เฉินลั่วถามเฉินอวี้ “จ่างกงจู่ว่าอย่างไร”
เฉินอวี้กล่าว “จ่างกงจู่บอกว่า เรื่องนี้ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของนาง และนางเองก็จัดการไม่ไหว หากชิ่งอวิ๋นโหวอยากคุยเรื่องนี้ ก็ต้องไปคุยกับฮ่องเต้แล้ว ขอเพียงฮ่องเต้เห็นด้วย นางก็ย่อมเห็นด้วย ยังกล่าวหยอกเย้าด้วยว่า ต่อให้นางไม่เห็นด้วย แต่ถ้าฮ่องเต้เห็นด้วย เหล่าองค์ชายก็ได้ค่าเครื่องเขียนเพิ่มอยู่ดี”
เฉินลั่วไม่กล่าวสิ่งใด เงียบไปตลอดทางที่เดินกลับศาลากวางร้อง
หลิวจ้งกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ใต้ตะเกียง พอได้ยินความเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นมา รีบถามว่า “คุณหนูหวังหาท่านมีธุระอะไรหรือ”
ปกติเขาพักอยู่ที่สะพานศิลาขาว เวลามีธุระอาจค้างคืนที่ศาลากวางร้องบ้าง เฉินลั่วบอกกล่าวคนภายนอกว่าเขาคือนักบัญชีที่ตนเชื้อเชิญมา
ด้วยเหตุนี้เฉินจง บิดาของเฉินอวี้ยังเคยถามเฉินลั่วเป็นการเฉพาะว่า ท่านต้องการทำการค้าหรือขอรับ
คนอย่างเฉินลั่ว การที่มีผู้ช่วยอยู่ข้างกายผู้หนึ่งถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่เฉินลั่วกลับรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า ไม่ว่าจะเป็นเจิ้นกั๋วกงก็ดี หรือมารดาของเขาก็ดี ต้องไม่เห็นด้วยเป็นแน่ เขาถึงได้หาข้ออ้างเช่นนี้
พอเฉินจงถามขึ้นมา เขารู้สึกหัวใจกระตุก ได้ความคิดรางๆ หนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า อยากทำการค้าอะไรสักหน่อย เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ได้คิดดูดีๆ จึงเชิญหลิวจ้งมาหารือดูก่อน
เฉินจงคาดหวังให้เฉินลั่วมีคนที่ใช้การได้มาอยู่ข้างกายเพิ่มอีกสักสองสามคนมาตลอด นอกจากเสนอความคิดเห็นให้ไปจำนวนมากแล้ว ยังดูแลหลิวจ้งมากเป็นพิเศษ และเลือกบ่าวชายที่มีไหวพริบสองสามคนไปปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลิวจ้งด้วยตัวเองอีกด้วย
เฉินลั่วจึงเอาข่าวนี้ไปปล่อยที่จวนเจิ้นกั๋วกงผ่านหมี่เหนียงจื่อคนที่หวังซีแนะนำมาให้ก่อนหน้านี้ คาดว่าจวนเจิ้นกั๋วกงคงคิดว่าหลิวจ้งไม่ควรค่าให้ต้องใส่ใจ จึงไม่มีใครมาสืบเรื่องของเขา
“ไม่มีเรื่องอะไร!” เฉินลั่วตอบหลิวจ้ง ทันใดนั้นรู้สึกว่าคำตอบเช่นนี้ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก
หวังซีหาเขาด้วยความรีบร้อน แต่ผลปรากฏว่าพอเจอเขาแล้วกลับกลายเป็นว่ามาหาด้วยเรื่องจิปาถะในบ้านเท่านั้น เขาไม่ได้เห็นคล้อยด้วย ทว่าก็ไม่ถึงกับรังเกียจ แต่ถ้าเขาตอบหลิวจ้งเช่นนี้ หวังซีก็ดูคล้ายเป็นคนไม่มีเรื่องก็หาเรื่องมาให้ผู้หนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขานัดกับหลิวจ้งเอาไว้ว่าวันนี้ทั้งสองคนจะมาช่วยกันดูว่าระยะนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในจิงเฉิงบ้าง และในงานวันคล้ายวันประสูติของเจียงไท่เฟยอาจจะได้เจอกับเรื่องอะไรบ้าง
“จวนหย่งเฉิงโหวมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย” เฉินลั่วขมวดคิ้ว ช่วยพูดคำโกหกที่ไม่นับว่าเป็นการโกหกให้หวังซี “นางตัดสินใจไม่ได้จึงมาถามข้า”
ด้วยสถานะของหลิวจ้ง ขอเพียงมิใช่เรื่องที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของเฉินลั่ว เขาย่อมไม่ดึงดันถามถึงต้นตอของเรื่อง ในเมื่อเฉินลั่วบอกเช่นนี้ เขาย่อมจะเชื่อเช่นนี้อยู่แล้ว
