ฉังเคอไม่กลับสวนร่มวสันต์ ออกจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าก็ตรงไปที่สวนร่มหลิวเลย เล่าเรื่องดังกล่าวให้หวังซีฟัง
หวังซีตะลึงงัน ถามว่า “ซือจูคิดจะทำอะไร”
“คงคิดจะช่วยออกหน้าให้ฉังเหยียนกระมัง” ฉังเคอกล่าวคาดเดาอย่างเหนื่อยอ่อน “ช่วงนี้พวกเราต่างไม่ค่อยให้ความสนใจพี่สาวสามเท่าไรนัก คาดว่าคงมีคนรู้สึกว่าหากแต่งงานออกไปเช่นนี้ คงทำให้ชื่อเสียงเสื่อมเสียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากพวกข้าปรากฏตัวออกสู่สายตาทุกคนอย่างรักใคร่กลมเกลียวกันได้ ก็จะช่วยรักษาชื่อเสียงของนางเอาไว้ได้ หากพวกเรายังต่อว่านางว่าเป็นคนผิดอีก นั่นก็เป็นเพราะพวกเราจิตใจคับแคบ ไม่มีความรักให้พี่สาวน้องสาว”
หวังซีแสยะยิ้มเย็นพลางร้อง ‘เพ้ย’ เสียงหนึ่ง ถามฉังเคอว่า “เจ้าคิดจะทำเช่นไร”
“ข้าไม่มีทางไปร่วมพิธีปักปิ่นขององค์หญิงฟู่หยาง” ฉังเคอกล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อก่อนใครๆ ออกไปข้างนอกก็ไม่เคยคิดถึงข้า บัดนี้ส่งพัดมาให้ในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ไม่สายไปหน่อยหรือ ผู้ใดอยากไปก็ไปเถอะ!”
หวังซีรู้สึกว่าที่ฉังเคอกล่าวมามีเหตุผล เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าคงต้องไปติดสินบนคนที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อยแล้ว จะได้ไม่ถูกผู้อื่นเอาไปแต่งเติมเรื่องราว”
หากถูกคำว่า ‘อกตัญญู’ กดทับเอาไว้ ไม่ต้องพูดถึงฉังเคอ แม้แต่นายหญิงสามเองก็ถูกตำหนิไปด้วย
ฉังเคอพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าทราบแล้ว ตอนข้ามาหาเจ้าที่นี่ได้ให้สาวใช้ใหญ่ข้างกายข้าไปหามารดาของข้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยนิสัยของมารดาข้า เกรงว่าเวลานี้คงไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี!” หวังซีจึงรั้งฉังเคอให้อยู่กินข้าวกับนางที่นี่ ยังกล่าวด้วยว่า “เผื่อว่ามีคนไปตามหาเจ้าที่เรือน เจ้าจะไม่มีข้ออ้างอะไรเลยแม้แต่ข้อเดียว อยู่กินข้าวกับข้าที่นี่ ดีร้ายก็ถือเป็นแขก”
ฉังเคอหัวเราะ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าคนเดียวไม่ไปหาคนอื่นแล้ว เชิญคุณหนูพานมากินข้าวด้วยกันดีหรือไม่ ข้าจะขอยืมมาลามาไหว้พระ ใช้ห้องครัวของเจ้าทำกับข้าวสักสองสามอย่าง ให้พวกเจ้าลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
นางให้ความสำคัญกับการแต่งงานกับเวินจงมาก คิดว่าตระกูลเวินเป็นครอบครัวใหญ่ พอมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวมาก ญาติพี่น้องก็มากตาม ในหมู่เด็กสาวและสะใภ้ด้วยกันต่อให้ไม่อยากเปรียบเทียบก็ถูกนำไปเปรียบเทียบอยู่ดี แม้นนางถือกำเนิดมาจากจวนหย่งเฉิงโหว แต่บิดาของนางเป็นบุตรอนุ ทั้งยังตัวเปล่าไร้ยศตำแหน่ง เนื่องจากตอนนี้ยังไม่ได้แยกบ้านออกจากจวนหย่งเฉิงโหว เดินไปไหนมาไหนคนภายนอกจึงยังเรียกนางว่า ‘คุณหนูจวนโหว’ อยู่ก็เท่านั้น หากต้องการยืนอย่างมั่นคงหลังจากที่แต่งเข้าตระกูลเวินแล้ว ก็ต้องมีทักษะที่นำออกมาอวดอ้างได้ถึงจะดี
