เฉินลั่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนข้างๆ กลับมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าและแววตาที่ว่างเปล่า ไม่ขยับเขยื้อนไปกว่าครู่ใหญ่
หวังซีอดหันไปมองหลิวจ้งไม่ได้
หลิวจ้งวางถ้วยในมือลง เริ่มจมดิ่งเข้าสู่ห้วงความคิดไปด้วยอีกคน
หวังซีกลอกตาขาวใส่ทั้งสองคน รู้ว่าคนทั้งสองกำลังพินิจพิจารณาเรื่องราวอยู่ จึงหันไปจูงมืออาหลีไว้ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราไปกินของอร่อยกันเถอะ!”
อาจเป็นเพราะอาหลีพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาบ่อยแล้ว จึงพยักหน้าอย่างรู้ความ เดินไปที่ห้องครัวกับหวังซีอย่างเบามือเบาเท้า
แม่ครัวที่หวังซีพามาด้วยกำลังสอนแม่ครัวของสะพานศิลาขาวทำแป้งย่างอยู่ นี่เป็นกรรมวิธีที่หวังซีเอากลับมาด้วยหลังจากที่ไปย่านต้าจ้าหลานเมื่อคราวที่แล้ว ไส้หมูหอมกรุ่น ตัวแป้งข้าวสาลีหอมอบอวล ทำให้อาหลีน้ำลายไหลไม่หยุดอีกครั้ง
แม่ครัวต่างชื่นชอบเขามาก หั่นแป้งย่างเป็นชิ้นเล็กๆ วางไว้ในจานกระเบื้องสีขาวนวลให้อาหลีกับหวังซีกิน
อาหลีกินไปหนึ่งคำ กระซิบถามหวังซีว่า “เหตุใดท่านน้าฉังถึงไม่มาด้วย นางไปไหนหรือขอรับ”
คิดไม่ถึงว่าเจ้านักกินตัวน้อยผู้นี้ยังจดจำฉังเคอได้อยู่ ไม่เสียแรงที่ฉังเคอทำรองเท้าถุงเท้าและเสื้อผ้าเหล่านั้นให้เขา
หวังซีลูบศีรษะเขาพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้น้าฉังไปวัดเป็นเพื่อนท่านย่าของนาง หากเจ้าคิดถึงนาง ข้าจะบอกนางให้ เมื่อมีโอกาส พวกข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
อาหลีพยักหน้า กล่าวอย่างเชื่อฟังว่า “ข้าคิดถึงท่านน้าฉัง”
หวังซีหัวเราะร่า กลับไปเล่าให้ฉังเคอฟัง
ตอนอยู่วัดหลิงกวงฉังเคอมีเรื่องให้เศร้าใจเล็กน้อย หลังจากที่ได้ฟังถ้อยคำของหวังซีรอยยิ้มถึงดูมีความสุขขึ้นมาบ้าง เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นว่า “อาหลีเป็นอย่างไรบ้าง สูงขึ้นบ้างหรือยัง คนที่ดูแลอยู่ข้างกายเขาเป็นคนเช่นไร ใจดีกับเขาหรือไม่”
หวังซีตอบคำถามนางทีละข้อๆ “ดูไม่ออกว่าสูงขึ้นบ้างหรือเปล่า ซื้อหมัวมัวผู้หนึ่งมาดูแลเขา เวลาส่วนใหญ่ยังคงติดตามอยู่ข้างกายหลิวจ้งตลอด ยังคงร่าเริงไม่ต่างจากเมื่อก่อน”
ฉังเคอพยักหน้า รู้สึกวางใจลงมาได้ อดไม่ได้บ่นเรื่องไปวัดหลิงกวงกับหวังซีว่า “วันนี้มีคนไปจำนวนมาก แต่เนื่องจากพวกข้าทำการจองแต่เนิ่นๆ เรือนพักผ่อนของพวกข้าจึงไม่แย่นัก ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหวมาถึง ส่งคนมาคารวะท่านย่า คำพูดคำจาเต็มไปด้วยคำประจบเยินยอ ท่านย่ากลับคิดเป็นจริงเป็นจัง เชิญฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวมาพักผ่อนด้วย…
…เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าหยิ่งทะนงกับพวกข้ามาตลอด ครั้งนี้ไม่รู้เป็นอะไร ถึงกับถ่อมเนื้อถ่อมตัวลงมา ยังพาโหวฮูหยินและนายหญิงอีกสองสามท่านของพวกเขามาด้วย พูดคุยหัวเราะกันอย่างร่าเริง ประหนึ่งไม่เคยมีเรื่องก่อนหน้านี้เกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น”
หวังซีตกใจเป็นอย่างมาก เอ่ยถามว่า “หรือว่าจวนหย่งเฉิงโหวกับจวนเซียงหยางโหวจะกลับมาดีกันอีกแล้ว?”
ฉังเคอพยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้
หวังซีกล่าว “ถึงว่าสีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก”
ฉังเคอคิดไม่ถึงว่าตนจะอดทนไม่ได้ขนาดนี้ ลูบหน้าพลางกล่าว “นี่ยังถือเป็นเรื่องเล็ก เพราะข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าท่าทีของจวนเซียงหยางโหวอยู่ไม่ค่อยเหมือนเดิม ดู…ดูให้ความสำคัญกับพวกข้ามากเกินไป เจ้าเองก็รู้ ก่อนหน้าที่จะทะเลาะกันอย่างเปิดเผยนั้น แม้นพวกเขาจะปฏิบัติต่อพวกข้าไม่แย่นัก แต่เวลามองพวกข้าก็เหมือนคนที่มองลงมาจากตำแหน่งที่อยู่เหนือกว่า แต่ครั้งนี้กลับมีท่าทางของการอยากประจบเอาใจแฝงอยู่ด้วยหลายส่วน…
…พวกข้ายังมีอะไรควรค่าให้พวกนางประจบประแจงด้วยอย่างนั้นหรือ”
ฉังเคอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
หวังซีครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “นิสัยของฮูหยินผู้เฒ่านี้ ต่อให้พวกเราอยากสู้สักตั้ง ก็ถูกนางถ่วงขาหลังเอาไว้อยู่ดี แทนที่จะมาขบคิดเรื่องพวกนี้อยู่ที่นี่ ไม่สู้ลองไตร่ตรองดูดีๆ ว่าเรื่องนี้มีผลกระทบอะไรต่อตัวเจ้าหรือไม่ดีกว่า”
สิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อฉังเคอได้ก็มีแค่เรื่องงานแต่งของนางเท่านั้นแล้ว
นางกล่าวอย่างลังเลว่า “ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรหรอกกระมัง ถึงแม้สือฮูหยินจะเป็นคนช่วยทาบทามงานแต่งครั้งนี้ให้ข้า แต่ใต้เท้าสืออยู่กองพลทองคำซ้าย กับพวกข้าก็ดี กับจวนเซียงหยางโหวก็ดี หรือแม้กระทั่งกับจวนชิ่งอวิ๋นโหว เขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรด้วยเลย…”
ขณะที่นางกล่าว หวังซีกลับคิดอะไรขึ้นมาได้ คว้าหมับที่มือของฉังเคอ กล่าวตัดบทคำพูดของนางว่า “หากข้าจำไม่ผิด น้องชายของใต้เท้าสือทำงานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหยียนเจิ้ง และคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวเคยบอกว่า ครอบครัวพวกนางอยากจับคู่นางกับคุณชายสามตระกูลเหยียน เจ้าว่า จะมีความผิดปกติอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องนี้หรือไม่”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกกระมัง” ฉังเคอกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก “ต่อให้ใต้เท้าสือกับตระกูลเหยียนมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่การแต่งงานระหว่างข้ากับตระกูลหวงก็ดูไม่เหมือนว่าจะมีผลกระทบอะไรต่อพวกเขาได้นี่นา”
หวังซีลอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นางกล่าว “ความระมัดระวังทำให้เรือแล่นได้เป็นหมื่นปี พวกเราระแวดระวังเอาไว้ดีกว่า”
จะให้ดีคือต้องหมั้นหมายกับตระกูลหวงให้เร็วที่สุด
แต่นี่มิใช่สิ่งที่หวังซีกำหนดได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หวังซีไม่ได้รู้สึกว่านี่คือการแต่งงานที่ควรค่าให้ต้องออกแรงช่วงชิงเอามาให้ได้ขนาดนั้น