“ช่วงนี้ข้าค้นพบเรื่องหนึ่ง” เขาโยนเรื่องดังกล่าวทิ้งไป พูดถึงเรื่องที่เขาคิดว่าเป็น ‘ธุระ’ จริงๆ ขึ้นมา “คนของเหยียนเฮ่า ญาติผู้พี่ของหนิงผินที่พวกเราจับตาดูอยู่กล่าวว่า ช่วงนี้เหยียนเฮ่ากำลังทำการค้าเกลือกับพ่อค้าผู้มั่งคั่งของแถบเจียงหนาน เลขาธิการฝ่ายกิจการค้าเกลือหลวงของเหลี่ยงไหวคนปัจจุบันเป็นคนของชิ่งอวิ๋นโหว เขาเอาใจใส่ดูแลเหยียนเฮ่ามากเป็นพิเศษ”
หากชิ่งอวิ๋นโหวไม่พยักหน้าอนุญาต เลขาธิการฝ่ายกิจการค้าเกลือหลวงของเหลี่ยงไหวย่อมไม่มีทางทำเช่นนั้น
เมื่อรวมกับข่าวที่ได้รับมาจากทางด้านจ่างกงจู่แล้ว เฉินลั่วนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ถึงได้แสยะยิ้มเย็น กล่าวขึ้นว่า “จวนชิ่งอวิ๋นโหวคงมิใช่อยากบอกฮ่องเต้ว่า หากองค์ชายรองได้สืบทอดราชบัลลังก์ ย่อมดูแลเชษฐาและอนุชาเหล่านี้เป็นอย่างดีหรอกกระมัง”
โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดที่ฮ่องเต้ทรงรักใคร่เป็นพิเศษ
เฉินลั่วเล่าสิ่งที่เฉินอวี้บอกมาให้หลิวจ้งฟัง
หลิวจ้งใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เข้าใจความหมายของเฉินลั่ว เขากล่าวอย่างลังเลว่า “ด้านจ่างกงจู่ พวกเราต้องเตือนนางสักหน่อยหรือไม่”
“ไม่ต้อง!” เฉินลั่วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “มารดาของข้ามีวันนี้ได้ ก็เพราะนางไม่มีทางสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของราชวงศ์ง่ายๆ จวนชิ่งอวิ๋นโหวอยากให้มารดาของข้าสนับสนุนพวกเขา นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
หลิวจ้งทบทวนสิ่งที่จ่างกงจู่กระทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอย่างละเอียดแล้วก็พยักหน้า
เฉินลั่วกลับกล่าวกับหลิวจ้งว่า “งานวันคล้ายวันประสูติของเจียงไท่เฟยต้องไม่ค่อยสงบแน่ วันนั้นข้าจะหาวิธีไปอยู่เวร”
ก็คือไม่คิดจะเข้าร่วมงานนั่นเอง
หลิวจ้งรู้สึกว่าเช่นนี้ดียิ่ง ทั้งสองสนทนาเรื่องรายละเอียดต่างๆ อีกมากมาย กระทั่งตีกลองบอกเวลายามสาม ถึงได้แยกย้ายกันไป
เฉินลั่วเอนตัวนอนอยู่บนเตียง มองแสงจันทร์สว่างไสวนอกหน้าต่าง ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ก็นึกถึงหวังซีที่พาดตัวอยู่บนกำแพงขึ้นมา ใบหน้างดงามหนุนอยู่บนเสื่อสีฟ้า ขาวเนียนละเอียดดุจแสงจันทร์ในเวลานี้
***
วันรุ่งขึ้นหวังซีขอให้หลงจู๊ใหญ่ไปสืบเรื่องของเวินเจิง คุณชายใหญ่ตระกูลเวินผู้นั้น
ไม่นานหลงจู๊ใหญ่ก็กลับมารายงานว่า “หน้าตาโดดเด่น เป็นคนกล้าหาญและตรงไปตรงมา ใจกว้างไม่ตระหนี่ ทำอะไรรู้จักรุกรู้จักถอยค่อนข้างมีหลักการและรอบคอบ เข้ากองพลขนนกไปไม่นานก็พอมีชื่อเสียงแล้ว”
หวังซีพอใจเป็นอย่างมาก เหลือแค่รอดูว่าทางตระกูลเวินจะว่าอย่างไรแล้ว
แต่นางไม่บอกเรื่องนี้กับฉังเคอหรือนายหญิงสาม เพราะกลัวว่าหากทางตระกูลเวินมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกจะทำให้ฉังเคอหรือไม่ก็นายหญิงสามผิดหวัง