ฉังเคอสนใจฝีมือของเรือนครัวหวังซี
อาหารเลิศรสต้องแบ่งปันกับผู้อื่นถึงจะมีความหมาย
ตระกูลหวังไม่หวงเคล็ดลับการทำอาหาร
หวังซีไม่เพียงให้แม่ครัวในเรือนครัวของนางสอนฉังเคอทำอาหารเท่านั้น ยังอยู่ข้างๆ คอยชี้แนะฉังเคอด้วยตัวเองอีกด้วย ถึงขั้นให้คนไปสืบรสปากของเวินจง ออกแบบรายการอาหารหนึ่งเล่มมอบให้ฉังเคอเป็นพิเศษ ยังกล่าวเย้านางด้วยว่า “เจ้าจะเก็บเอาไว้เป็นสมบัติตกทอดของครอบครัวก็ได้ เพียงแต่ว่าตอนมอบให้บุตรชายหญิงของเจ้าต้องอย่าลืมบอกพวกเขาว่านี่เป็นของที่ท่านน้าสกุลหวังของพวกเขาเป็นคนมอบให้พวกเขา”
ฉังเคออายจนหน้าแดงก่ำ วิ่งไล่หวังซีส่งเสียงโหวกเหวกไประลอกหนึ่ง
คำว่า ‘ตั้งใจและขยัน’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง แม้นระยะเวลาเรียนการครัวของฉังเคอจะสั้น แต่เพราะมีพื้นฐาน จึงมีพัฒนาการที่รุดหน้า อาหารไหวหยางที่นางทำออกมาหน้าตาไม่เลวเลยจริงๆ
แน่นอนว่าหวังซีย่อมตอบรับด้วยความยินดี ให้ไป๋กั่วไปเชิญคุณหนูพานมา ยังกล่าวด้วยว่า “ข้าคิดว่าเจ้าควรเรียนทำขนมด้วยสักสองอย่าง ตราบใดที่เป็นสตรี ไม่มีผู้ใดไม่ชอบกินขนมหวาน หากบังเอิญพานพบกับหนึ่งในหมื่นที่ไม่ชอบกินของหวาน เจ้าก็ทำขนมรสเค็มให้นางสักอย่าง กล่าวคือ ไม่อาจปล่อยให้คนมาข่มขวัญได้”
ฉังเคอหัวเราะคิก กล่าวว่า “จากที่เจ้าพูดมา ตระกูลเวินนั่นดูคล้ายเป็นรังพยัคฆ์แดนมังกรก็ไม่ปาน มีเจ้าคอยชี้แนะอยู่ข้างๆ เช่นนี้ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะทำงานครัวไม่เป็นเลยแม้แต่อย่างเดียว”
“ถูกต้อง!” หวังซีกล่าวโอ้อวด “หากพูดถึงเรื่องทำการค้า โลกนี้มีคนมีความสามารถมากมาย พวกข้าไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องกิน พวกข้ามั่นใจว่าเป็นกลุ่มคนที่อยู่บนยอดสูงสุดกลุ่มนั้น”
ทั้งสองคนพากันคุยเรื่องไร้สาระเจ้าประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่ง ฉังเคอรู้สึกว่าความกรุ่นโกรธที่ได้รับมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่ามลายหายไปแล้ว กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง
คุณหนูพานมาช้าเล็กน้อย ตอนนางมาถึงฉังเคอไปที่เรือนครัวแล้ว
ช่วงนี้นาง ‘เฝ้าไข้’ อยู่ที่เรือนโหวฮูหยิน แต่ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าโหวฮูหยินกำลังแสร้งป่วยเท่านั้น คุณหนูพานไปช่วยโหวฮูหยินกินของบำรุงร่างกายที่เรือนโหวฮูหยินทุกวัน ทั้งไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย ใบหน้าจึงดูกลมแป้นขึ้น
หวังซีกับฉังเคอไปเรียกนางออกมา นางคล้ายลูกนกที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากกรง อยากมาหาจนแทบจะทนไม่ไหว