ฉังเคอพยักหน้า
นางยังมีความสงวนท่าทีที่เด็กสาวพึงมีต่องานแต่งงานอยู่ ไม่อยากแสดงออกว่ากระตือรือร้นมากเกินไป
จากนั้นทั้งสองคนก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ฉังเคอกลับสวนร่มวสันต์ไปแล้ว ส่วนหวังซีหารือเรื่องเติมสินเจ้าสาวให้ฉังเคอกับหวังหมัวมัว “คาดว่างานแต่งของนางคงจัดขึ้นในปีหน้า เวลานั้นข้าน่าจะเดินทางกลับสู่จงไปแล้ว เด็กสาวนั้นต้องมีของติดตัวเอาไว้บ้างถึงจะดี ช่วงก่อนหลงจู๊ใหญ่ซื้อร้านค้าขนาดเล็กที่เขตต้าสือยงให้ข้าสองห้องมิใช่หรือ ข้าสอบถามมาแล้ว หนึ่งปีน่าจะสร้างรายได้เป็นเงินประมาณเจ็ดถึงแปดสิบตำลึง ถึงเวลาก็ยกร้านทั้งสองห้องนี้ให้พี่สาวสี่ตระกูลฉังใช้ทำเป็นสินเจ้าสาวก็แล้วกัน”
หวังหมัวมัวรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
สิ่งสำคัญคือร้านค้าที่จิงเฉิงหาซื้อไม่ง่ายเลย
บางครั้งมีเงินก็ใช่จะซื้อได้
แต่นางเองก็รู้จักหวังซีผู้นี้ดี หากนับเจ้าเป็นพี่เป็นน้องแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ยินดีแบ่งปันให้เจ้าทุกอย่าง นับประสาอะไรกับร้านค้าที่สร้างรายได้เจ็ดถึงแปดสิบตำลึงสองร้านกัน
นางขานรับคำอย่างยิ้มแย้ม ถามหวังซีว่า “เขียนชื่อของคุณหนูสี่ลงไปในโฉนดตั้งแต่ตอนนี้เลย หรือถึงเวลาค่อยให้คุณหนูสี่ไปเปลี่ยนด้วยตัวเองดีเจ้าคะ?”
หวังซีรู้สึกอยู่ตลอดว่างานแต่งของฉังเคอมีโอกาสเปลี่ยนแปลงสูงมาก ตรึกตรองดูแล้วจึงกล่าวว่า “ให้นางไปเปลี่ยนเองในภายหลังดีกว่ากระมัง ข้ากลัวว่าหากของเหล่านี้ไปตกอยู่ในสายตาของคนมีเจตนาร้าย จะคิดว่าบ้านสามซุกซ่อนเงินเอาไว้ได้”
ปัจจุบันบ้านสามช่วยดูแลกิจการต่างๆ ให้จวนหย่งเฉิงโหว ไม่ได้มีเงินส่วนตัวของตัวเองมากมายอะไร ถึงแม้ร้านค้าสองร้านนี้ทำรายได้ไม่มากนัก แต่ตัวร้านค้ากลับมีมูลค่าสูงมาก ไม่ใช่ของที่บ้านสามจะซื้อหามาได้
หวังหมัวมัวพยักหน้ายิ้มๆ สั่งการให้หวังสี่ไปจัดการเรื่องนี้
งานแต่งของฉังเคอกับตระกูลหวงพูดคุยมาถึงขั้นตอนเจรจากำหนดการแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มหารือเรื่องรายการสินเจ้าสาวกับโหวฮูหยินแล้วเช่นกัน
นายหญิงรองกับฉังเหยียนกลับเหมือนหายตัวไปเลยก็ไม่ปาน เวลาคารวะเช้าเย็นที่ทำเป็นปกติก็ไม่เห็นพวกนาง ตอนที่ครอบครัวว่าที่สามีของฉังเคอมาสรุปวันกำหนดการ นายหญิงรองกับฉังเหยียนก็แค่โผล่หน้ามาครั้งหนึ่งเท่านั้น
โหวฮูหยินวุ่นจนหัวหมุน ย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับกล่าวแทนพวกนางว่า “อาหนิงใกล้จะออกเรือน งานแต่งของอาเคอเองก็มีเค้ารางแล้ว พวกนางย่อมรู้สึกไม่สบายใจ เจ้าก็อย่าคิดบัญชีกับพวกนางเลย”
โหวฮูหยินนึกถึงงานแต่งของบ้านรองกับตระกูลหันก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ ตั้งใจกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นวันหมั้นของคุณชายสี่จวนเซียงหยางโหว พวกนางต้องไปร่วมงานหรือไม่เจ้าคะ”