แต่ตระกูลเวินตอบกลับมาเร็วกว่าที่หวังซีคาดการณ์เอาไว้เสียอีก เวลาเพียงเจ็ดถึงแปดวัน ทางด้านโน้นก็ส่งพ่อบ้านมา รายงานเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าด้วยอาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางว่า “นายท่านผู้เฒ่าของพวกข้าบอกว่า หลายปีมานี้โชคดีที่มีจวนป๋อคอยดูแล แม้แต่งานแต่งของคุณชายใหญ่ ก็ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงไปด้วยไม่น้อย ท่านเป็นคนแนะนำงานแต่งครั้งนี้ให้ เชื่อว่าต้องเป็นงานแต่งที่ดีอย่างแน่นอน นายท่านของพวกข้าอยู่เมืองหนานชังยังไม่กลับมา เนื่องจากสุขภาพของนายท่านผู้เฒ่าไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกสองถึงสามวันถึงจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง จึงให้ข้ามาคารวะท่านก่อน ด้านคุณชายใหญ่ควรเตรียมอะไรบ้างนั้น รบกวนท่านช่วยเตรียมให้ก่อน นายท่านผู้เฒ่ามาถึงเมืองหลวงแล้ว จะมาขอบคุณท่านด้วยตัวเองอีกครั้งขอรับ”
กล่าวจบ ยังหยิบตั๋วเงินห้าพันตำลึงออกมา “ไม่อาจให้ท่านเปลืองทั้งแรงใจเปลืองทั้งเงินทองได้ ท่านเห็นว่าควรจะใช้จ่ายอย่างไรก็ใช้จ่ายได้ตามเห็นชอบขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ปฏิเสธ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องมงคลของคุณชายใหญ่ของพวกเจ้า หากข้าออกเงินให้คงไม่สมควรทั้งหลักการและความรู้สึก ข้าจึงไม่เกรงใจแล้ว รอให้งานแต่งของคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าลุล่วงแล้ว ค่อยมอบรองเท้าถุงเท้าให้ข้าหลายๆ คู่ก็แล้วกัน”
พ่อบ้านผู้นั้นเฉลียวฉลาดคากวามสามารถ ขานรับคำซ้ำๆ ด้วยรอยยิ้มร่า คารวะฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเดินทางไปจวนหย่งเฉิงโหวด้วยตัวเอง
เดิมทีเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นแขกที่หาได้ยากอยู่แล้ว กระทั่งหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าทราบวัตถุประสงค์การมาของนางแล้ว ก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ถามอย่างไม่กล้าเชื่อว่า “ท่านว่าอะไรนะ ท่านอยากเป็นแม่สื่อให้คุณหนูสี่ของพวกข้า?”
เรื่องของตระกูลหวงนั้น ลู่หลิงใส่พริกใส่เกลือเอาไปฟ้องต่อหน้าเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับจวนหย่งเฉิงโหวและตระกูลหวง ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็หัวเราะ กล่าวว่า “คุณหนูสี่ของพวกเจ้านั้น คุณสมบัติและหน้าตาโดดเด่น จิตใจดีมีคุณธรรม ผู้ใดไม่รู้บ้าง? ข้ามาเป็นแม่สื่อให้นาง เจ้าแปลกใจอะไรกัน”
ในใจของคนจวนหย่งเฉิงโหวนั้น นอกจากคุณหนูใหญ่ ก็มีคุณหนูสามฉังเหยียนที่ได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์ มีความงามและมีคุณธรรมความดีงาม คิดไม่ถึงว่าอยู่ข้างนอกฉังเคอเองก็มีชื่อเสียงดีขนาดนี้ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าประหลาดใจมากจริงๆ แต่เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าได้ชื่อว่าเป็นคนมีสายตาแหลมคม ต่อให้นางรู้สึกประหลาดใจมากกว่านี้ แต่เพื่อให้หลานสาวมีงานแต่งที่ดี ถึงเวลาต่อให้ช่วยสนับสนุนจวนหย่งเฉิงโหวไม่ได้ ก็ไม่ถึงกับทำลายชื่อเสียงของจวนหย่งเฉิงโหว นางรีบกดเอาความรู้สึกประหลาดใจนี้เอาไว้ในใจ กล่าวประจบเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มๆ ว่า “ดูท่านพูดเข้า! ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านมีสายตาสูงส่ง ข้าเพียงคิดไม่ถึงว่าคุณหนูสี่ของพวกข้าจะไปเข้าตาท่านได้เท่านั้น นี่ก็นับเป็นโชคดีของนางแล้ว!”