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงมาช้าขนาดนี้” หวังซีไม่เชื่อนาง แกล้งหยอกนางยิ้มๆ ว่า “เจ้าต้องหลอกให้พวกข้าดีใจเล่น เป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น”
คุณหนูพานกลัวตัวเองจะอ้วนไปกว่านี้ ทุกครั้งที่มาหาหวังซีจะม้วนอาภรณ์ขึ้นเพื่อกระโดดเชือก
นางกระโดดเชือกไปด้วยกล่าวไปด้วยว่า “ข้าจะหลอกพวกเจ้าไปเพื่ออันใด ที่ช้าเพราะข้าไปดูความครึกครื้นมาต่างหาก”
หวังซีเบิกดวงตาโต
คุณหนูพานกล่าวยิ้มๆ ด้วยเสียงหอบว่า “ได้ยินว่าคุณหนูซือต้องการพาฉังเหยียนกับอาเคอเข้าวังไปร่วมพิธีปักปิ่นขององค์หญิงฟู่หยาง? คุณหนูซือยังเป็นคนกลางให้ฉังเหยียนกับอาเคอคืนดีกันด้วย? ว่ากันว่านายหญิงสามโกรธมาก วิ่งไปต่อว่าที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าครั้งหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนต้องนอนลง เรียกหาท่านป้าของข้าไปตัดสินความ ข้าไปส่งท่านป้าที่กำลังป่วย อยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าพักหนึ่งถึงได้มาที่นี่”
หวังซีรีบถามอย่างกังวลใจ “แล้วผู้ใดเป็นฝ่ายชนะ”
เพราะนี่เกี่ยวพันกับเรื่องที่ฉังเคอจะเข้าหรือไม่เข้าวัง
คุณหนูพานเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นนายหญิงสามกับท่านป้าของข้าเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้ว หาไม่แล้วข้าจะมาที่นี่อย่างกระปรี้กระเปร่าขนาดนี้หรือ”
หวังซีฟังแล้วเข้าใจความหมาย รีบกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณโหวฮูหยินกับพี่สาวพานแทนพี่สาวเคอแล้ว”
คุณหนูพานกล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ไม่อาจขอบคุณปากเปล่า ข้าเองก็ไม่ต้องการอะไร แค่เจ้าแบ่งชายอดเหลืองจากยอดเขาเหมิงซานที่เจ้าใช้รับรองข้าในวันนั้นมาให้ข้าสักหน่อยก็พอ”
“เจ้าช่างกล้าคิดนัก!” หวังซียิ้มกล่าว “ชานั่นข้าเองก็เอามาด้วยเพียงไม่กี่เหลี่ยงเท่านั้น ดื่มใกล้หมดแล้วด้วย อย่างมากก็ห่อให้เจ้าเอากลับไปชิมได้เพียงห่อเล็กๆ เท่านั้น”
หลังจากที่ทั้งสองคนสนิทสนมกันแล้วก็ค้นพบว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ยิ่งได้พูดคุยก็ยิ่งถูกคอ ความสัมพันธ์จึงพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด
หวังซีห่อใบชาให้คุณหนูพานเพียงหนึ่งป้านเล็กเท่านั้นจริงๆ
คุณหนูพานค่อนขอดหวังซีว่าตระหนี่ถี่เหนียวไปด้วย ให้สาวใช้คนสนิทรีบนำใบชากลับไปที่สวนร่มวสันต์ไปด้วย ถึงได้อยู่รับประทานมื้อเย็นที่สวนร่มหลิว
คุณหนูพานกล่าวชมไก่ผัดพริกที่ฉังเคอทำไม่ขาดปาก ดื่มน้ำบัวลอยข้าวหมากดอกหอมหมื่นลี้ไปด้วย ใช้มือโบกพัดที่มุมปากพลางร้องว่าเผ็ดไปด้วยแต่ก็หยุดกินไม่ได้
ฉังเคอหัวเราะคิก รู้สึกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ซือจูพาฉังเหยียนไปร่วมพิธีปักปิ่นขององค์หญิงฟู่หยางด้วย ฉังเหยียนดูสลดหดหู่เล็กน้อย แต่ตระกูลหันไม่ทราบเรื่อง รู้สึกว่านี่เป็นเกียรติที่หาได้ยากยิ่ง ตอนนำรายการเครื่องเรือนมาส่งที่จวนหย่งเฉิงโหวได้ทราบข่าวแล้วก็กลับไปเล่าให้คนตระกูลหันฟัง คุณหนูหันยังส่งปิ่นทองฝังอัญมณีมาให้ฉังเหยียนด้วย