ตั้งแต่กลับจากวัดหลิงกวง จวนหย่งเฉิงโหวกับจวนเซียงหยางโหวก็กลับมาปฏิสัมพันธ์กันอีกครั้ง เจี่ยเฝิงหมั้นหมาย ย่อมต้องเชิญคนจวนหย่งเฉิงโหวไปร่วมดูความครึกครื้นด้วยอยู่แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าอึกๆ อักๆ
โหวฮูหยินระงับความโกรธเอาไว้ ไม่ได้ต้อนถามต่อ ไปบ่นกับคุณหนูพานเป็นเวลานานแทน
คุณหนูพานเองก็ต้องเตรียมเรื่องออกเรือนแล้วเช่นกัน ถือโอกาสนี้หารือเรื่องย้ายออกไปอยู่ข้างนอกกับโหวฮูหยิน “คงไม่อาจออกเรือนจากจวนหย่งเฉิงโหวได้”
โหวฮูหยินพยายามรั้งหลานสาวเอาไว้อย่างสุดความสามารถ กล่าวว่า “หลังปีใหม่มารดาของเจ้าถึงจะเดินทางมาจิงเฉิง รอมารดาของเจ้ามาถึงก่อนพวกเจ้าค่อยหาบ้านเช่าสักหลังหนึ่งแล้วย้ายออกไปก็ยังไม่สาย”
เพียงแต่ว่าบ้านเช่าในจิงเฉิงนั้นหาไม่ง่ายเลย นางอยากเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า
โหวฮูหยินรับเรื่องนี้มาจัดการให้ทั้งหมด ยังกล่าวด้วยว่า “เจ้าวางใจเถอะ ให้เป็นความรับผิดชอบของข้า ข้าจะช่วยดูให้เจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป รับประกันว่าตอนเจ้าออกเรือนทุกอย่างจะราบรื่น ไม่มีอะไรล่าช้าแม้แต่นิดเดียวอย่างแน่นอน”
คุณหนูพานหน้าแดงไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมื่อออกจากประตูมาแล้ว พานหมัวมัวกลับถามโหวฮูหยินว่า “เช่นนั้นทางด้านนายหญิงรอง?”
โหวฮูหยินกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “นางมีความสามารถมากมิใช่หรือ ต้องการให้พวกเราไปชี้มือชี้ไม้สั่งการที่ไหนกัน จัดการเรื่องของตระกูลเดิมของข้าให้แล้วเสร็จก่อนค่อยว่ากันอีกที”
นี่ก็หมายความว่าไม่คิดจะให้ความช่วยเหลือเรื่องงานแต่งของคุณชายสามฉังที่จะมีขึ้นในเดือนเก้าแล้วนั่นเอง
พานหมัวมัวเข้าใจ ประคองโหวฮูหยินกลับเรือน
ไม่กี่วันต่อมา ก็มีแม่สื่อมาส่งเทียบ บอกว่าได้รับการไหว้วานจากตระกูลหวงให้มาเอ่ยเรื่องสู่ขอ
โหวฮูหยินอยากจะกดทับบ้านรอง หลังจากทราบเรื่องก็ทำความสะอาดและประดับประดาเรือนด้วยดอกไม้ ให้ข้ารับใช้ในเรือนชั้นในทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ว่ากันว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าช่วงมีเทศกาลเสียอีก เตรียมการต้อนรับแม่สื่อที่จะมาสู่ขออย่างตั้งอกตั้งใจ แม้แต่หวังซีก็ได้รับอิทธิพลนี้ไปด้วย นางตัดอาภรณ์ตัวใหม่ถึงสองชุด ทำเอาหวังหมัวมัวหัวเราะฮ่าเสียงดัง กล่าวว่า “ต่อให้แม่สื่อเดินหลงทางอย่างไร ก็ไม่น่าจะเดินมาถึงสวนร่มหลิวได้ แล้วนี่ท่านทำไปเพื่ออันใดเจ้าคะ”
หวังซีหัวเราะฮ่า รู้สึกเช่นกันว่าตัวเองตื่นเต้นเกินไปแล้ว กล่าวแย้งว่า “เช่นนั้นข้าจะเอาไว้สวมตอนไปส่งท่านหมอเฝิง”
กำหนดการส่งตัวเฉาอวิ๋นกลับสู่จงถูกกำหนดลงมาแล้ว ท่านหมอเฝิงเป็นเจ้าทุกข์ ต้องกลับสู่จงไปด้วยครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าเฝิงเกาย่อมต้องติดตามไปดูแลด้วย เรื่องที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนจึงไหว้วานให้หลงจู๊ใหญ่ช่วยดูแล