ทั้งสองคนผลัดกันคุยเจ้าประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่ง เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ เล่าเรื่องราวของตระกูลเวินให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง
ตระกูลเช่นนี้ ย่อมไม่มีจุดไหนที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พึงพอใจ
ไม่นานทั้งสองครอบครัวก็กำหนดวันดูตัวกันเรียบร้อย
หวังซีเสนอตัวไปดูตัวเป็นเพื่อนฉังเคอ
ฉังเคอหน้าแดงด้วยความขัดเขิน หยิกหวังซีครั้งหนึ่ง กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “จะขาดเจ้าไปได้หรือ เจ้าสงบใจหน่อยได้หรือไม่”
หวังซีหน้าหนาประหนึ่งความหนาของกำแพงเมือง กล่าวว่า “มิใช่เพราะข้าได้ยินมาว่าคุณชายเวินผู้นั้นรูปงามกว่าเฉินลั่ว ก็เลยสนใจใคร่รู้หรอกหรือ”
ดวงหน้าของฉังเคอยิ่งแดงมากขึ้น
ผู้ใดไม่คาดหวังให้สามีของตัวเองหน้าตาหล่อเหลา จิตใจดีมีคุณธรรมบ้าง?
ฝั่งบ้านสามเตรียมตัวเรื่องไปดูตัวกับคุณชายเวินอย่างเปรมปรีดิ์ ด้านบ้านรองกลับมีบรรยากาศสลดหดหู่
นายหญิงรองยิ้มเย็น “เพียงไม่นานก็หาตระกูลใหม่ได้แล้ว คงมิใช่ว่าดูตัวกันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว รู้สึกว่าตระกูลหวงเป็นอุปสรรค ถึงได้หาวิธีสลัดมาให้พวกเราหรอกกระมัง”
“ท่านแม่!” ดวงหน้าของฉังเหยียนประเดี๋ยวขาวซีดประเดี๋ยวเขียวครึ้ม
คุณชายสี่จวนเซียงหยางโหวหมั้นหมายกับบุตรสาวของผู้อำนวยการสำนักศึกษาหลวงไปอย่างไม่คาดคิด นางคิดไม่ตกมาตลอด กระทั่งหมัวมัวข้างกายนางไปสืบได้ความมาว่า แม้นตระกูลผู้อำนวยการสำนักศึกษาหลวงผู้นั้นจะเป็นตระกูลบัณฑิต ทว่าบรรพบุรุษเป็นพ่อค้าใหญ่โต เคยมีคนดำรงตำแหน่งเลขาธิการฝ่ายกิจการเกลือหลวงถึงสองคน สินเจ้าสาวล้วนแล้วแต่เป็นที่นาร้านค้า อัญมณีเครื่องลายครามเก่าแก่ต่างๆ ทั้งสิ้น ความกรุ่นโกรธนี้ติดอยู่ในใจนาง จนถึงบัดนี้ยังไม่คลายลง
ที่ได้รู้จักคุณชายตระกูลหวง ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญทั้งสิ้น ที่ได้รับความสนใจจากคุณชายหวง ยิ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง นางก็แค่ไม่อยากไปชื่นชอบใครอีกแล้ว พอมีคนมาชอบนาง นางจึงคร้านจะคิดอะไรมากมาย ก็เลยตอบรับงานแต่งนี้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ก่อนหน้านี้มารดาของนางยินดีมากเท่าไร บัดนี้พอได้ยินเรื่องงานแต่งของฉังเคอแล้วก็ไม่ยินยอมมากเท่านั้น
ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่อาจเอางานแต่งของนางมาพูดอย่างยอมรับไม่ได้เช่นนี้นี่นา!