หวังซีแอบพูดกับฉังเคอและคุณหนูพานเป็นการส่วนตัวว่า “น่าเสียดายคุณหนูหัน บุปผางามแต่วางผิดที่”
ฉังเคอไม่กล่าวคำใด คิดถึงเรื่องของตระกูลหลิวและหลิวจ้งขึ้นมา รู้สึกว่าตระกูลสามีของคุณหนูพานก็ดูเหมือนมิใช่คนจิตใจดีอะไรนัก
นางอดถอนหายใจไม่ได้
กระทั่งถึงวันจัดพิธีปักปิ่นขององค์หญิงฟู่หยาง ซือจูพาฉังเหยียนเข้าวัง ส่วนหวังซีและคนอื่นๆ ดื่มสุราดอกหอมหมื่นลี้อยู่ที่สวนร่มหลิว
สุราสีเหลืองทองอร่ามบรรจุอยู่ในจอกแก้วสีใส ดูคล้ายทองคำเหลว เพียงแต่ว่ารสชาติยังไม่ค่อยเผ็ดร้อนนัก
หวังซีกล่าว “ยังต้องฝังอีกสักระยะหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าต้องเชื่อฟังผู้เชี่ยวชาญจริงๆ สุราเก่าแก่ผสมกับดอกหอมหมื่นลี้สดใหม่ของปีนี้ ต้องฝังดินเป็นเวลาหกสิบวันเต็มถึงจะเปิดฝาได้ ขาดไปเพียงแค่สิบวัน แต่รสชาติต่างกันลิบลับ”
คุณหนูพานกลับชอบรสชาตินี้ กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าใช้ได้แล้ว รสกลมกล่อมกว่าสุราดอกหอมหมื่นลี้ที่ขายในตลาดเสียอีก” นอกจากนี้นางชอบสีของมันมาก “มองแล้วสบายตาสบายใจ หากตกแต่งอะไรลงไปได้คงดีกว่านี้”
ฉังเคอเองก็ชอบสีเช่นนี้ กล่าวว่า “เหมือนทองคำเปลวเลย ใส่เก๋ากี้ลงไปสักหน่อยดีหรือไม่? หรือไม่ก็ของอะไรที่สีเขียวๆ”
“แน่นอนว่าเก๋ากี้ทำให้ดูสวยกว่า” หวังซีกล่าว “เพียงแต่ว่าหากแช่เก๋ากี้นานไปจะทำให้สุราเปลี่ยนเป็นสีแดง ส่งผลต่อสีของมันได้ แต่ถ้าแช่ ณ ตอนนั้นเลย มันก็มักจะจมอยู่ก้นจอก นี่นับเป็นทักษะพิเศษหนึ่งจริงๆ เกรงว่าคงต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุราชั้นดีถึงจะใช้การได้”
คุณหนูพานกลับถือโอกาสตอนที่พวกนางคุยกันจิบสุราอีกคำหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าว่าไปหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุราชั้นดีก็ไม่มีประโยชน์ ตอนอยู่เจียงหนานข้าเองก็เคยลิ้มลองสุราเก่าแก่เลิศรสมาไม่น้อย แต่สุราที่หมักออกมาได้เหมือนของเจ้านี้ มีน้อยยิ่งนัก แม้แต่เจ้ายังหาวิธีไม่ได้ คนอื่นๆ ก็น่าจะทำไม่ได้เช่นกัน”
หวังซีได้รับคำชมก็ดีใจเป็นอย่างมาก เล่าเรื่องที่นางหมักสุราตอนอยู่สู่จงให้คุณหนูพานกับฉังเคอฟัง
ไป๋กั่วยื่นศีรษะผลุบๆ โผล่ๆ เข้ามาดูอยู่หลายครั้ง
หวังซีหาโอกาสหนึ่งดึงนางไปคุยที่ลานบ้าน “เกิดอะไรขึ้น”
ไป๋กั่วยิ้มขัดเขิน ตอบว่า “ไม่มีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าใต้เท้าเฉินให้หวังสี่นำความมาแจ้งว่าให้พวกข้าจับตาดูท่านเอาไว้ให้ดี วันนี้อย่าให้ท่านออกไปไหน”
นี่ยังไม่นับว่ามีเรื่องอีกหรือ
หวังซีไม่เข้าใจ