หวังซีตัดสินใจไปส่งท่านหมอเฝิงออกเดินทางด้วยตัวเอง
ตอนที่เฝิงเกามาบอกเรื่องนี้ไม่ได้ห้ามปรามนาง ถึงขั้นมีอาการลังเลไปครู่ใหญ่ด้วย กล่าวกับนางว่า “ท่านอาจารย์เดินทางกลับสู่จงครานี้ คาดว่าคงไม่กลับมาที่จิงเฉิงแล้ว ส่วนร้านขายยาเพื่อมวลชน คงต้องหาใครสักคนมาอยู่ประจำถึงจะใช้ได้ ความอุตสาหะของข้ากับของอาจารย์พ่อตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะได้ไม่สูญเปล่า”
หวังซีกลับมีความคิดอื่น นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดว่าร้านค้าเป็นเรื่องเล็ก สิ่งสำคัญในตอนนี้คือเจ้าต้องรีบแต่งงานได้แล้ว ให้กำเนิดบุตรชายอ้วนท้วนหรือไม่ก็เด็กหญิงมาสักคน ท่านปู่เฝิงต้องดีใจมากแน่ๆ นั่นนับว่าดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”
เฝิงเกาหัวเราะอย่างขัดเขิน ถือเป็นการยอมรับคำพูดของนางไปโดยปริยาย
ตอนที่ตระกูลหวงมาสู่ขอ หวังซียังคิดอยู่เลยว่าจะหาโอกาสหนึ่งไปดูว่าแม่สื่อผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไรดีหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ว่าขณะที่นางกำลังลังเลใจอยู่ที่เรือนว่าจะ ‘ฉวยโอกาส’ ตอนไหนดีนั้น สาวใช้คนสนิทของฉังเคอกลับวิ่งมาหาด้วยใบหน้าซีดเผือด พอเห็นนางยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ร้องไห้ขึ้นมาเสียก่อน “คุณ คุณหนูต่างสกุล ท่านรีบไปดูเถิดเจ้าค่ะ! นายหญิงสามของพวกข้าไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ตระกูลหวงนั่นมาสู่ขอก็จริง แต่คนที่พวกเขาต้องการสู่ของคือคุณหนูสาม แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ทุกคนต่างกำลังดูงิ้วกันอยู่ที่นั่น!”
หวังซีหัวใจเต้นตึกตัก ในหัวมีเสียงดังระงม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินมาถึงสวนร่มวสันต์ได้อย่างไร
คุณชายแปดฉังหรือก็คือน้องชายของฉังเคอยืนร้องไห้กัดฟันกรอดอยู่ในลานบ้าน “ตระกูลหวงดีนักหรือไร คิดว่าพวกข้ารังแกได้ง่ายๆ หรือ เจ้าคอยดูเถอะ ข้าไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน”
สาวใช้และป้ารับใช้ห้าถึงหกคนล้อมเขาเอาไว้ รู้จักแค่เกลี้ยกล่อมเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณชายแปด พูดเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านรีบกลับไปก่อนเถิด! อย่าทำให้นายหญิงสามกับคุณหนูสี่ต้องเป็นห่วง ทางนี้พวกนางกำลังวุ่นวายกันอยู่!”
หวังซีเห็นแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ จับคอเสื้อคุณชายแปดฉังส่งต่อให้หวังหมัวมัว กล่าวว่า “อย่าให้เขาพูดอะไรไม่เหมาะสมออกมา หากทางนี้มีเรื่องอะไรข้าจะให้คนไปเรียกเจ้าเอง”
หวังหมัวมัวรับคำ อุ้มคุณชายแปดฉังที่พยายามดิ้นรนขัดขืนไปที่เรือนของเขา
หวังซีกับไป๋กั่วไปที่ห้องชั้นในของฉังเคอ
………………………………………………………………………
ตอนต่อไป