นางกล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองเถิด มีอะไรสมควรเปรียบเทียบกันด้วย” แต่นางยังคงกล่าวต่ออย่างอดไม่อยู่ว่า “ต่อให้คุณชายหวงไม่ดีอย่างไร แต่ก็เป็นบัณฑิตเรียนหนังสือ ต่อไปสอบผ่านได้เป็นขุนนาง เป็นคนมีอนาคต ตระกูลเวินจะดีมากเพียงไร ก็เป็นเพียงทหาร เป็นขุนนางฝ่ายบู๊คนหนึ่งเท่านั้น ท่านคิดว่าผู้บังคับบัญชากองพลอะไรนั่นเป็นกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ จิงเฉิงมีบุตรหลานคนชั้นสูงมากมาย มีสักกี่คนที่ได้เป็นผู้บังคับบัญชากองพล”
“นี่ก็จริง!” ในที่สุดนายหญิงรองก็สงบลงมาได้มาก
กระทั่งงานแต่งระหว่างตระกูลเวินกับฉังเคอกำหนดลงมาเรียบร้อย วันที่ตระกูลเวินมาวางของหมั้นเล็ก นอกจากปิ่นทองคำแท้สมปรารถนาน้ำหนักสิบแปดเหลี่ยง[1]แล้ว ยังมอบไข่มุกที่ทุกเม็ดมีขนาดใหญ่เท่าเม็ดบัวให้อีกหนึ่งหู[2]ด้วย เหล่าข้ารับใช้ของจวนหย่งเฉิงโหวต่างวิ่งไปดูบุตรเขยคนใหม่ตามทางที่เวินเจิงเดินผ่าน นายหญิงรองถึงได้หน้าซีดด้วยความตกใจอีกครั้ง ถามหมัวมัวคนสนิทว่า “เจ้าว่าอะไรนะ ครอบครัวของบุตรเขยสี่เอาเงินหนึ่งหมื่นหนึ่งตำลึงทำเป็นเงินสินสอด?”
เงินสินสอดกับของขวัญสินสอดไม่เหมือนกัน เงินสินสอดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของของขวัญสินสอดเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า นอกจากเงินหนึ่งหมื่นหนึ่งตำลึงแล้ว ตระกูลเวินยังมีของขวัญอื่นๆ อีก
ต่อให้ป้ารับใช้ผู้นั้นเข้าข้างคุณหนูของตัวเองก็รู้สึกอับอายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวว่า “ผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการของตระกูลเวินกล่าวว่า ผู้อาวุโสของตระกูลเวินรู้สึกว่าคุณหนูสี่มีคุณสมบัติที่หาได้เพียงหนึ่งจากคนเป็นหมื่น เพราะฉะนั้นจึงละเมิดธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลเวิน นำเงินหนึ่งหมื่นหนึ่งตำลึงมาทำเป็นสินสอด ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องประดับอะไรต่างๆ นั้น จะปฏิบัติตามธรรมเนียมปฏิบัติของเหล่าคุณหนูจากตระกูลชั้นสูงในจิงเฉิง”
นายหญิงรองรีบกล่าวว่า “ต่อให้เป็นคุณหนูจากตระกูลชั้นสูงก็มีส่วนที่ไม่เหมือนกัน พวกเขาจะวางสินสอดตามแบบอย่างของตระกูลใดหรือ”
ป้ารับใช้ผู้นั้นไหล่ห่อ กล่าวเสียงเบาว่า “รายการของขวัญจะจัดเตรียมตามสินสอดที่ต้ากูไหน่ไนจวนเว่ยกั๋วกงได้รับตอนออกเรือนในปีนั้นเจ้าค่ะ”
นายหญิงรองโกรธจนเกือบจะเป็นลมล้มพับลงไป
ผู้ใดจะเอาตัวเองไปเปรียบกับต้ากูไหน่ไนของจวนเว่ยกั๋วกงได้ เพื่อให้ทรัพย์สมบัติของจวนเว่ยกั๋วกงตกไปอยู่ในมือของบุตรสาวตัวเองแล้ว แม้นบุตรชายเสียชีวิตเว่ยกั๋วกงก็ไม่ยอมแต่งงานใหม่ ทรัพย์สมบัติมากกว่าครึ่งของจวนเว่ยกั๋วกงล้วนมอบเป็นสินติดตัวเจ้าสาวให้บุตรสาวทั้งสิ้น
ตระกูลถานได้รับทรัพย์สินไปมากมายขนาดนั้น ตอนวางสินสอดจะตระหนี่ได้หรือ
…………………………………………………………………….
[1]เหลี่ยง หนึ่งเหลี่ยงประมาณ 50 กรัม
[2]หู หนึ่งหูประมาณ 5 ลิตร
ตอนต่อไป