ไป๋กั่วกล่าว “คนที่นำความมาแจ้งไม่ได้บอกอะไรอย่างอื่นแก่หวังสี่เลยเจ้าค่ะ หวังสี่เองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน แต่หวังสี่บอกว่า ใต้เท้าเฉินมิใช่คนพูดอะไรส่งๆ ในเมื่อเขากำชับมาเช่นนี้ ทางที่ดีพวกเราควรแจ้งให้ท่านทราบเอาไว้”
หวังสี่กำชับพวกนางเป็นการส่วนตัวว่าไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ต้องหลอกล่อให้หวังซีอยู่แต่ในบ้านให้ได้ นางคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกหวังซี
อย่างไรเสียดูจากท่าทีของหวังซีแล้ว ก็ไม่เหมือนคนต้องการออกจากบ้านอยู่แล้ว
หวังซียังคิดเรื่องจะใส่อะไรลงไปในสุราดอกหอมหมื่นลี้สีทองนั่นอยู่ คิดว่าในเมื่อไป๋กั่วพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเช่นนั้นรอถึงตอนกลางคืนแล้วนางค่อยไปถามเฉินลั่วเองก็แล้วกัน จึงไม่ได้เก็บเรื่องดังกล่าวมาใส่ใจ ย้อนกลับไปในห้องอีกครั้ง คุยเรื่องหมักสุรากับคุณหนูพานและฉังเคอต่อ
คุณหนูพานยังกล่าวกับหวังซีด้วยว่า “เจ้าหมักสุราได้ดีขนาดนี้ มิสู้เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วจัดงานเลี้ยงสักงาน เชิญเหล่าสหายมาเล่นที่บ้าน?”
นางรู้สึกว่าทำเช่นนั้นจะเป็นผลดีต่อชื่อเสียงของหวังซี รวมถึงเป็นประโยชน์ต่องานแต่งของหวังซีด้วย เนื่องจากในบรรดาญาติอย่างพวกนางเหล่านี้ มีเพียงหวังซีเท่านั้นแล้วที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย
ฉังเคอเองก็เห็นดีด้วยเช่นกัน กล่าวว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกว่าการเชิญแขกเป็นเรื่องยุ่งยาก ก็ควรใส่สุราดอกหอมหมื่นลี้นี้ไว้ในรายการของขวัญ ส่งไปให้แต่ละบ้านคนละเล็กละน้อย”
หวังซีใคร่ครวญเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนตอนอยู่ตระกูลหวังนางเป็นลูกมือช่วยท่านปู่ของนางหมักสุรามาโดยตลอด นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางหมักสุราด้วยตัวเอง สุราที่หมักได้มีไม่มาก หากต้องการมอบให้ผู้อื่น คงต้องลงแรงกับการหาขวดบรรจุสุราแล้ว พยายามแบ่งไปให้ทุกบ้านบ้านละหน่อย
พวกนางจึงถกเถียงกันว่าควรจะใช้อะไรบรรจุสุราดี
พอมีเรื่องให้ทำ เวลาก็มักจะผ่านไปไวเสมอ กว่าพวกนางจะรับประทานอาหารเย็นและตัดสินใจเลือกขวดบรรจุสุราจนแล้วเสร็จ คนเฝ้ายามกลางคืนก็เริ่มตีกลองบอกเวลาแล้ว แต่ซือจูกับฉังเหยียนที่เข้าวังไปร่วมพิธีปักปิ่นขององค์หญิงฟู่หยางกลับยังไม่กลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “นี่ไม่น่าเป็นไปได้นี่นา! วังหลวงจะปิดประตูวังแล้ว”
ซือหมัวมัวเองก็ใจเต้นอย่างร้อนใจเช่นกัน ทว่าได้แต่กล่าวปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่าว่า “เกรงว่าองค์หญิงฟู่หยางคงมีเรื่องส่วนตัวต้องการคุยกับคุณหนูซือ ก็เลยรั้งพวกนางไว้อีกครู่หนึ่ง”
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็น่าจะกลับมาแล้วนี่นา!” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่สบายใจ
………………………………………………………….
ตอนต่อไป