจได้แล้ว พวกข้าค่อยบอกพวกเจ้าอีกที”
คิดว่าเช่นนี้จะไล่พวกนางออกไปได้หรือ
หวังซีแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ กล่าวว่า “ก็เพราะวังหลวงมีกฎระเบียบมากมาย คนรุ่นเด็กอย่างพวกข้าล้วนไม่ค่อยรู้ความ จึงควรเชิญข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในที่เกษียณอายุจากวังหลวงมาสอนกฎระเบียบให้พวกข้าสักคนหนึ่งหรือไม่ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับอะไรต่างๆ นั้น วันนี้ข้ากับพี่สาวสี่ล้วนได้ฟังพวกคุณหนูใหญ่ลู่และคุณหนูหกปั๋วคุยกันแล้วว่าตอนเข้าวังจะสวมใส่อาภรณ์และเครื่องประดับอะไรบ้าง ถึงเวลาทุกคนจะได้ไม่ใส่สีซ้ำกัน ทำให้ไม่เป็นดั่งบุปผางามซ้ำสีสัน จนดึงความสนใจของสตรีชั้นสูงในวังหลวงไว้ไม่ได้ เรื่องเหล่านี้ไม่เพียงต้องเตรียมการแต่เนิ่นๆ เท่านั้น ยังต้องตกลงกับแต่ละจวนด้วย…
…บัดนี้แล้วจวนของพวกเราก็ยังตัดสินใจไม่ได้ เกรงว่าคงตามหลังผู้อื่นไปหนึ่งก้าวแล้ว ต่อให้ได้เข้าวังไป ก็คงเป็นได้แค่ฉากหลังของผู้อื่น…
…อาจเป็นเพราะข้ามีนิสัยหัวแข็งเกินไป ตลอดชีวิตของข้าผู้นี้ไม่เคยต้องเป็นฉากหลังให้ผู้ใดมาก่อน…
…ถ้าหากเป็นเช่นนี้ การไม่ได้เข้าวังก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องไปยกเกี้ยวให้ผู้อื่นนั่ง ไม่คุ้มค่า!”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วอ้าปากค้าง เอ่ยถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้า เจ้ารู้ว่าเหล่าสตรีชั้นสูงของแต่ละจวนตั้งใจจะสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับอะไรเข้าวังบ้าง?”
เมื่อก่อน จวนหย่งเฉิงโหวไม่เคยได้รับข้อมูลเช่นนี้มาก่อน
โหวฮูหยินอดมองสำรวจหวังซีใหม่อีกครั้งไม่ได้
หวังซีคิดแค่ว่าโชคดีที่จวนหย่งเฉิงโหวไม่ยอมรับนาง ถ้าหากยอมรับนาง นางต้องมีญาติฝั่งมารดาที่ไปเป็นฉากหลังสีเขียวให้ผู้อื่นทุกครั้งเช่นนี้ นางคงได้โมโหตายเป็นแน่
“นี่เป็นเรื่องสมควรมิใช่หรือ” นางถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เป็นการตบหน้าจวนหย่งเฉิงโหว “ทุกคนต่างคาดหวังว่าต่างคนต่างได้ขยับเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง นอกจากต่างคนต่างเป็นฉากหลังส่งเสริมซึ่งกันและกันแล้ว ยังควรเกาะกลุ่มกันไว้ให้แน่น ใช่ว่าราชวงศ์เพิ่งคัดเลือกชายากันแค่ปีนี้ และใช่ว่าจะมีแค่องค์ชายไม่มีพระราชนัดดาถือกำเนิดขึ้นอีกแล้ว คนรุ่นนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ก็ไม่เสมอไปว่าคนรุ่นถัดไปจะไม่ประสบผลสำเร็จด้วย…
…ท่านดูอย่างหลินอานต้าจ่างกงจู่ ยังคงรุ่งโรจน์มาจนถึงบัดนี้มิใช่หรือ…
…ที่กล่าวกันว่าบรรพบุรุษปลูกต้นไม้เอาไว้เพื่อให้ร่มเงาแก่คนรุ่นหลัง ก็มิใช่เหตุผลนี้หรอกหรือ”
โหวฮูหยินประเดี๋ยวหน้าแดงประเดี๋ยวหน้าขาวซีด
ฮูหยินผู้เฒ่าที่ไม่เอ่ยคำใดมาโดยตลอดกลับร้องไห้ โฮ ออกมาอย่างกะทันหัน ร่ำไห้ไปด้วยกล่าวกับหวังซีไปด้วยว่า “อาซี เจ้ากล่าวโทษที่ข้าไม่ให้เจ้าเข้าวังใช่หรือไม่ เจ้าไม่เหมือนผู้อื่น เจ้าหน้าตางดงาม ที่บ้านก็ร่ำรวยมั่งคั่ง หากไปเข้าตาคนไร้ยางอายคนไหนเข้า เอาเจ้ากลับไปเป็นอนุชายา ข้าจะอธิบายกับบิดามารดาของเจ้าว่าอย่างไร! ผู้อื่นอาจเข้าใจผิดได้ แต่เหตุใดเจ้าเองก็ไม่เข้าใจความขมขื่นของข้าด้วยอีกคน!”
นางไม่ร้องไห้ยังดี พอร้องไห้แล้ว กลับร้องจนทำเอาหวังซีไปอยู่ในจุดที่ลำบากใจที่สุด สายตาที่นายหญิงสามมองนางเปลี่ยนไปอย่างมาก
คู่ต่อสู้ที่เป็นดั่งเทพเซียนยังไม่น่ากลัวเท่ามีเพื่อนร่วมคณะที่เป็นเหมือนสุกรไร้ความคิด
หวังซีวิพากษ์อยู่ในใจ ทว่าไม่เผยออกมาให้เห็นทางสีหน้า นางบีบน้ำตาตามไปด้วยอีกคน ก้าวออกไปจับมือฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ กล่าวเสียงเครือว่า “ข้ารู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าสงสารข้า ข้าเองก็เห็นใจฮูหยินผู้เฒ่า ถึงได้ต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้จวนหย่งเฉิงโหว เหตุใดผู้อื่นถึงแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือกันได้ มีเพียงจวนของพวกเราที่ไม่มีใครให้ปรึกษาหารือได้เลยสักคน”
กล่าวถึงตรงนี้ นางนึกถึงจวนเซียงหยางโหวขึ้นมา
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่จวนหย่งเฉิงโหวต้องอดทนอดกลั้นให้กับจวนเซียงหยางโหวมาโดยตลอด!
แต่นางไม่คิดจะไปเลียแข้งเลียขาจวนเซียงหยางโหวพร้อมกับจวนหย่งเฉิงโหว
“ข้าถึงได้รู้สึกว่าสตรีของจวนพวกเราไม่เพียงต้องเข้าวังเท่านั้น ตอนเข้าวังยังต้องแต่งกายให้สมเกียรติอีกด้วย” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา เสนอความคิดให้ฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ข้าไม่ได้อยากเข้าวัง แต่ถ้าพี่สาวสามกับพี่สาวสี่เข้าวังแล้วไม่ได้รับความสนใจเป็นลำดับต้นๆ หัวใจของข้าดวงนี้ก็รู้สึกไม่ยินยอมนัก! เหตุใดคนจวนเซียงหยางโหวได้รับเกียรติต่อหน้าซูเฟยเหนียงเหนียงได้ แต่จวนหย่งเฉิงโหวของพวกเราถึงไม่ได้?”
กล่าวจบ นางยังจงใจหันไปมองนายหญิงรองครั้งหนึ่งด้วย
…………………………………………………………………….
ตอนต่อไป